Tuesday, August 30, 2005

ทำบุญกระดูกคุณตาที่วัดเบญฯ

คุณตาผมเสียไปกว่าสิบแปดปีแล้วมั๊งครับ

ด้วยอาการหัวใจไม่ประสบความสำเร็จ (หัวใจล้มเหลวนั่นเองครับ)

จำได้ว่า ผมชอบไปหาคุณตาที่บ้านที่ราชประสงค์ ทั้งๆที่คุณตาออกจะดุ แต่เวลาไปหาผมกับน้องมักจะได้แบงค์สิบสีน้ำตาลๆ ติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง

แม้ว่าครั้งหนึ่งเกือบทำปลาทองตัวโปรดคุณตาตายคามือด้วย การยัดทะนานอาหารปลาให้มันกินอย่างจุใจ จนพุงแทบแตกตายก็ตาม

จากวันที่คุณตาจากลูกหลานไปอย่างไม่มีวันกลับ จนถึงวันนี้ วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม บรรดาลูกหลานจะพากันไปทำบุญกระดูกคุณตาที่วัดเบญจมบพิตร เป็นประจำสม่ำเสมอทุกปีไม่เคยขาด

ปีนี้ วันกำหนดนัดของพวกเรา ก็คือ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ

การทำบุญกระดูกคุณตาทุกๆปี เราก็จัดกันเรียบง่าย มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฉันเพลกันเท่านั้น ส่วนอาหารการกินก็ง่ายๆครับ แรกๆเราก็จ้างป้าที่แกทำอาหารขายอยู่ข้างหลังวัดทำให้ แต่คงไม่ค่อยถูกใจ (ปากด้วย) บรรดาลุงๆป้าๆทั้งหลาย เราก็เลยตกลงกัน ทำกันมาเอง บ้านละเมนู สองเมนูทั้งคาวหวาน และขอหยิบยืมจานชามอุปกรณ์จากทางวัดเอา เป็นอันว่าลงตัว เพราะสะดวกสบาย และถูกปากของพวกเราเป็นอย่างดี เพราะเมื่อพระท่านฉันเสร็จ ก็ได้เวลาพวกผมรับไม้ต่อ

ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาเราทำบุญกระดูกคุณตาโดยที่ไม่มีแม้แต่เครื่องช่วยบันทึกความทรงจำใดๆมาช่วยสมองของเราเก็บกอดบรรยากาศนั้นไว้เลย

แต่ปีนี้ไม่ครับ นอกจากกล้องวีดีโอของคุณลุง ก็มีกล้องของผมที่ทำหน้าที่กล่องบันทึกความทรงจำ ให้กับผมและหมู่ญาติ

ผมขออนุญาตนำรูปบางส่วน โดยเฉพาะมุมบางมุมของวัดเบญจมบพิตรที่สวยสดงดงาม มาลงให้ได้ชมกันครับ




มุมนี้ เป็นลานกว้าง บริเวณโบสถ์ จำได้ว่าเป็นลานที่ผมชอบวิ่งไถลลื่นตอนเด็กๆ ไม่หายจนกระทั่งโตจนเลียตูดหมาไม่ถึงอย่างทุกวันนี้ครับ

นี่น่าจะเป็นพระพุทธเจ้าปางในวัดเบญฯที่มีคนรู้จักมากที่สุดแล้วมั๊งครับ ขณะที่ท่านบำเพ็ญทุกขกิริยา พระวรกายผ่ายผอม แต่ก็นำมาซึ่ง "หลักทางสายกลาง" ให้พวกเราคำนึงถึง "ความพอดี" (แต่มักจะทำไม่ค่อยจะได้) ในทุกวันนี้

บริเวณด้านข้างของโบสถ์ครับ สังเกตให้ดีจะเห็นรอยร้าวพาดบริเวณตอนกลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร และรุนแรงแค่ไหน ไม่มีความรู้น่ะครับ แต่อย่างน้อย ก็น่าห่วงเนอะ วัดสวยสดอย่างนี้ ต้องช่วยกันดูแล และบูรณะครับ


มุมนี้เป็นมุมธรรมดาๆ ในวัด บริเวณถนนทางเดิน ข้างทางเข้าโบสถ์ใหญ่ ธรรมดาๆแต่ดูสงบดีนะครับ

สำหรับมุมนี้ ไม่ธรรมดาครับ เพราะปรากฏอยู่หลังเหรียญห้าบาทปัจจุบันนี่แหล่ะครับ


อันนี้เป็นมุมบริเวณ ท่าเรือสาทร ใต้สะพานสาทร หรือสะพานตากสิน ที่ข้างบนรถติดเป็นตังเม พร้อมบรรยากาศที่แออัดร้อนรน แต่ด้านล่างกลับเอื่อยเฉื่อยและเย็นสบายด้วยสายลมสะท้อนผิวน้ำ ถ่ายขณะที่ผมข้ามเรือกลับไปผจญภัยฝั่งธนฯ เพราะพ่อกับแม่หนีกลับบ้านไปก่อนแล้ว

Friday, August 26, 2005

เก็บตกบรรยากาศงาน Meet the Bloggers ครั้งแรก

รู้สึกว่าจะมีเสียงเพรียกหามากมายเหลือเกิน สำหรับบรรยากาศในงาน meet the bloggers เมื่อวันจันทร์ที่ 22 สิงหาที่ผ่านมา คาดว่าหากผมไม่เอารูปและเรื่องลงบล็อกภายในวันนี้ คงจะมีการแบนไม่เข้าบล็อกผมเป็นการประท้วงกันบ้างล่ะ หรืออาจจะมีการอุ้มฆ่ากันเลยทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ไปร่วมงาน

จะว่าไปงานนี้ก็คงมีจุดเริ่มต้นจากการก่อกำเนิดชุมชนบล็อกเกอร์ ที่มหัศจรรย์ เหมือนนัดบอดอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆที่เมื่อสักสี่เดือนก่อน weblog คืออะไร เด็กน้อยอย่างผมยังไม่ใคร่จะรู้ ลำพังการท่องโลกอินเตอร์เนต เช็คอีเมล และแวะเวียนแว่บผ่านกระดานสนทนาหลากหลายยี่ห้อ ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับไก่อ่อนอย่างผม

กระทั่งนายนิติรัฐ ได้แนะนำ ขู่เข็ญ ลากจูง ผลักดัน เสือกไส อ้อนวอน ล่อลวง ด้วยวิธีการต่างๆนาๆ เพื่อให้ผมเปิดบล็อกของผมบ้าง หลังจากที่มันเปิดไม่กี่เพลา วิธีการ แนะนำ ฯลฯ ข้างต้นของมัน ง่ายมากครับ

แค่มันส่งลิงค์ของปิ่น ปรเมศวร์ มาให้ผมอ่าน แค่เพียงครั้งเดียว

จากนั้นผมก็ติดงอมแงม เหมือนไอ้ปี๊ด ได้สูดกลิ่นฉุนๆจากกระป๋องทินเนอร์

ใช้เวลาเสพไม่นาน ผมก็ตัดสินใจแน่วแน่ กระทำการเปิดบล็อกเป็นของตัวเอง อย่างเป็นทางการ

หลังจากนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไป…

ผมได้เพิ่มกิจกรรมทำลายวิทยานิพนธ์ และงานประจำ เข้าไปในตารางชีวิตประจำวันของผมเรียบร้อย ในทุกๆวัน ผมเหมือนเป็นคนโรคจิต มือไม้สั่นทุกครั้งที่ไม่ได้เข้าอินเตอร์เนตเพื่ออ่านความเป็นไปใหม่ๆของเหล่าบล็อกเกอร์ประจำชุมชน อ่านไปอ่านมา จากวันสู่เดือน จากเดือนสู่…หลายเดือน

ไม่คาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง ในสามเดือนกว่าๆต่อมา ผมจะได้มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะสังสรรค์กับบรรดาบล็อกเกอร์ที่ผมเฝ้าเอาหน้าอูมๆ อ่านงานเขียนของพวกเขาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์วันแล้ววันเล่า

เมื่อจดหมายไฟฟ้าเนื้อหาท้าทาย เอ๊ย เชิญชวนร่วมงานพบปะสังสรรค์จากปิ่น ปรเมศวร์ มาถึงกล่องจดหมายสี่เหลี่ยมของผมอย่างเป็นทางการ ผมก็มีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย ถึงปานกลาง ที่จะได้เจอหน้าค่าตาบล็อกเกอร์ขวัญใจของผมหลายคน แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆของบล็อกเกอร์ประจำโคกปิ่น มาบ้างประปรายเช่น ตัวคุณปิ่นเอง กระต่ายน้อยผู้เป็นตำนานบทใหม่ของคณะเศรษฐศาสตร์ (ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยที่หน้าตาดีที่สุด แหม เสียดาย ผมไม่ได้เป็นอาจารย์ มิฉะนั้นกระต่ายน้อยอาจจะมีน้ำตาเช็ดหัวไหล่) อาจารย์ corgiman ที่ไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะติดภารกิจของครอบครัว ยอดมนุษย์หญิง ที่อุตสาห์ก้มหัวลงมาจากชั้นบนของเฮมลอคเพื่อชะโงกมาเล็งพิกัดที่ผมและนิติรัฐนั่งละเลียดอาหารเย็นอยู่ชั้นล่าง

ได้อ่านจดหมายไฟฟ้าฉบับนั้นแล้ว ก็เริ่มนับถอยหลัง…

จากหน่วยสัปดาห์ เป็นหน่วยวัน กระทั่งถึงชั่วโมงและนาที

จันทร์ที่ 22 สิงหา ก็มาถึง

วันนั้นผมติดภารกิจที่จะต้องไปร่วมงานสัมมนาของกระทรวงยุติธรรมที่อิมแพคคอนเวนชั่น เมืองทองธานีโน่น งานสัมมนาเลิกตอนสี่โมงเย็น ผมและยานพาหนะของผมก็มุ่งหน้าจากอิมแพคสู่เซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อมาเกยรับบล็อกเกอร์สาว (?) หน้าใหม่ sweetnefertari ไปร่วมงานพร้อมกัน เพราะเจ้าตัวพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เอ็งไม่มารับข้าไม่ไป น้ำมันมันแพง (โว๊ย)” สงสัยว่ารถผมมันจะรับประทานน้ำมันหมูล่ะมั๊งครับ

ออกจากเซ็นทรัลราวหกโมงนิดๆ มุ่งหน้าสู่ถนนพระอาทิตย์ สถานที่นัดพบ

ผมและผู้โดยสารมาถึงก่อนเวลานัดเล็กน้อย ด้วยเวลา หนึ่งทุ่มกับอีกสิบนาที เพื่อไม่ให้เป็นการไปนั่งตบยุงรอ ผมเลยไปอุ่นเครื่องกับ พี่โต greenmercy ศิษย์รุ่นพี่ที่คณะของผม แต่เป็นรุ่นน้องของผมในโลกบล็อกเกอร์ (ฮา) ที่ร้านถัดจากสถานที่นัดพบไม่เกินสิบก้าวย่าง เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว เราก็ย้ายก้นของเราไปนั่งรอ ณ โต๊ะที่จองไว้ บริเวณชั้นสองของร้านเฮมลอค (ระหว่างทางเราสังเกตเห็นหนุ่มรายหนึ่งหน้าตาและทรงผม(?) ละม้ายคล้ายคุณคุ่น ปราบดา หยุ่น นั่งอยู่บริเวณโต๊ะหน้าร้าน ซึ่งทราบจากบริกรประจำร้านว่า หนุ่มรายนั้นก็เป็นบล็อกเกอร์มานั่งรอเวลานัดเหมือนเราเช่นกัน แต่ด้วยความประหม่าเลยยังไม่กล้าไปทัก มาทราบทีตอนพี่แกเดินขึ้นมาสมทบชั้นบนว่า นี่คือ B.F.Pinkerton หรือพี่ก้อ ของเรานี่เอง)

เรานั่งรอกันสามคนอยู่ ณ ชั้นบน ไม่นานนัก บรรยากาศก็เริ่มคึกคักขึ้น เนื่องจากการปรากฏตัวของกลุ่มบล็อกเกอร์กลุ่มใหญ่ นำทีมโดย ปิ่น ปรเมศวร์ พี่แป๊ด หรือ grappa พี่หญิงหรือยอดมนุษย์หญิง พี่ก้อ หรือปราบดา เอ๊ย B.F. คุณเคน หรือ dawdle man รวมไปถึง david ginola คนที่ยังไม่จบปริญญาตรีแต่เขียนหนังสือได้เหมือนนักศึกษาปริญญาเอกนั่นแหล่ะ และกระต่ายน้อย ที่เกือบจะได้เป็นเพียงแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่หน้าตาดีที่สุด หากผมได้มีวาสนาย่างเท้าเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยกับเค้าบ้าง (วะฮ่า…ต่อมไม่เจียมทำงานครับ พร้อมกับการแทรกแซงของฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมอิจฉา…โว๊ยยยย)

แม้จะมีรอยยิ้มทักทายกันตามประเพณี แต่ก็เหมือนมีอารมณ์เขินมากั้นกลาง ทำให้บรรยากาศตอนแรกยังคงนิ่งๆเกร็งๆกันอยู่ แต่ใช้เวลาไม่นาน กำแพงเหล่านั้นก็ได้ทะลายลงไป ความเป็นกันเองก็ล้นทะลักออกมา พร้อมๆกับการกล้าที่จะตักอาหารตรงหน้าใส่ปากกันได้โดยไม่ต้องมีจริตจกร้าน ให้มันมากมายนัก

สำหรับผม ยิ่งพูดยิ่งคุย ยิ่งเหมือนนั่งอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ตอนนี้ มันเปลี่ยนอารมณ์จากตัวหนังสือ เป็นคำพูดจา ไม่นานนัก สมาชิกอีกหลายรายก็เริ่มทยอยมา

เริ่มจาก tanusz หรือน้องโตศิษย์ร่วมคณะของผม บล็อกเกอร์หน้า (ยังไม่หายเหม็นกลิ่น) ใหม่ ผู้ไม่ลืมโฆษณาบล็อกของตัวเองทุกๆครั้งที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบล็อกของชาวบ้าน

ตามติดมาด้วยคุณนุ่นหรือ KoPok บล็อกเกอร์สาวขวัญใจชุมชน ที่ดิ่งมาจากที่ทำงานละแวกพัฒนาการ (ไกลโคตรครับท่านผู้ชม) บล็อกที่ผมไม่เคยนับว่าวันๆหนึ่งผมแวะเวียนเข้าไปกี่ครั้ง แต่มักจะมีคนเดือดร้อนมาเช็คการเข้าออกบล็อกของคุณนุ่นแทนผมเป็นประจำ พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อผม ทำนองกลัวว่าผมจะลืมชื่อตัวเองซะงั้น

เรานั่งรับประทานอาหารกันไป พร้อมกับการพูดคุยที่ออกรสชาติมากขึ้นๆ ผ่านกาลเวลา

และแล้วบุรุษในตำนานผู้หนึ่งก็เดินทางมาถึง

นิติรัฐ หรือ etat de droit เพื่อนบังเกิดเกล้าของผม ก็พาร่างอวบอั๋นด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ผ่านช่องแคบๆที่กั้นระหว่างบันไดกับบริเวณชั้นสองของร้าน เข้ามาทักทายกับชาวสมาคม

การมาของนิติรัฐเหมือนทำให้ต่อมร่ำสุราของบล็อกเกอร์หลายคนทำงานขึ้น หลังจากงัวเงียมาพักใหญ่ โดยเฉพาะ “พี่แป๊ด” ที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านแอลกอฮอลล์ในหลากหลายชื่อเรียก ไม่ว่าจะเป็นไวน์ คอนยัค วิสกี้ เบียร์ ยันไปถึงเหล้าขาว 45 ดีกรี ดูดวงตาของพี่แป๊ดเป็นประกายมาก ยามพูดคุยเรื่องไวน์กับเพื่อนของผม พร้อมกับในมือถือแก้วคอนยัค (นี่ก็อภินันทนาการจากนิติรัฐล่ะครับ) พร้อมกับเสนอให้เพื่อนผมคนนี้เขียนหนังสือเกี่ยวกับไวน์ ขายซะเลย นี่คณะส่งมึงไปเรียนอะไรกันแน่วะ

แต่ไวน์หลากหลายยี่ห้อที่ออกจากปากของนิติรัฐ ก็มิอาจเทียบเทียม “ชาโตว์ เดอ ชาละวัน” ที่พี่ยอดมนุษย์หญิงหนีบมาฝากแบบไม่อั้นนนนนนนนน พร้อมกับสัญญิงสัญญาว่า หากไปถึงที่น้องเอาสิบล้อไปขนได้เลย เท่าไหร่เท่ากัน (ถ้าน้องสามารถขับรถลอดพ้นจากบริเวณไร่ของพี่ได้…ล้อเล่นนะจ๊ะพี่หญิง)

ไวน์ขวดแล้วขวดเล่า คอนยัคแก้วแล้วแก้วเล่า เช่นเดียวกับ อาหารแสนอร่อยจานแล้วจานเล่า เดินผ่านพวกเราไปพร้อมกับเวลาที่แสดงออกโดยเข็มนาฬิกาบนข้อมือของผม

คิดว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าของ “อาทิตย์” หรือ เจ้าของบล็อกนาม Tihtar ที่มาจากการเล่นสลับซ่อนเงื่อนจากชื่อจริงของตัวเอง แต่แล้วสวรรค์ก็เป็นใจ นำเอาหนุ่มอาทิตย์ เดินทางแบบธรรมดาเข้ามาสู่บรรยากาศอันชื่นมื่นในการชุมนุมบล็อกเกอร์เฟสแรกของพวกเรา

มาพร้อมมาดเซอๆและอาการหิวเล็กน้อย แม้เจ้าตัวจะบอกว่า “ผมทานมาแล้วครับ” แต่สายตา มือ และปากของเค้ากับหยิบ แทะ และเล็มอาหารที่ (เหลือ?) อยู่บนโต๊ะ อย่างไม่หยุดหย่อน (ฮา) ให้สั่งใหม่ก็ไม่เอา

ไม่นานนัก บล็อกเกอร์หลายท่านก็ขอตัวกลับไปก่อน เนื่องจากได้เวลาอันสมควรแล้ว และคงมีภารกิจที่ต้องสะสางในวันรุ่งขึ้น พร้อมๆกับจำนวนที่ลดลงเรื่อยๆของแขกเหรื่อในร้านเฮมลอคด้วย

ไม่นานนักเราก็พบว่า เราเหลืออยู่เป็นโต๊ะสุดท้าย พร้อมกับเข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ในจำนวนที่เหลืออยู่ ได้แก่ คุณปิ่น , นุ่น KoPok , พี่โต greenmercy , น้องโต tanusz , น้องต่ายน้อย , อาทิตย์ , นิติรัฐ , sweetnerfertari , พี่แป๊ด grappa , ผม และพี่โญ บก. (re) open ผู้ตามมาสมทบรายล่าสุด พร้อมกับการสร้างเสียงหัวเราะด้วยลีลากันเองของพี่แก (โทษทีพี่ พี่เล่นมาตอนกล้องผมแบตหมดแล้วอ่ะ ไม่มีรูปพี่เลย ไว้คราวหน้าพี่ไม่พลาด ผมจะซื้อแบตอีกก้อนสำรองถ่ายพี่คนเดียวเลย) ก็ตัดสินใจย้ายลงมานั่งสนทนากันต่อ ณ ชั้นล่าง เพื่อให้น้องๆบริกรเก็บกวาดชั้นบน เพราะมันเลยเวลาปิด (แบบปกติ) ของร้านมาพอสมควรแล้ว
วงสนทนาเริ่มแคบลง แต่เข้มข้นมากขึ้น โต๊ะเล็กๆสองตัวต่อกัน แต่ก่อเกิดวงสนทนาเป็นอย่างน้อยสองวง บางครั้งก็มีการข้ามวง ผสมวง ทะแยงวง ทะลุวง บางครั้งเราก็พร้อมใจกันหยุดเพื่อฟังเสียงเปียโนผ่านปลายนิ้วของฝรั่งตาน้ำข้าวชาวฝรั่งเศสที่แม้นิติรัฐเพื่อนผมจากส่งภาษาฝรั่งเศสทักทาย แต่พี่แกทำเงียบ มารู้ทีหลังว่า พี่แกชอบสันโดษ ไม่ชอบพูดคุยกับใคร ทำให้ greenmercy หล่นคำถามเล่นๆ (แต่สงสัยจริงๆ) ว่าแล้วพี่จะมานั่งปล่อยอารมณ์ตามร้าน ทำติ๊ก เจษฎาภรณ์ อะไรวะ นั่งอยู่บ้านก็ด้ายยยยยยยยยยย

ไม่นานพี่โญ กับคุณปิ่นหัวโจกก็ขอตัว กลับก่อน พวกที่เหลือยังคงนั่งพูดคุยกันอย่างไม่ลดละ พร้อมกับพยายามหลบตาพี่ๆเจ้าของร้าน เพราะเกรงจะเจอค้อนห่อคำถามว่า “เมื่อไหร่พวกเอ็งจะไปฟะ” (ไม่หรอกครับ พี่ๆเจ้าของร้านใจดีมาก พวกผมแทบจะเอาเสื่อมาปูนอนในร้านกันแล้ว ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้มีงาน)

เมื่อความง่วงเริ่มปกคลุม และเข็มสั้นเดินมาชนเลขสองแล้ว เป็นสัญญาณเตือนว่า เวลาแห่งความสุขในวันนี้ของพวกเราคงต้องหมดลงแล้ว

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีเลิกรา ไม่มีผับบาร์ใดที่ไม่มีวันปิด

บล็อกเกอร์ทั้งหลายก็เหมือนนกออกจากรังเฮมลอค หลังจากการร่ำลากันพอหอมปากหอมคอ พวกเราก็แยกย้ายเพื่อมุ่งหน้าสู่นิวาสถานของตนเอง เว้นแต่สามบล็อกเกอร์หนุ่มนักกฎหมายมหาชนจากรั้วเหลืองแดง ที่ตัดสินใจไปนั่งโต้รุ่งต่อที่ buddy bar ถนนข้าวสาร เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า “นี่เพิ่งเครื่องร้อนนี่หว่า”

ด้วยเป็นเวลายามวิกาล ที่พวกวิตถารเริ่มออกหาเหยื่อ ผมจึงอาสาไปส่งผู้โดยสารสองหน่วย ได้แก่ KopoK และ sweetnefertari ที่พักอาศัย อยู่บริเวณ รามคำแหง และเกษตรนวมินทร์ ตามลำดับ

เราผ่านสนามหลวง พร้อมๆกับการสังเกตการณ์การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่กระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อมๆริมสนามหลวง ด้วยความตื่นตาตื่นใจ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ยุคนี้สิ่งมีชีวิตหากินในเวลากลางคืนเหล่านี้ มีอายุการทำงานที่รวดเร็วขึ้น หลายคนน่าจะมีอายุเลยวัยทำบัตรประชาชนมาไม่นานนัก และสิ่งที่เราพบเห็นนั้นก็ไม่น่าจะแตกต่างจากหน้าบริเวณ โรงแรมสยามที่เราแล่นผ่านในเวลาอีกไม่นาน หรือนี่จะเป็นดีเอ็นเอทางวัฒนธรรม

หลังจากตระเวนส่งสองสาวถึงที่พักโดยปลอดภัยแล้ว ผมก็มุ่งหน้าสู่เตียงนอนนุ่มๆของผมเอง

เป็นเวลาเกือบๆตีสี่ เมื่อหัวกระแทกหมอน

หลับเป็นตาย

แต่ฝันดี

ได้เวลาเยี่ยมยลใบหน้า และทำนายโหงวเฮ้ง เหล่าบล็อกเกอร์ที่มาร่วมงานกันแล้วครับ หลายท่านเรียกร้องให้ผมพยายามทำภาพมืดๆบ้าง คาดแถบดำที่บริเวณดวงตาบ้าง หรือไม่ก็พยายามหารูปรวมที่เล็กที่สุด ทำนองจะกลบเกลื่อนใบหน้าและอายุของตัวเอง ฮ่าๆ อำนาจอยู่ในมือผมโดยไร้การถ่วงดุลและตรวจสอบแล้วครับ เตรียมตัวเตรียมใจกันเถิดครับ

เชิญทัศนา





มุมกล้องโชว์เมนูอาหารแสนอร่อยครับ...ซับน้ำลายกันหน่อยครับ ใครอยากมีบุญชิวหาอย่างพวกผม เชิญที่เฮมลอคครับ (โฆษณาฟรีครับพี่) พร้อมกับขวดคอนยัคใบเขื่อง และชาโตว์ เดอ ชาละวันปูพรมอยู่เต็มโต๊ะ


จากขวาไปซ้ายเลยครับ ยอดมนุษย์หญิง พาหน้าตาอ่อนเยาว์เหลือเชื่อมาให้พวกเราชื่นชมกัน ขนาด tanusz รุ่นน้องผมมันยังบ่นว่า “พี่แกหน้าตาเด็กกว่าผมอีกว่ะ” (กูว่าอาจจะเพราะอิทธิพลหน้าแก่ของมึงด้วยมั๊งน้องโตครับ)ถัดจากยอดมนุษย์หญิง คือ ปราบดา 555 พี่ก้อ B.F. ครับ ตอนแรกผมแซวๆแกว่าละม้ายคล้ายปราบดา แต่ผมคิดดูอีกที ผมว่าพี่เหมือนขุนอินทร์ว่ะ นี่เคราหนากว่านี้นิด ถือไม้ตีระนาดมานี่ใช่เลย


คนถัดไปนั่งใส่แว่นทำหน้าเด็กอยู่ คือ คุณเคน dawdle man นี่ก็หน้าตาขาว ตี๋ ดูดีพิมพ์นิยม อีกหน่อ เห็นแล้วต่อมอิจฉาชักกำเริบอีกแล้วครับ


สาวใหญ่นั่งข้างน้องเคน ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่แป๊ดครับ grappa นั่งสนทนากับบล็อกเกอร์ท่านอื่นอย่างออกรส นี่ขนาดว่า ณ เวลาที่ชักภาพ นิติรัฐตัวดียังไม่โผล่พุงมานะครับ


ถัดจากพี่แป๊ด ก็คือ คุณนุ่น KoPok หนุ่มๆทั้งหลายอย่าเพิ่งต่อว่าผมครับ ผมยังมีภาพเธออีกหลายภาพ สุดท้ายเกือบหลุดกรอบนั่น sweetnefertari น่ะเอง ไอ้ที่มันหลุดกรอบน่ะ ผมตั้งใจครับผมตั้งใจ




ทำหน้าเด็กใส่กล้องซ้ายสุดนี่คือ คุณ david ginola ผู้มาพร้อมกับ echo นิตยาสารทำ (เองกะ) มือ ของบรรดานักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ติดไม้ติดมือมาแจกให้กับชุมชน อย่างน่าเอ็นดู ผมลองพลิกๆเปิดดูเนื้อหาข้างในแล้ว พลางอุทานว่า สมัยตอนกูเรียนอยู่กูทำอะไรวะเนี่ย ในขณะที่คนรุ่นใหม่จากคณะเศรษฐศาสตร์ทำนิตยสารอาหารสมอง พวกผมยังควบไล่ลูกกลมๆ ปุเลงๆ อยู่เช้าค่ำ


คนถัดไป คือหัวโจกประจำตำบล ปิ่น ปรเมศวร์ ผู้นี้นี่เองงงงงงงงง สาบานได้ครับ อาจารย์แกอายุ 27 จริงๆ คุณปิ่นมาพร้อมกับสหายรักคนนั่งข้างๆ ที่ไม่ได้เป็นบล็อกเกอร์กะเค้า แม้จะขุดหลุมพลางหลอกล่อเท่าใด แต่ผมเชื่อว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป พี่แกคงทนความเย้ายวนของชุมชนนี้ไม่ไหวต้องไสช้าง มาร่วมวงกันแน่ๆ


ในที่สุดก็มาถึงเค้าคนนี้แล้วครับ “กระต่ายน้อย” นั่งทำหน้าพิมพ์นิยมของสาวๆ อยู่นั่นแหล่ะครับ พอบล็อกเกอร์หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลายคนเห็นหน้ากระต่ายน้อย ต่างก็แย่งกันเอาชื่อของตนประเคนใส่หนุ่มหน้ามลคนนี้กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่ปิ่น ปรเมศวร์ ขณะที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่บริเวณโต๊ะนัดพบ ยังไม่ทันจะหย่อนก้นลงนั่ง พี่แกรีบผายมือแนะนำไอ้หนุ่มหน้าพิมพ์นิยมเลย “อ๋อ คนนี้ครับปิ่น ปรเมศวร์” แย่งซีนตัดหน้าผมที่กำลังจะเล่นมุขนี้อย่างเฉียดฉิว


ถัดจากหนุ่มหล่อแล้ว มาถึงหนุ่มหล่อ (?) อีกคน ที่พยายามเก๊กนั่งอ่าน echo อยู่ เขาคือ tanusz บล็อกเกอร์หน้าใหม่ซิงๆ (?) แห่งตำบลปิ่น ปรเมศวร์ และเค้าคนนี้แหล่ะครับ พี่บ่นพึมพำถึงความอ่อนเยาว์บนใบหน้า เมื่อได้เห็นหน้าของยอดมนุษย์หญิง


เกือบหลุดเฟรมนั่งเอามืออุ้มคางอูมๆ อยู่ เค้าคือ “นิติรัฐ” ไม่ต้องน้อยใจครับ ผมมีรูปชัดๆกว่านี้ เลื่อนลงไปดูเรื่อยๆครับ แม้มันจะมาช้า แต่มันสามารถส่งแอลกอฮอลล์เข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว หนักหน่วง และรุนแรง แซงหน้าบล็อกเกอร์ที่นั่งร่ำกันมาก่อนหน้ามันเป็นชั่วโมงๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ (555 แก้ตัวเอาเองมรึง)




บรรยากาศบนโต๊ะอหารครับ อันนี้คาดว่าน่าจะเป็นช่วงสงครามสงบแล้วมั๊งครับ สังเกตจากปริมาณอาหารที่ร่อยหรอในภาชนะทั้งหลายที่เกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้า


โฉมหน้าของปิ่น ปรเมศวร์ ครับ ...เชื่อกันหรือครับ แหะๆ สนองให้พี่แกหน่อย แกอยากเป็นกระต่ายน้อยนานแล้วน่ะครับ ... คนนี้แหละครับ กระต่ายน้อย ตัวจริงเสียงจริง เห็นหน้าค่าตากันชัดๆ เชื่อว่าหลังจากภาพนี้เผยแพร่แล้ว บล็อกของกระต่ายน้อยคงหัวกะไดไม่แห้งจากบรรดาสาวๆแม่ยกทั้งหลายล่ะครับ



ผมกับสองสาวประจำตำบล sweetnefertari และ KoPoK ตามลำดับ

สามบล็อกเกอร์หนุ่มก๊วนกฎหมายมหาชน ประจำตำบล จากซ้ายสุด tanusz หรือ น้องโต ไล่เรียงมาคือ etat de droit หรือ นิติรัฐ และปิดท้ายด้วย greenmercy หรือพี่โตของผมเอง มีคนนิยามให้พี่แกว่า "หน้าตาขั้นนักเลง แต่จิตใจขั้นนักธรรม (ทำ?)"

แยกออกมั๊ยครับ ใคร ratio scripta ใคร กระต่ายน้อย??

โฉมหน้าของนายอาทิตย์ บล็อกเกอร์หนุ่มผู้พาร่างสูงใหญ่ มาดเซอ มาเป็นรายสุดท้ายของค่ำคืนนั้น

จากวันนี้ไป ผมเชื่อว่า เราจะมีโอกาสมานั่งพูดคุยพบปะสังสรรค์กันอีก พร้อมๆกับสมาชิกประจำตำบลอีกหลายท่านที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ในวันนั้น ถือว่างานครั้งนี้เป็นงานเบิกร่อง เพื่อนำไปสู่การพบปะในครั้งต่อไป คนสำคัญอย่าง พี่ปริเยศ พี่พล พี่กล้า บุญชิต และอีกหลายท่านไม่ได้มาวันนี้ไม่เป็นไรครับ เก็บเกี่ยวบรรยากาศผ่านรูปและเรื่องในบล็อกวันนี้ไปก่อน วันหน้าคงมีโอกาสได้เจอกันครับ

Wednesday, August 24, 2005

รู้จักกันหน่อย ratioscripta

จริงๆแล้ว บล็อกตอนนี้ของผม ควรจะต้องว่าด้วยเรื่องราวแห่งบรรยากาศในงานชุมนุมบล็อกเกอร์ ครั้งที่ 1 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ณ ร้านเฮมลอค แต่ด้วยความประหม่าที่จะต้องเขียนถึงบล็อกเกอร์ขวัญใจของผมจำนวนหลายคน ทำให้ผมเกิดปริวิตกว่าจะเขียนออกมาไม่ดี (แหม...ตัวการใหญ่น่าจะลงมือร่ายเองนะงานเนี๊ยะ) เลยขอเว้นวรรคไปเขียน พร้อมกับนำภาพบรรยากาศ รูปร่างหน้าตาผิวพรรณ โหงวเฮ้ง ของบล็อกเกอร์แต่ละคน มาให้ทุกท่านยลกัน ในอีกสักสองวันแล้วกันครับ

งานนี้ก็ลุ้นระทึกไปก่อน พร้อมกับวาดภาพ วาดฝันกันไปแล้วกันครับ ว่าบล็อกเกอร์แต่ละคนในจินตนาการของท่านเป็นอย่างไร เห็นเขียนหนังสือสวยๆ ภาษางามๆ แล้วจะคิดว่าใบหน้าต้องงดงามตามไปด้วยนี่...

เตรียมใจกันไว้ก่อนเลยครับ (ฮา)

สักสองวันครับ สักสองวัน จะมาเฉลยให้สยิวหัวใจเล่นครับ

สำหรับวันนี้ มารู้จักผมกันก่อนแล้วกันครับ...

หมดมุขแล้วครับ ขอหากินกับชื่อตัวเองก่อนก็แล้วกันวันนี้

...............................................................


กว่าสามเดือนแล้วนะที่บล็อกของผมเผยอหน้าขึ้นมาในชุมชนบล็อกเกอร์ ชุมชนในอุดมคติของใครหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) หลายๆท่านคงตามลิงค์จากบล็อกเกอร์ท่านอื่นมาอ่านบ้าง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

ขอต้อนรับอย่างเป็นทางการครับ

และขอขอบพระคุณที่ทุกท่านยังคงไม่เบื่อหน่าย และยังคงวนเวียนมาเป็นเพื่อนทางความคิด ทางตัวอักษรกับผมเสมอๆ ไม่ว่าท่านจะทิ้งความเห็นไว้หรือไม่ ขอบคุณจริงๆครับ (ถ้าเป็นไอ้เพื่อนผม มันต้องเอื้อนว่า “เพียงคุณแวะมาชม เราก็แอบนิยมอยู่ในใจ” แม่งสโลแกนร้านขายหนังสือ “ดอกป้า” นี่หว่า ไม่ได้คิดเองเร้ยยยย)

ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการด้วยอีกครั้งครับ

เอากันที่ชื่อก่อนเลย ratioscripta (จริงๆถ้าจะเขียนให้ถูกตามหนังสืออาจารย์แกที่ผมลอกเอามาก็ต้อง Ratio Scripta แต่ด้วยความขี้เกียจ ก็ของ่ายๆงี้แหล่ะครับ) ชื่อดังกล่าว เป็นภาษาละตินครับ ถามว่าอ่านอย่างไร…

โอ๊ยยยยย ของแค่นี้….

ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ก็ในหนังสือของแกที่ผมขอลอกเอามาใช้ มันก็ไม่เขียนคำอ่านภาษาไทยนี่หว่า แต่เท่าที่ผมพอจะจำขี้ปากบรรดาอาจารย์ผู้พิสมัยในภาษาละตินที่ตายแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่า มันน่าจะอ่านว่า “ราชิโอ สคริปต้า” ซึ่งใครจะถนัดเรียกผมในโลกแห่งบล็อกเกอร์นี้หว่า “ราโช” ก็ยินดีไม่มีปัญหาครับ ชื่อเหมือนพระเอกหนังอินเดียดี…ชอบ (ดูมๆ)

ชื่อกระแดะๆของผม ผมยกเอามาจากหนังสือเล่มนี้ครับ

“ความเป็นมา และหลักการใช้นิติวิธี ในระบบซิวิลลอว์ และคอมมอนลอว์” หนังสือเล่มโปรดอันมีขนาดกระทัดรัดบางจิ๋วของผม เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยวิ่งไล่ตามหาแก่นธรรม กับดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นั่นแหล่ะครับ ท่านเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะที่รักของผมเอง

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือกฎหมาย แต่ไม่ใช่พวกนิติศาสตร์โดยแท้ ประมาณ คำอธิบายประมวลกฎหมาย ที่มีแต่เทคนิคการใช้และการตีความรายมาตรา ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา อ่านแล้วคลื่นเหียน นี่ไม่นับรวมพวกหนังสือฟาสต์ฟู้ดด่วนแดกของคนเตรียมสอบ อย่างพวก “วิแพ่งพิสดาร” “วิอาญามหัศจรรย์” อีกหน่อยมันคงมี “วิแพ่งวิตถาร” “วิอาญาอุบาทว์” ล่ะมั๊งครับ

ผมชอบอ่านหนังสือกฎหมายประเภท นิติศาสตร์เชิงคุณค่า หรือ พวกปรัชญากฎหมาย รวมไปถึงคุณค่าที่ได้จากการเปรียบเทียบกับศาสตร์อื่นๆ ไม่ใช่พวกโดยแท้ที่ใช้ทิ่มแทงฟาดฟันกันเท่านั้น

พลันที่ผมเห็นหนังสือเล่มนี้บนชั้นขายหนังสือของร้านประจำคณะ ผมแทบไม่ต้องคิดล่ะครับ บาง ถูก แถมชื่อมาสะดุดใจผมอีก

มันมาสะดุดตรงคำว่า “นิติวิธี” นี่แหล่ะครับ

หากใครเคยได้อ่านความเห็นที่ผมหล่นๆไว้ในบล็อกของเพื่อนบ้านไว้บ้าง คงพอจะจำกันได้ว่า ในความเห็นของผม สิ่งที่นักเรียนกฎหมายโดยเฉพาะในชั้นปริญญาตรี ควรที่จะต้องมีนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า “นิติวิธี” และ “จิตใจแห่งนักกฎหมาย” ไอ้อย่างหลังคงเป็นนามธรรมมาก มากไปกว่าที่ผมจะหาขอบเขตมาอธิบายให้มันชัดเจนได้ สิ่งที่พอจะเทียบเคียงความหมายได้บ้าง ก็คงเป็นจิตใจที่รักความยุติธรรม เกลียดการเอาเปรียบ และมีวิญญาณ หรือมีความเป็นนักกฎหมายในสายเลือด พวกบ้าเหตุผล และช่างซักถาม บลาๆ

สำหรับนิติวิธีนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ตำนานทางกฎหมายที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกท่านหนึ่ง ให้นิยามไว้อย่างนี้ครับ

“นิติวิธีนั้นเป็นสิ่งที่แทรกซึมอยู่กับตัวกฎหมาย ไม่จำต้องบัญญัติและถึงแม้จะได้บัญญัติถึงนิติวิธีไว้กฎหมายก็มิได้บัญญัติหลักนิติวิธีไว้ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะนิตวิธีมีลักษณะเป็นแนวความคิดที่ฝังตัวอยู่ในระบบกฎหมาย จนเป็นแบบฉบับในทางกฎหมายของระบบกฎหมายนั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้าตัวบทกฎหมายเป็นร่างกายนิติวิธีก็เป็นวิญญาณของกฎหมาย”

อ่านนิยามข้างต้นแล้ว ให้ละเหี่ยใจเพราะผมคงไม่สามารถคิดอะไรได้ลึกซึ้งแบบท่านล่ะครับ ลำพังถ้าจะมาเอานิยงนิยามคำว่านิติวิธีกะผม ผมจะทำได้แค่เพียงเปรียบเทียบ สิ่งที่เรียกว่า “นิติวิธี” ให้เป็น “กล่องเครื่องมือ” และเปรียบเทียบ “ตัวบทกฎหมาย” ให้เป็น “หีบมหาสมบัติ” โดยไอ้หีบนั้น มันถูกพันธะนาการไว้ด้วย โซ่ตรวนขนาดล่ามช้าง ล็อกด้วยแม่กุญแจลูกเท่าแม่ไก่ มัดด้วยเชือกล่ามควายสามร้อยหกสิบห้าทบ

ภายในกล่องเครื่องมือใบเขื่องนั้น มีเครื่องมือหลากหลาย ตั้งแต่มีดคัตเตอร์ มีดตอนควาย ไขควง เหล็กขูดชาร์ป ยันระเบิดนิวเคลียร์

หากไอ้เด็กน้อยคนหนึ่ง หลงมาเจอหีบสมบัติ พร้อมกับกล่องเครื่องมือใบเขื่องนั้น มันคงทำหน้างุนงง ไม่รู้ว่าจะใช้อะไรแงะงัดหีบสมบัติใบนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งล้ำค่าภายใน มันคงพยายามเอาไขควงตัดเชือก เอามีดแงะรูกุญแจ แล้วเอาฟันแทะโซ่ตรวน และถ้ามันบ้ากว่านั้น มันอาจจะยิงนิวเคลียร์ทำลายล้างโลกเพียงเพราะต้องการเปิดหีบมหาสมบัติใบนั้น
ท้ายสุด ก็มานั่งร้องไห้ พร้อมกับฟันที่ร่วงหมดปาก มีดบาดไม้บาดมือ แผลเหวอะหวะ

เมื่อหมดความพยายาม มันก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะค้นหาสิ่งเลอค่าอมตะ ในหีบสมบัติ พร้อมกับวิ่งมีดไม้ ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนต่อ

แต่วันดีคืนดี เมื่อมีใครสักคน ถามมันว่า “ไอ้หนูเอ๋ย ในหีบสมบัติใบนั้น มีอะไรซ่อนอยู่ภายในเล่า” มันก็จะเล่าเป็นฉากๆ ว่ามัน สามารถใช้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น ได้อย่างวิเศษ และเปิดหีบใบนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเล่าเป็นคุ้งเป็นแควว่า ภายในหีบลึกลับใบนั้น ประกอบด้วยทรัพย์สมบัตินานัปการ เพชรนิลจินดามากมายมหาศาล ทองนพเก้าระยิบระยับบาดตาแทบบอด

หลายคนรุมล้อมมานั่งฟังขี้ปาก (ที่ไร้ฟันอีกต่อไปหลังจากการทะลึ่งแทะโซ่ที่ล่ามหีบนั้นไว้นั่นแหล่ะ) ของไอ้เด็กเวรนั่น พร้อมกับพลอยพยักเพยิด เชื่อขี้ฟันมันไป ทั้งโดยไม่รู้เลยว่า มันเคยแม้แต่พยายามเอาไขควงไปตัดเชือกล่ามควายด้วยซ้ำ

ฉันใดก็ฉันนู้นนนน

นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า “เป็นเมียพี่ ต้องอดทน” …

จะบ้าเรอะ

…สอนให้รู้ว่า…การเรียนการสอนให้นักเรียนกฎหมายนั้น ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งจึงเป็นการทำให้นักเรียนตาดำๆเหล่านั้น เรียนรู้การใช้กล่องเครื่องมือกล่องนั้นได้เป็นอย่างดี รู้ว่าไขควง ไม่ได้มีไว้ตัดเชือก และรู้ว่าฟันของเคนเรามันหักง่ายหากใช้ผิดวิธี

จะว่าไปไอ้นิทานกำมะลอของผมเรื่องข้างบนก็ไม่สามารถจะสื่อให้เห็นถึงความสำคัญ ของ “นิติวิธี” ได้อย่างสมบูรณ์แต่อย่างใดหรอกครับ เพราะมันยังขาดมิติของวิญญาณของกฎหมาย ดังที่อาจารย์ปรีดี ท่านว่าไว้

เรื่องเล่าข้างบนของผม มันจำกัดวงอยู่เพียงแค่ เทคนิคการค้นหาความหมายที่แท้จริง ของตัวบทกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยต้องผสานความหมายของถ้อยคำ รวมไปถึง “เจตนารมณ์” ของกฎหมายที่อยู่เบื้องหลัง ถ้อยคำอักษรเหล่านั้นให้ได้อย่างพอดิบพอดี นั่นเท่ากับการเปิดหีบมหาสมบัติ และได้สิ่งของทรัพย์สินอันล้ำค่า

เหมือนอ่านกลอน แล้วสัมผัสได้ถึงอารมณ์กวีผู้รจนาให้ได้อย่างไรอย่างนั้นแหล่ะ

เมื่อนักเรียนกฎหมายมีนิติวิธี หรือมีเทคนิคการใช้เครื่องมือดังกล่าว เป็นอย่างดี และสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง เพื่อค้นหาความหมายที่ถูกต้องแท้จริง เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า “เหตุผล” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวหนังสืออันแข็งกระด้างตายตัวเหล่านั้น ได้เท่าเทียมกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายฉบับใดในระบบ ก็สามารถค้นหา ใช้ และตีความกฎหมายฉบับเหล่านั้น ได้อย่างถูกต้อง และเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว (เหมือนกับที่อาจารย์คณิตแกเคยพูดติดตลกหน่อยๆว่า การตีความกฎหมาย ใครว่าตีความได้หลายนัย มันมีนัยเดียว ก็คือ นัยที่ถูกต้องนั่นแหล่ะ) เหมือนคุยภาษาเดียวกัน เมื่อประกอบกับ “จิตใจแห่งนักกฎหมาย” แล้ว แหม…โลกนี้สีชมพูเหลือเกิน

แต่โลกแห่งความจริงมันไม่ใช่ มันยังมีนักกฎหมายแบบเด็กน้อยฟันหลอที่พูดเพ้อเจ้อ เรื่อยเปื่อย และบิดเบือนอยู่อีกมากมาย

อย่างไรก็ตามครับ แม้จะมีกล่องที่มีเครื่องมือสดเอี่ยม ใหม่ ใสกิ๊ก ดีเลิศ คุณภาพดีเพียงใด แต่หากหีบสมบัติใบนั้นหาได้มีมหาสมบัติใดซ่อนอยู่ภายใต้ หากมีแต่หยากไย่ คร่ำครึ กลิ่นเหม็นอบอวล ชวนอาเจียน ก็ไร้ซึ่งความหมายที่เราจะทุ่มเทเครื่องไม้เครื่องมือ และสรรพกำลัง ไปงัดและแงะมันออกมา

มหาสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ หีบล่ำสัน อันเป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยคำลายลักษณ์อักษรนั้น หาใช่สิ่งอื่นใด มันคือสิ่งที่เรียกว่า “เหตุผล” เหตุและผลของเรื่อง “Nature of Things” เป็นสิ่งที่มันต้องเป็นไปตามเหตุและผลที่กำกับเรื่องราวนั้นอยู่ เช่น การที่กำหนดให้เจ้าของที่ดินที่อยู่ต่ำกว่าต้องรับน้ำที่ไหล่บ่าตามวิถีแห่งธรรมชาติจากที่ดินที่สูงกว่า โดยไม่สามารถไปกั้นมิให้น้ำไหลผ่านที่ตนได้ เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้น้ำท่วมเอ่อที่ดินเหนือตน ในขณะเดียวกัน เจ้าของที่ดินสูงกว่าก็ย่อมไม่สามารถกักเก็บน้ำนั้นไว้ใช้เพียงคนเดียว จำต้องปล่อยให้มันไหลผ่านที่ดินตนตามธรรมชาติสู่ที่ดินที่อยู่ต่ำกว่าด้วย ตนเพียงกักเก็บไว้ได้เท่าที่จำเป็นแค่นั้น

นี่ก็เหตุผลครับ

เหตุผลของเพื่อนบ้านที่ดี เอื้ออาทรและพึ่งพิงกัน ถามว่ามันเป็นเช่นนั้นเพราะกฎหมายบัญญัติ หรือมันเป็นเหตุผลของเรื่องเพื่อนบ้านที่ดีอยู่แล้ว กฎหมายเพียงแต่รับรองให้มันชัดเจนและแน่นอน มีขอบเขตที่พิเคราะห์และพิจารณาได้

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง ในหลายร้อย หลายพันตัวอย่าง ที่ได้รับการบัญญัติรับรองไว้ในสิ่งที่เรียกว่า “ประมวลกฎหมาย”

ประมวลกฎหมาย จึงเป็น “คัมภีร์” เล่มใหญ่ ที่รวบรวมวิธีคิด และวิถีแห่งเหตุผล โดยร้อยเรียงกันอย่างมีระบบระเบียบ

เป็นระบบระเบียบเพียงพอที่เอื้อต่อการใช้เทคนิคและเครื่องมือที่ถูกต้องเข้าไปค้นหา เข้าถึง และเข้าใจ เหตุผลเหล่านั้นได้ อย่างพอดิบพอดีและลงตัว

ด้วยเหตุเช่นเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้นักกฎหมายที่ศึกษากฎหมายโรมัน ศึกษากฎหมายของพระเจ้าจัสติเนียนอย่างเชื่อมั่นศรัทธาว่ากฎหมายโรมันเป็นกฎหมายที่ถูกต้องและมีเหตุผล เป็น “คัมภีร์แห่งสติปัญญา”(Ratio Scripta) และก่อให้เกิดทัศนคติต่อกฎหมายสืบต่อกันไปเป็นดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมในนักกฎหมายรุ่นต่อๆมา ว่า “ตัวอักษร” กับ “เหตุผล” เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก อันเป็นนิติวิธีสำคัญของนักกฎหมายซีวิลลอว์ (ที่ผมปวารณาตัวอยู่ แต่ก็ไม่วายที่จะเหลือบมองและศึกษานิติวิธีในระบบอื่นด้วย เพื่อสร้างความชัดเจนและสร้างคุณค่าในการเปรียบเทียบอีกทางครับ)

ด้วยความประทับใจส่วนตัว ในวิธีคิด และนิติวิธีเช่นนี้เองครับ

ที่ทำให้ผมกระแดะตั้งชื่อบล็อกแห่งนี้ว่า

Ratio Scripta

Thursday, August 18, 2005

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ ตอนที่ 3

"ช่างกลตีกันกับวันอัศจรรย์ของผม"

ยังคงวนเวียนอยู่ในกล่องแห่งความทรงจำกันอีกสักวันครับ อีกสักเรื่องก่อนจะเปลี่ยนแนวกันเอียน

เรื่องราวในความทรงจำในวันนี้ของผม ออกจะแตกต่างไปจากสองตอนก่อนที่วนเวียนแต่ในรั้วแดงขาวชานเมืองของผม เพราะวันนี้มันจะออกไปนอกรั้วโรงเรียน

บนถนนหนทาง ในเส้นทางที่ผมใช้ในเดินทางมาโรงเรียนเป็นประจำ

ต้องแจ้งให้ทราบถึงพิกัดของนิวาสถานของผมก่อน

บ้านผมตั้งอยู่ ณ ฝั่งธนฯ บริเวณที่เรียกว่า แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ หลายคนคงทำหน้างง ไม่รู้ว่า ไอ้แขวงและเขตที่ว่านี้อยู่ตรงส่วนไหนของกรุงเทพกันแน่

ต้องบอกพิกัดใกล้เคียง…

หากท่านมาทางวงเวียนใหญ่มุ่งหน้าพระประแดง บ้านผมจะอยู่ห่างจากวงเวียนใหญ่สิบกิโลพอดิบพอดี และห่างจากพระประแดง (จำกัดเพียงสามแยกพระประแดง) ประมาณห้ากิโล (บ้านนิติรัฐอยู่ระหว่างบ้านผมกับวงเวียนใหญ่นั่นแหล่ะครับ แต่ค่อนมาทางด้านผมหน่อย บริเวณที่เรียกว่า “ดาวคะนอง” หรือ “สตาร์ ครึกครื้น” นั่นแหล่ะครับ)

แหน่ะ ยังงงกันอีก

เอางี้ครับ สะพานพระรามเก้า สะพานแขวนนั่นแหล่ะครับ แถวนั้นครับ

ไม่รู้จักอีก…

รู้จักธนาคารกสิกรไทยสาขาใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือเปล่าครับ เถือกๆนั้นครับ จนปัญญาจะอธิบายแล้วครับ

การเดินทางจากบ้านสู่รั้วแดงขาว อีสานฝั่งธนของผม ใช้บริการรถเมล์สายไหนก็ได้ที่ผ่านหน้าบ้านและมีเลขเพียงสองหลัก เพราะรถบรรดาเลขสามหลักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น 140 หรือ 141 มันจะเลี้ยวไปทางธนบุรีปากท่อ ออกเส้นวงแหวนด้านใต้ ที่จะไปสมุทรสาคร และวนเวียนไปออกบางแคนั่นแหล่ะครับ แต่ผมไม่ไปทางนั้น

รถเมล์สองหลักจะพาผมไปอีกประมาณ ไม่ถึงสองกิโลก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่า “บางปะแก้ว” ตรงบริเวณเลยสามแยกธนบุรีปากท่อไปหน่อย เพื่อต่อรถอีกต่อ คราวนี้เน้นสามหลักครับ 101 หรือ 147 เพื่อที่จะพาร่างของผม ผ่านแยกมไหสวรรย์ ผ่านเดอะมอลล์ท่าพระ ถึงแยกท่าพระแล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเพชรเกษม จากนั้นก็ลง จริงๆผมสามารถนั่งยาวไปจนถึงตลาดบางแค หรือวัดม่วงยังได้ แต่ผมเลือกที่จะลงตรงป้ายแรกๆเนื่องจากต้องต่อรถเมลสาย 91 เพื่อที่จะนั่งเป็นต่อสุดท้ายถึงหน้าโรงเรียน เพื่อการันตีที่นั่ง เพราะที่ผ่านมาก็ยืนจนเมื่อยตุ้มแล้ว (แต่ต้องบอกก่อนครับว่า สมัยนั้นน้อยครั้งมากที่ผมจะนั่งรถเมล์มาโรงเรียน เพราะตลอด 3 ปีผมยืนตลอด…มัธยมต้นผมนั่งรถโรงเรียนน่ะครับ ไม่กล้ามาเอง หลงแน่ๆ กว่าจะเรียนรู้ทางก็โน่นหลายปีดีดัก)

เมื่อ 91 วิ่งมาราธอนจนถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านเศรษฐกิจ ก็จะเลี้ยวขวาเข้าซอยหมู่บ้าน คิดว่าใกล้แล้วสิครับ

คุณคิดผิดครับ

มันต้องไปต่อผ่านวงเวียนย่อมๆอีกสามวงเวียน กว่าจะถึงโรงเรียนแสนรักของผม ระยะทางพอที่จะให้ผมงีบเอาแรงได้อีกงีบใหญ่ๆทีเดียว
พอนึกเส้นทางเดินทางของผมออกแล้วนะครับ เอาล่ะครับ ท่านเชื่อกันไหมครับว่าเส้นทางที่ผมอรรถาธิบายมาดังกล่าวนั้น ผ่านดงอาชีวะและพาณิชย์ผู้ช่ำชองในการฟาดฟันกันมากกว่าการก่อสร้างบ้านเรือนให้ผู้ประสบภัยสึนามิและประดิษฐ์หุ่นยิงลูกบอลแข่งขันชิงแชมป์โลก สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า

จุดพื้นที่สีแดงมีอยู่สามจุดใหญ่ๆ คือ บริเวณ สามแยกธนบุรีปากท่อ ป้ายบางปะแก้ว ป้ายแรกแห่งการต่อรถของผมนั่นแหล่ะครับ จุดนี้ถือเป็นสมรภูมิหลักเนื่องจากบรรดาพี่ๆอาชีวะทั้งหลาย จากฟากสมุทรสาคร นครปฐม และย่านฝั่งธนจะมารวมตัวกันต่อรถกันที่นี่

จุดที่สองคือบริเวณ ป้ายที่สองที่ผมลงต่อรถเมื่อมันเลี้ยวซ้ายจากแยกท่าพระมาไม่ไกล เนื่องจากฝั่งตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่ผมลงนั้นเป็นที่ตั้งของ “พาณิชย์กรุงเทพ” พาณิชย์แห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในทำเนียบนักเรียนนักเลง สถานศึกษาที่มีโปรโมชั่นยกเว้นค่าเทอม แถมฟรีอุปกรณ์การศึกษา ชุดนักศึกษาและทุนการศึกษาฟรีเมื่อท่านสมัครเป็นนักเรียนจำนวน 100 ท่านแรก (สาบานได้มันขึ้นป้ายอย่างนั้นจริงๆ) และมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า โรงเรียนนี้สนับสนุนกิจกรรมนอกหลักสูตรให้แก่บรรดาหัวโจกประจำโรงเรียนด้วยการ สะสมอาวุธ และที่พักหลบซ่อนให้กับหน่วยกล้าตายของตนด้วย…เอากะเค้าสิ

จุดที่สาม บริเวณเดอะมอลล์บางแค ซึ่งตรงนั้น เป็นเส้นเชื่อมวงแหวนด้านใต้กับเส้นกาญจนาภิเษก บรรดาเทคโนฯทั้งหลายมักจะรวมตัวกันยามเลิกเรียน ณ เดอะมอลล์บางแค ผมจำได้ว่าสมัยผมเรียนที่นี่ใหม่ๆเดอะมอลล์บางแคมันยังไม่ได้สร้าง ครั้นตอนที่มันแค่ขึ้นโครงสร้าง ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ปรากฏว่ามีบรรดาพี่ๆอาชีวะ และเทคโน (และน่าจะรวมถึงพี่ๆพาณิชย์กรุงเทพ หรือ พ.ก.ท.ด้วยนั่นแหล่ะ) ชี้เป้าจับจอง แบ่งเค้กพื้นที่รับผิดชอบกันเรียบร้อยแล้ว แถมมันยังมีการตีเชื่อมสัมพันธ์เรียกน้ำย่อยกันตั้งแต่ห้างยังไม่เปิดทำการด้วยซ้ำ

เสี่ยงตายดีมั๊ยครับ การเดินทางของผม นี่น่าจะทำให้ผมมีประสาทสัมผัสที่ว่องไว พอกับสายตา และความเร็วของการออกสเต็ปขา

เช้าวันหนึ่ง ตอนนั้นผมน่าจะอยู่มัธยมปลาย ปีใดปีหนึ่งระหว่าง ม.4 กับ ม.5 นี่แหล่ะครับ ขณะที่ผมยืนรอรถเมล์อยู่บริเวณป้ายบางปะแก้วกับเพื่อนซี้ของผมที่บ้านอยู่ซอยเดียวกัน เหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปกติ โดยปรากฏกลุ่มนักเรียนช่างกล และอาชีวะที่มีเสื้อชอป สีสันแตกต่างกันออกไปอยู่เป็นหย่อมๆ

เมฆหมอกเริ่มปกคลุมเมื่อปรากฏกลุ่มก้อนของสีเสื้อชอปสีเดียวกันที่มีจำนวนมากขึ้นๆ ผมสองคนยืนสังเกตการณ์ปรากฏการณ์นั้นอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเริ่มรับรู้สัญญาณอันตราย

ไม่ทราบว่าเป็นไร ในหมู่กองทัพเสื้อชอปที่มาเป็นฝูงนั้น จะต้องมีไอ้ตัวนำอยู่ตัวคอยออกสเต็ปยั่วประสาทเบื้องล่างเสมอ และมักเป็นพวกตัวเล็กหัวตั้งเจาะหู หน้าตากวนซ่งตีง คอยสร้างความบันเทิง ความฮึกเหิมให้หมู่มวลสมาชิก และมักจะเป็นไอ้นี่แหล่ะที่คอย “เปิดหัว” ยามประเคนหมัด เท้า เข่า ศอก สะปาต้า เข็มขัดพร้อมหัว ปืนไทยประดิษฐ์ ระเบิดขวดและระเบิดปิงปอง ใส่กัน ก่อนที่มันจะวิ่งจุกตูดไปนั่งดูเพื่อนๆมันเข้าทำสกรัมกันอย่างสบายใจเฉิบ

ขณะที่ไอ้ตัวซ่ากำลังออกสเต็ปยั่วยวนบาทาอยู่ป้ายรถเมล์นั้น พลันก็มีมินิบัส หรือมฤตยูเขียวคันหนึ่งเลียบมาจอดเทียบท่า พร้อมกับเสียง “บึ้ม” ดังสนั่น ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่เกินห้าเมตร

เกียร์หมาสิครับ…วิ่งไปพลางก็นึกถึงหลวงพ่อโกย วัดหน้าตั้งไป

ผมกับเพื่อนวิ่งเอาชีวิตรอด แม่ค้าแถวนั้นผู้มากประสบการณ์กับเหตุการณ์ระทึกขวัญเหล่านี้ ต่างพร้อมใจกับ เอาร่มคันเขื่องที่ไว้ติดรถเข็นกันแดด โน้มมันลงมาเป็นโล่เกราะกำบัง อย่างรวดเร็วประหนึ่งเป็นประสาทอัตโนมัติ และผมสองคนก็อาศัยใบ (บุญ) ร่มสีสันสดสวยเหล่านั้นเป็นหลุมหลบภัยเช่นกัน

เหตุการณ์ดำเนินไป ด้วยความอลหม่านอยู่ราวห้านาที ก่อนที่จะจางควันไป คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดปิงปอง ที่ใช้เป็นอาวุธทำการดังกล่าว

เช้าวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวันซวยซ้ำซ้อน และเป็นวันบริหารประสาทสัมผัสและหัวจิตหัวใจของผมเหลือเกิน

เพราะพี่ๆอาชีวะกลุ่มเดิมยังคงรวมตัวกันอยู่ เปรียบเสมือนจอกแหนที่พอมีวัตถุร่วงหล่นลงไป มันก็จะแตกกระจาย ก่อนที่จะหุบรวมกันใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นาน

พวกนี้ก็เหมือนกัน หลังจากเหตุการณ์ระเบิดปิงปองผ่านไปแล้ว มันก็กลับมารวมตัวกันใหม่ พร้อมกับลีลาท่าทางยวนยีนเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าวันนั้นเป็นฝันร้ายของผม มันก็คงเป็นฝันร้ายของพวกมันเหมือนกันครับ

เพราะไอ้ที่มันเจอก่อนหน้านั้น แค่น้ำจิ้ม

หลังจากที่มันตายใจกันไม่นาน คราวนี้มาเป็นฝูงเลยครับ แล้วครบมือครับ นำด้วยเข็มขัดพร้อมหัวเหล็ก ดาหน้ากันลงจากรถเมล์บริเวณท้ายป้าย ลงมากระหน่ำฟาดฟัน ไอ้จอกแหนกลุ่มนั้นให้แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทางอีกครั้ง ที่สำคัญปฏิบัติการกระทุ้งจอกแหนของช่างกลกลุ่มใหม่นั้นกินเวลาเพียงน้อยนิด เพราะพวกมันสามารถลงมาตีชาวบ้านเค้าได้ ณ รถเทียบท่าตอนท้ายป้าย และสามารถเดินปลิวลมกลับไปขึ้นรถคันเดิมอีกครั้งเมื่อรถเดินทางไปถึงต้นป้ายได้พอดิบพอดี…หรือญาติมันเป็นคนขับวะ ขับรอกันซะงั้น

จอกแหนก็ยังคงเป็นจอกแหน แม้จะผ่านมรสุมถึงสองครั้งซ้อนๆกันในเวลาห่างกันไม่ถึงสิบนาที มันก็ยังหุบมารวมกันได้เช่นเดิม

สนุกสนานกว่าเก่าด้วยซ้ำ

พ่อเจ้าประคุณ
…………………………………………………………………..

เรื่องราวของผมกับพวกพี่ๆช่างกลยังไม่หมดครับ

เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งรถเมล์สาย 101 จากบางแค เพื่อมาต่อรถตรงป้ายบางปะแก้ว ตามปกติวิสัยของกระด้างชน คนตีกบาลนั้น มักจะต้องมารวมตัวกันบริเวณเบาะยาวท้ายรถ เพราะชายชาตินักเลงไม่เคยหันหลังให้ใคร (อย่างนี้ต้องให้มันไป “ก้มเก็บสบู่ในเรือนจำบางขวาง” ซะหน่อยแล้น) แต่คราวนี้มาแปลก ผมสังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนพาณิชย์ (ก็ไอ้โรงเรียนที่มีโปรโมชั่นเรียนฟรีแถมตังค์นั่นแหล่ะครับ)กลุ่มใหญ่เดินขึ้นรถเมล์มา ด้วยสภาพเมามาย และรวมตัวกันอยู่บริเวณกึ่งกลางของรถ ใกล้กับประตูคู่ปิดเปิดอัตโนมัติของรถเมล์ครีมแดง พร้อมกับพูดจากันสนั่นเหมือนกับมันอยู่บ้านพ่อ (ง) บ้าน แม่(ง) ของมันเอง

กลิ่นละมุดคละคลุ้ง พร้อมถ้อยคำผรุสวาท หยาบโลน ประเคนใส่หูผู้โดยสารที่ร่วมทางอย่างไม่มีความเกรงใจ

ไอ้หน้าปลาจวดตัวหนึ่ง เริ่มออกอาการซ่าเกินพิกัด นอกจากการคุย เล่นหัวด้วยกันแล้ว สักพักมันเริ่มลามปาม พยายามเอาผู้โดยสารโดยเฉพาะเพศแม่มาร่วมวงสนทนากับมันด้วย

มันเดินขึ้นหน้าไปบริเวณข้างคนขับ พร้อมกับยื่นหน้าปลาจวดของมันชะโงกไปมองหน้าผู้โดยสารสุภาพสตรีนางหนึ่งที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัว (หรือขยะแขยงไม่ทราบ) ในระยะห่างระหว่างหน้ามันกับหน้าเธอเพียงฝ่ามือเดียว

เมื่อจ้องมองหน้านวลนางนั้นเสร็จแล้ว มันก็เดินกลับมาที่ฝูง พร้อมกับเอ่ย (ในความดังประมาณตะโกน) เข้ากลุ่มว่า “โหย หน้าแม่งหยั่งกะ…ตว์” ผมไม่ทราบว่าเธอคนนั้นคิดอย่างไรเมื่อได้ยินลมตูดที่ออกทางปากของมัน แต่คิดว่าเธอคงทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ ทั้งกลัว

รถเมล์แล่นตามทางของมันไปได้อีกพัก พร้อมกับความสนุกสนาน คะนองปากของกลุ่มนักเรียนนักเลงที่ยังคงไม่สร่างซา ไอ้หน้าปลาจวดมันก็เริ่มปีนไปนั่งบริเวณเหล็กกั้นข้างประตูปิดเปิดอัตโนมัติอย่างย่ามใจ

รถเมล์จอดป้ายบริเวณท่าพระ พร้อมกับการจากไปของผู้โดยสารอีกคน ที่หลุดพ้นจากรถเมล์มาคุคันนี้

เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพี่โชว์เฟอร์สับสวิตซ์ปิดประตูอัตโนมัติ

ประตูสองบานงับเข้าหากันตามหน้าที่อย่างซื่อตรง

พร้อมกับหนีบขาไอ้หน้าปลาจวดที่เสือกทะลึ่งแหย่ขาออกไปข้างนอกตัวถังรถขณะที่ประตูเปิดส่งผู้โดยสาร

ประตูสองบานหนีบไปที่ขาของมันอย่างจัง เสียงร้องด้วยความเจ็บระคนตกใจ ดังขึ้น พร้อมกับเสียงอื้ออึงทำนองกลั้นหัวเราะของผู้โดยสารอีกหลายสิบที่ยังอยู่บนรถ … รวมทั้งผมด้วย

“เฮ้ยๆ พวกมึงอย่ามัวแต่ยืนดูดิ ช่วยกูด้วย”

ไอ้หน้าปลาจวดเริ่มสงเสียงขอความช่วยเหลือจากญาติมิตรมัน

“กูจะไปช่วยมึงได้ไงวะ นู่น มึงบอกพี่คนขับนู่น”

ไม่รู้ว่ามันก็สะใจเหมือนกันที่เห็นเพื่อนมันตกอยู่ในสภาพนั้นหรือไม่

“บอกให้กูหน่อยดิ กูไม่กล้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”

ไอ้ฟายเอ๊ยเมื่อกี้มึงยังซ่าอยู่เลย เสือกไม่กล้าซะแล้ว (ผมคิดในใจ)

พี่คนขับเหมือนจงใจจะสั่งสอนมัน เลยพยายามทำหูทวนลม ไม่ได้ยินเสียงร้องและเสียงขอความช่วยเหลือจากมัน

รถเมล์วิ่งหนีบขามันไป พร้อมเสียงโหยหวน จากท่าพระ สู่บางปะแก้ว โชคร้ายของมันด้วยที่ระหว่างทางนั้น ไม่มีใครขึ้นและลงพอที่จะมีจังหวะเปิดประตูคลายขามันได้เลย

เมื่อรถเทียบท่าบางปะแก้ว ผมและผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่งก็กดกริ่งลง ประตูอัตโนมัติมหากาฬจึงได้ฤกษ์เปิดขึ้น ผ่อนคลายให้มันได้อิสรภาพในแข้งขาของมันกลับคืนไป

ผมเดินลงรถเมล์อย่างที่รู้สึกแตกต่างจากตอนที่พวกมันขึ้นมาใหม่ๆยิ่งนัก

และยิ่งรู้สึกดีกว่าเก่าหลายเท่าเมื่อผมมองย้อนกลับไปบนรถเมล์คันที่ผมเพิ่งลงมาเมื่อกี้

และเห็นหน้าของสุภาพสตรีคนที่พวกมันนิยามใบหน้าไว้อย่างหยาบคายและทุเรศที่สุด

เธอยิ้มอย่างสะใจ

เหมือนผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ ที่จะถือว่าวันนั้นเป็น “วันอัศจรรย์ของผม”

Saturday, August 13, 2005

ใครเคยเห็นน้ำท่วมหลังเป็ดบ้าง


คำโบราณท่านว่าไว้

ประเภทเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้

รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถิดไอ้หนูเอ๊ยยยยยยย

วันก่อนผมไประยองมา...สาบานว่าครั้งแรกในชีวิตที่เห็น

"น้ำท่วมหลังเป็ด" จริงๆครับ

เชิญทัศนา

Friday, August 12, 2005

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ ตอนที่ 2




"ฉี่กระด้างกระเดื่อง"

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆวันนี้ของผม ชื่ออาจไม่ค่อยน่าพิสมัยนัก และไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการอ่านไปด้วยและรับประทานอาหารหรือของว่างไปด้วย เพราะกลิ่นอาจโชยจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาแตะบริเวณนาสิกโสตของทุกท่านได้

เรื่องราวในวันนี้ ยังวนเวียนอยู่ในรั้วแดงขาว ชานกรุงของผมเช่นเคย

ใครจะเชื่อครับ ว่าการ “ฉี่” จะทำให้พวกผม เกือบไม่จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย?

ใครจะเชื่อครับ ว่าการ “ฉี่” จะทำให้พวกผมต้องโดนเฆี่ยน (โดยไม้เรียวนะครับ ไม่ใช่แส้ เพราะถ้าเป็นอย่างหลัง ต้องมีเทียนด้วย จะได้ครบสูตร)

ลำพังแค่ “ฉี่” เฉยๆ คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้หรอกครับ

ที่มันวุ่นวายจนเป็นเรื่องเป็นราว ก็เพราะ พวกผมมันดัน “ฉี่” ผิดกาละ (แต่ยังอยู่ในเทศะที่ควรจะอยู่นะครับ)

ตามปกติโรงเรียนของผมก็เริ่มเช้าวันใหม่ เหมือนๆกับที่อื่น นั่นคือ การเข้าแถวเคารพธงชาติ ตอนราวๆแปดโมง (แต่ถ้าจำไม่ผิด น่าจะราวแปดโมงสิบนาทีมากกว่า ช้ากว่าชาวบ้านเค้าสิบนาทีด้วยเหตุใดจำไม่ได้ แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่เพราะรอพวกผม กินข้าวแถวหน้าโรงเรียนให้เสร็จก่อนแน่ๆ) เมื่อร้องเพลงชาติเสร็จ ก็ต่อด้วยการสวดมนต์ แต่เป็นการสวดแบบสรรเสริญและขอพรพระเจ้า ตามลัทธิศาสนาของโรงเรียนที่เป็นคาทอลิก ประมาณว่า “พนมกร ไหว้พระผู้ปราณี ทรงรักเราทวี คุ้มครองสอดส่องเมตตา โปรดประทานสติปัญญา…” (จำได้แค่นี้แหล่ะครับ…เก่งวุ้ยกรู ยังอุตสาห์จำได้อีก)

จากนั้นก็จะมีการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์อะไรตามเรื่องตามราว ของบรรดามาสเซอร์ฝ่ายปกครอง และปล่อยแถวขึ้นชั้นเรียน เพื่อทำ home room อีกราวสิบถึงสิบห้านาที จึงได้เริ่มเรียนคาบแรก

ระหว่างปล่อยแถวเพื่อเดินขึ้นอาคารเรียน ช่วงเวลานั้น มักเป็นเวลาที่พวกผม ออกนอกลู่นอกทาง เลี้ยวไปเข้าห้องน้ำกันประจำสม่ำเสมอ ซึ่งเป็น สิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา จนไม่สามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่าใครเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมนี้คนแรก และไม่แน่ใจแล้วว่านานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเป็นประสาทสั่งการอัตโนมัติไปแล้วเรียบร้อย แถมวันไหนพลาดไม่ได้ทำ ก็ให้รู้สึกว่าชีวิตยามเช้าขาดอะไรไปสักอย่าง (ยังกับการเกิดขึ้นของยุคกฎหมายจารีตประเพณี (Customary Law) อย่างไรอย่างนั้น)

จากชนกลุ่มเล็กๆที่เดินทางไป “ฉี่” ก่อนขึ้นห้องทำ home room นานวันเข้าก็เริ่มขยับขยาย จากหลักหน่วย กลายเป็นหลักสิบ และลงท้ายด้วยหลายๆสิบ จากกลุ่มคนเล็กๆ กลายเป็นฝูงชนขนาดย่อม

และจากที่ไม่เป็นที่น่าสังเกตจากมาสเซอร์ฝ่ายปกครอง ก็กลายเป็นจุดสังเกตทิ่มตาจนได้

วันนั้นที่เป็นวันเกิดเหตุ ยามเช้าก็เริ่มปกติเช่นทุกวัน ไม่มีลางอะไรเลย เสร็จกิจกรรมยามเช้าที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ประเพณีปฏิบัติในการไป “ฉี่” พวกเราก็ดำเนินตามครรลองของมัน ตามธรรมดา แต่ไอ้ที่ไม่ปกติก็เห็นจะเป็นแค่สิ่งเดียว

การยืนจ้องปรากฏการณ์ธรรมชาติของพวกผม โดยมาสเซอร์หัวหน้าฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเรียนทุกชั้น และทุกห้อง ที่ปกติ แกจะไม่มายืนสังเกตการณ์อะไรขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ป๊อป ที่แกสอยดาวได้จากงานประจำโรงเรียน (คันที่ถูกโจษจัน ว่าแกเป็นคนล็อกรางวัล เหมือนหวยรัฐบาล) ออกตรวจตราบรรดาตามถนนรนแคมในโรงเรียนเท่านั้น

แกยังใจดีนะครับ รอให้พวกผม “ฉี่” เสร็จเรียบร้อยและกำลังเดินกลับขึ้นห้องเรียนเสียก่อน ที่จะตั้งด่านดักจับ (หรือว่ารอให้เรากระทำผิดสำเร็จก่อนวะเนี่ย…ยุทธวิธีเหมือนหัวปิงปองบ้านเราแฮะ)

ครานั้น แกกวาดจับได้จำนวนร่วมสามสิบคนได้มั๊งครับ (เป็นห้องผมเกือบครึ่งห้อง ที่เหลือเป็นทีมผสมจากบรรดาห้องอื่นๆด้วย) จากนั้น ก็มีการให้ถอดเสื้อและมัดไพล่หลัง…

ล้อเล่นน่า ไม่ใช่นักเรียนตีกัน หรือจับรถซิ่งที่ไหน

แกก็ให้มาตั้งแถวแล้วนั่งรอรับโทษทัณฑ์ …

และแกก็เริ่มร่ายโศลก ก่อนที่จะพิพากษา ด้วยการอบรมจริยธรรม คุณธรรม และน่าจะรวมถึง จรรยาบรรณ ของกาลเทศะในการ “ฉี่” นัยว่า “พวกเอ็งโตจนเลียตูดหมาไม่ถึงแล้ว ยังไม่รู้เหรอไงวะ ว่าเวลาไหนควรฉี่ เวลาไหนไม่ควรฉี่” (ถามบ้าๆ มาสเซอร์ เวลาควรฉี่ ก็เวลาปวดดิวะ เอ๊ย ครับ)

พวกผมก็ตอบแกไปแบบสุภาพว่า “เอ้ามาสเซอร์ ก็มันปวดฉี่พร้อมกันจะให้ทำไง ขึ้นไปก็เรียนไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ต้องขออนุญาตลงมาใหม่ แถมยัง โฮมรูมอยู่ ยังไม่เริ่มสอนหรอก”

แกก็ยังยืนยันตามคู่มือการฉี่ที่ถูกต้องว่า ต้องขออนุญาตจากครูประจำชั้น หรือ ครูประจำวิชาให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะตีตั๋ว ทำวีซ่า ลงมาฉี่ในขณะปฏิบัติหน้าที่นักเรียนได้

ไอ้ที่แสบมันไม่ใช่แค่ไล่ไปขออนุญาตดิครับ ก็แกเล่นต้องให้ครูประจำชั้น หรือประจำคาบ เซ็นอนุญาตให้ไปฉี่โดยเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยนี่ดิ แต่มันก็มีเพื่อนผมบางคนประชด วิ่งไปให้ครูประจำชั้นเซ็นใบอนุญาตฉี่ (เยี่ยว และหมายความรวมถึงปัสสาวะ) โดยชอบด้วยกฎหมาย มายืนยันความชอบธรรมในการไปฉี่ด้วยแฮะ เอากะมัน (แต่มาสเซอร์แม่งก็บ้า ดูเสร็จแล้วดันอนุญาตอีก ไม่เอาความและไล่ขึ้นห้อง โห รู้งี้กูขึ้นไปขอมั่งดีกว่า คิดว่าล้อเล่น)

ไอ้พวกที่เหลืออย่างพวกผม ก็นั่งฟังโศลกแกต่อไป

นอกจากความน่าเบื่อแล้ว ในใจพวกเราก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะร้ายแรงอะไร เต็มที่ก็แค่นั่งฟังอีกสักพัก พอแกเจ็บคอ ก็คงปล่อยขึ้นห้องตามปกติ และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น หากเพื่อนผมคนหนึ่งมันไม่ยกมือใช้สิทธิอภิปราย

ปกติไอ้เบียร์เพื่อนผมคนนี้ จัดได้ว่าเป็นนักเรียนดีเด่นคนหนึ่ง แม้จะเป็นพวกเฮฮา รักสนุก แต่ก็ไม่เคยเกินขอบเขต หรือมีประวัติในทางเสียหาย เมื่อมันยกมือขอใช้สิทธิอภิปราย เลยทำให้เพื่อนๆฉงนไม่น้อย

“ผมไม่ทราบว่าผมผิดตรงไหน” ประโยคนี้เป็นคำถามจากไอ้เบียร์เพื่อนผม

“นี่เรียนมาจนถึงป่านนี้ เอ็งยังไม่รู้เหรอวะ ว่าผิดตรงไหน” คำตอบจากหัวหน้าฝ่ายปกครอง

“ก็คนมันปวดฉี่” ไอ้เบียร์ไม่ลดละ

“ฉี่ได้ แต่มันก็ต้องเป็นเวลา…ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยขออนุญาตลงมา” ฝ่ายปราบปราม เอ๊ย ฝ่ายปกครองสวนคำกลับ

“ก็มันเสียเวลาเรียน ตอนนี้โฮมรูมอยู่ ยังไม่เริ่มคาบแรก” เบียร์พยายามหักล้างด้วยเหตุผลของมัน

จริงๆ จะว่ากันตามหลักการปัสสาวะในเวลาเรียนที่ถูกต้อง พวกผมมันผิดเต็มประตูอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มาสเซอร์แกหงุดหงิดน่าจะมาจาก การที่พวกเราไม่ยอมรับผลการตัดสินของแกง่ายๆ และเมื่อมีไอ้เบียร์มาพูดแทนเพื่อน และได้รับการสนับสนุนด้วยเสียงโห่ฮา และตบมือบ้างประปราย ก็เลยยิ่งเพิ่มดีกรีความหงุดหงิดให้กับ เฮียเนียง (ชื่อมาสเซอร์ฝ่ายปกครองคู่กรณีคนนี้แหล่ะครับ…เราให้เกียรติยกแกเป็นพี่ด้วยการใส่คำนำหน้าชื่อว่า “เฮีย” ออกเสียงดีๆนะครับ) จนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ (สังเกตได้จากไฝแกเริ่มกระดิกแล้ว)

แกเริ่มใช้พระเดช (ตั้งแต่ต้นก็ไม่เคยใช้พระคุณนี่หว่าเนี่ย) ด้วยการขู่สารพัด

“นี่พวกเอ็งไม่อยากเรียนจบกันใช่มั๊ย” ขู่คำแรก

“อ๋อ มันมีไอ้พวกสองปีด้วยนี่หว่า ถ้าอย่างนั้น สงสัยต้องระงับใบ ร.บ.” ขู่คำที่สอง

ไอ้เบียร์พูดลอยลมสวนออกไปความว่า “พ่อกะแม่ผมคงภูมิใจแหล่ะ ที่ลูกเรียนไม่จบ เพราะฉี่ผิดเวลา” เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย…หมัดนี้เพิ่มดีกรีความหงุดหงิดของเฮียเนียงได้เกือบเต็มปรอท เสมือนเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอย่างยิ่ง ปล่อยไม่ได้เดี๋ยวเป็นเยี่ยงอย่าง ต้องปราบปรามให้แดดิ้น แกคงนึกในใจ

และแล้วที่มาของหัวเรื่องวันนี้ก็บังเกิดขึ้น เมื่อปรอทแตะจุดสูงสุด เฮียเนียงก็ หล่นประโยคทองมาว่า “พวกเอ็งนี่มันกระด้างกระเดื่อง”

หลังจบประโยคนั้น ปฏิบัติการเอาคืนก็เริ่มดำเนินการขึ้น

แกสั่งให้ทุกคน เก็บขยะรอบอาคารเรียนมอปลาย ให้สะอาด ยกเว้นแต่

ไอ้เบียร์…ที่ไม่ถูกร่วมเก็บสิ่งปฏิกูล แต่ให้ย้ายก้นตามแกไปที่ห้องฝ่ายปกครองเอง

เรามองตามหลังไอ้เบียร์ด้วยความหวั่นใจ เพราะไม่รู้ว่า ความหงุดหงิดของเฮียเนียง จะสร้างอุปสรรคในชีวิตการเรียนให้เพื่อนผมได้มากน้อยแค่ไหน

เมื่อเก็บขยะเรียบร้อย เราก็เดินทางขึ้นห้องเรียน เพื่อปฏิบัติหน้าที่นักเรียนตามปกติ พร้อมกับรอฟังข่าวของไอ้เบียร์

เมื่อเดินทางถึงหน้าห้อง มิสกาญจนา ครูประจำชั้นสุดที่รักของเราก็ยืนต้อนรับเราด้วยรอยยิ้ม และ…

ไม้เรียว

คนละสอง ฟึ่บ นั่นคือ ของขวัญยามเช้าก่อนเริ่มเรียน (แม้จะเจ็บ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงของมิสนะ ไม่รู้ดิอาจคิดไปเอง เพราะหลังจากลงไม้เรียวกับตูดงามๆของพวกเราแล้ว มิสกาญจนา ก็มานั่งคุย ถามไถ่ถึงเหตุการณ์อย่างเป็นห่วง และเตือนพวกเราให้รู้จักกาลเทศะ และการให้เกียรติผู้ใหญ่หน่อย ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรก็ตาม แต่ความเป็นศิษย์อาจารย์ ก็ยังครอบหัว ครอบตัวเราอยู่)

เราเรียนกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับวันนั้น พะวงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไอ้เบียร์น่ะ

เวลาผ่านไปประมาณร่วมชั่วโมงได้มั๊งครับ ไอ้เบียร์ก็โผล่หน้ามาที่ห้อง พร้อมรอยยิ้ม ซึ่งสร้างความแปลกใจให้พวกเราอย่างแรง เพราะเราคิดกันว่าอย่างน้อยมันต้องเจอเรียกผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมแน่ๆ

เมื่อพักเบรคสิบห้านาทีระหว่างคาบ พวกเราก็กรูกันไปถามถึงเหตุการณ์ในห้องปกครองระหว่างมันกับเฮียเนียง มันเล่าว่างี้ครับ

“ไม่เห็นมีไร ก็แค่เรียกกูเข้าไปดุว่า เธอทำแบบนี้ไม่ดีนะ มาสเซอร์เสียหน้าหมด เธอเล่นพูดหักหน้ามาสเซอร์ต่อหน้าเพื่อนๆ”

“พวกเธอน่ะมันยังเด็กๆ สมัยมาสเซอร์เป็นนักเรียนนะ เคยโดดเรียนไปเตะบอล ครูมาเจอ วิ่งหนีกันแตกฮือ ตกน้ำตกท่า” ดูมาสเซอร์จะเล่าด้วยความภูมิใจ

“ห่า หนีไงวะให้ตกน้ำตกท่า” ไอ้เบียร์นึกในใจ

อบรมอีกพัก ไอ้เบียร์ก็ถูกปล่อยตัวออกมาโดยไม่ต้องมีใครไปประกัน พร้อมกับมานั่งทำหน้ากวนซ่งตีง และเล่าเหตุการณ์ด้วยรอยยิ้มให้พวกผมฟังอยู่เนี่ย

สรุปว่า ไม่มีอะไรร้ายแรง ก็ถือว่าเป็นโชคดีนะครับ ที่แกไม่บ้าจี้ทำตามที่แกขู่ไว้ ไม่งั้นพวกผมอาจเสียหลักทางการศึกษากันไม่มากก็น้อย อันนี้ต้องกราบขอบพระคุณแกไว้ ณ ตรงนี้ ขอบคุณครับเฮียเนียง

จากนั้นมาพวกผมก็ได้ฉายา รุ่น “ฉี่กระด้างกระเดื่อง” ดำเนินตามรอยเท้ารุ่นพี่ๆ ที่ทำไว้ เพราะทุกรุ่นมักมีฉายาที่ได้รับจากวีรเวร ทำนองเดียวกันอย่างนี้เสมอ อย่างก่อนรุ่นผมรู้สึกจะรุ่น “ราวบันได” คลับคล้ายคลับคลาว่า เพราะทะโมนไปเล่นลื่นจากราวบันได ลงมาชนมิสกระเด็นกระดอน หรืออย่างไรทำนองนี้

ไม่รู้ว่าไอ้รุ่นหลังพวกผม มันมีชื่อรุ่นแบบนี้อีกหรือเปล่า ไม่แน่นะครับ อาจจะมี “ส้วมกบฏ” หรือ “ลูกบอลไม่รักดี” ทำนองนี้ให้ได้ยิน
ด้วยความที่รู้สึกถูกชะตากับชื่อรุ่นของตัวเองอย่างยิ่ง พวกผมลงทุนกันคนละ 150 บาท ซื้อเสื้อยืด มาทำบล็อกสกรีนกันเอง เป็นรูป พวกเราขาสั้นยืนฉี่ พร้อมชื่อรุ่น และกิตติกรรมประกาศ เป็นที่ระลึกคนละตัว (ทุกวันนี้ผมยังเก็บไว้ ไม่กล้าใส่)

วีรกรรมเหล่านี้ แม้จะอยู่ในความทรงจำและเรียกรอยยิ้มจากพวกเราได้เสมอ ยามได้มาย้อนรำลึกร่วมกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ควรเอาเยี่ยงเอาอย่าง หรือควรยึดเป็นแบบปฏิบัติแต่อย่างใดนะครับ มันเป็นความคะนองส่วนตัว ในสมัยที่ฮอร์โมนวัยรุ่นมันกำลังพลุ่งพล่าน

หนูๆน้องๆ ท่านใดหลงมาอ่าน กรุณาตามคุณพ่อ คุณแม่มาช่วยกันอ่านด้วยนะครับ

แล้วแต่ดุลยพินิจและวิจารณญาณของทุกท่านครับ (จบแบบเดอะป๋อง กพล ทองพลับอีกแล้ว)

ไว้มีโอกาสกลับไปเยือนถิ่นเก่า ผมจะไปเก็บภาพโรงเรียนแสนรักของผมมาให้ดูกันครับ ว่าแต่ละเหตุการณ์นั้น มีภูมิสถานอย่างไร

Tuesday, August 09, 2005

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ (ตอนที่ 1)

ช่วงนี้ได้อ่านบล็อกย้อนรำลึกวันเก่าๆของบล็อกเกอร์ทั้งหลาย แล้วหวนให้นึกถึงวันเก่าๆ ของตัวเองบ้าง ผมเชื่อว่าทุกคนเองก็มี “วันเก่าๆ” หรือ "วันก่อนๆ"ของตัวเองในกล่องบันทึกความทรงจำทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยบ้าง สีสัน แตกต่างกันออกไป

แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง เรื่องราวในกล่องบันทึกความทรงจำของเรา เมื่อผ่านกาลเวลามามากพอควร แม้จะมีจางเลือนลางไปบ้าง แต่ในอีกมุมหนึ่งของ เรื่องราวที่ยังคงค้างอยู่ในกล่องใบนั้น มักจะเป็นเรื่องที่ “ประทับ” อยู่ในใจ ในความทรงจำเราอย่างจริงจัง

ผมมีความสุขทุกครั้ง ที่ได้ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ในวันก่อนๆ มาพูดคุย และรำลึก กับพยานแห่งความทรงจำของผม ยามได้นั่งล้อมวงกัน ไม่ว่าจะ ณ สถานที่ใดๆ หลายคน ช่วยกันขุด หลายคนช่วยกันคุ้ย และหลายคนช่วยกันเติมเต็มความทรงจำของกันและกัน

วันนี้ผมขอหยิบยกเรื่องราวในวันเก่าๆ สักเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของผม มาเขียนเล่าให้ผู้อ่าน รวมทั้งให้ตัวผมเองฟังกันดีกว่าครับ
เรียกได้ว่า ผมและคุณเราฟังเรื่องราวของผมไปพร้อมๆกันดีกว่า

ผมขอเชื่ออีกสักอย่างว่า คนเรานั้นเอาเข้าจริง เราไม่ได้เป็นฝ่าย “เลือก” อะไรๆ ในชีวิตเราได้มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะทำได้เพียง “เดิน” ไปตามทางที่มันเปิดเอาไว้เท่านั้น โดยเฉพาะ เมื่อเรากำลังไขว่ขว้าและเดินอยู่บนเส้นทางที่เรียกว่า “ชะตา” เพื่อมุ่งหน้าไปหาจุดหมายที่เรียกว่า “อนาคต”

เหมือนกันกับช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินของผม ที่พาผมไปวกเวียนวนอยู่ในรั้วแดงขาว แถวฝั่งธน ชนชายขอบกรุงเทพมหานคร พร้อมกับเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีมากมาย และสถานที่แห่งนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ผมยืนอยู่ ณ จุดปัจจุบันนี้

ผมเข้ามาเรียนที่นี่ ด้วยความไม่คาดหวัง และไม่ได้ใฝ่ฝัน เรียกได้ว่าเป็นเพราะ “ชะตาฟ้าลิขิต” แท้ๆทีเดียว ผมแทบไม่เคยได้ยินชื่อโรงเรียนนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ “อัสสัมชัญ” ผมมักจะคิดถึง โรงเรียน “อัสสัมชัญกรุงเทพ” ที่ตั้งอยู่แถวบางรัก ไม่ใช่ “อัสสัมชัญธนบุรี” ที่ตั้งอยู่แถวหมู่บ้านเศรษฐกิจ บางแค (ชื่ออักษรย่อโรงเรียนผมก็ต่างกันครับ ในขณะที่ อัสสัมชัญบางรัก เค้าปักว่า อ.ส.ช. พวกผม กลับปักว่า อ.ส.ธ. ก็เพราะไอ้อักษรย่อโรงเรียนแบบนี้ของผมแหล่ะครับ ที่โรงเรียนใกล้ๆกัน เก็บไปล้อว่าเป็น เด็ก “อีสานฝั่งธน” แล้วดันเสือกมีร้านลาบแถวโรงเรียนใช้ชื่อ “อีสานฝั่งธน” จริงๆด้วย เวรกรรม …แต่พวกผมก็เบาที่ไหน พวกผมก็เรียกมันกลับว่า เด็ก “โรงน้ำปลา” เหมือนกัน ด้วยเหตุที่ โรงเรียนมันมีอักษรย่อว่า “ร.น.ป.” ราชวินิตบางแคปานขำน่ะครับ)

ผมได้มีโอกาสเข้าสอบเพื่อคัดเลือกเข้ามาเรียน ณ โรงเรียนนี้ เพราะแม่ของเพื่อนซื้อใบสมัครมาเผื่อ ด้วยความเกรงใจ (และเสียดายเพราะจ่ายเงินคืนให้เค้าไปแล้ว) ผมจึงดั้นด้นมาสอบ ที่ต้องใช้คำว่าดั้นด้น เพราะมันไกลชิหาย ไกลขนาดผมนั่งหลับสามตื่นยังไม่ถึง หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ จนจำไม่ได้แล้วว่านี่กูกำลังจะไปไหนวะ ถ้าไม่ได้ดูแผนที่กรุงเทพ ผมไม่มีวันเชื่อเป็นอันขาดว่า ไอ้โรงเรียนนี้มันยังอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร

สัมผัสแรกกับโรงเรียนนี้ นอกจากความเบื่อหน่าย ในการเดินทางแล้ว ก็คือ โรงเรียนห่าไรวะ แม่งใหญ่ชิหาย อาจจะเป็นเพราะที่ที่ผมจากมามันเล็กเท่ารูหนู แถมอยู่ในเขตชุมชน เรียกได้ว่า แม่ค้งแม่ค้าทะเลาะกันพวกผมได้ยินหมด เวลารถซิ่งขับผ่านโรงเรียน ก็ต้องหยุดการเรียนการสอน ไว้อาลัยให้มันก่อน

เนื้อที่ของโรงเรียนขณะที่ผมเข้าไป เมื่อราวปี 2535 อยู่ที่ 80 ไร่เศษ และในปัจจุบันเมื่อกลับไปอีกครั้ง ได้ข่าวว่ามันได้ขยายไปร่วม 100 ไร่แล้วล่ะมั๊ง เรียกว่าสุดลูกหูลูกตา อาจเป็นเพราะด้วยความห่างไกลจากความเจริญ เลยทำให้ราคาที่ดินมันไม่สูงปรี๊ดปร๊าดเหมือนใจกลางกรุงเทพ สะใจผมจริงๆ เพราะผมใฝ่ฝันที่จะได้วิ่งไล่ลูกกลมๆในสนามหญ้าใหญ่ๆมานานแล้ว

นอกจากความใหญ่โตของพื้นที่แล้ว ผมสังเกตเห็นว่า บรรดาอาคารเรียน ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ อยู่ในขั้นดี ใหม่ และทันสมัย (แม้ว่าต่อมามันจะผุดขึ้นอีกเป็นดอกเห็ดก็ตามเมื่อผมจบมาแล้ว…อะไรๆมันมักจะดีขึ้นเมื่อเราจากมันมาเสมอ) เข้าใจว่า บาร์เดอร์อธิการ สมัยที่ผมอาศัยชายคาเรียนนั้น ท่านเป็นนักพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยการเริ่มต้นจาก “วัตถุ” ก่อน เพราะเมื่อผมเปิดดูรูปของโรงเรียนแห่งนี้ ในสมัยหลายสิบปีก่อน ผมบอกได้คำเดียวว่า

นี่มันทุ่งนา และปลักควายนี่หว่า

วันที่ผมต้องสอบสัมภาษณ์ เข้าเรียนเมื่อผ่านข้อเขียนแล้ว ผมจำได้ถึงความรู้สึกที่วิตกจริตกลัวจะตอบคำถามไม่ได้ และด้วยประสาเด็ก ก็คาดเดาไปต่างๆนาๆ เกี่ยวกับคำถามที่อาจารย์ที่พวกเด็กเก่าๆเรียนตั้งแต่สมัยประถม เรียกว่า “มิส” และ “มาสเซอร์” (ผมมาเข้าโรงเรียนนี้ในชั้นมัธยม 1 ) จะขุดเอามาถาม หลายคนไซโคว่าต้องเป็นคำถามที่เกี่ยวกับโรงเรียนแน่ๆ จะได้ดูว่าเรามีความตั้งใจจริงในการเข้าเรียนที่นี่ขนาดไหน ผมก็เออ ออ ไปกะมัน

ด้วยการ…

ไปนั่งนับโถส้วมและโถฉี่ ที่อยู่ในห้องน้ำ (มีแต่ห้องน้ำชายครับ โรงเรียนผมชายล้วน แต่เพิ่งมารับผู้หญิงในชั้นมัธยมปลาย ตอนผมออกมาแล้วเช่นเคย) เพราะประหวั่นว่าแกจะถามถึงจำนวนสุขภัณฑ์ดังกล่าว

วิตกจริตมั๊ยครับ

ช่วงชีวิตมัธยมต้นของผมในโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างเรียบ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคลื่นลมกระทบความทรงจำเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนเมื่อเวลาผ่านมาจนผมขึ้นมัธยมปลาย

ผมมีเวลาในฐานะนักเรียนในระดับมัธยมปลายในโรงเรียนนี้ค่อนข้างน้อย ไม่ใช่เพราะสอบเทียบเหมือนคนอื่น แต่ห้องผมซึ่งมีจำนวนนักเรียนประมาณสี่สิบปลายๆ เป็นห้องเรียนของโครงการ สพพ. (ผมจำชื่อเต็มมันไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่า เพื่อนผู้หญิงในมหาวิทยาลัยของผม ขี้ตู่ว่าตัวเองก็จบจากโครงการนี้เช่นเดียวกัน เธอบอกว่ามันย่อมาจาก “สวยเพรียบพร้อม”) ซึ่งจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรมัธยมปลาย ให้เหลือเพียงสองปี คือ ผมต้องเรียนวิชาของชั้น มัธยมสี่จนถึงมัธยมหก ให้จบในเวลาสองปีน่ะครับ จัดห้องสอบกันเป็นว่าเล่น แม้แต่ต้องแหกขี้ตามานั่งสอบวันเสาร์วันอาทิตย์ก็เคย สอบเสร็จก็ต้องจัดโต๊ะให้เข้าที่ เพราะรุ่งขึ้นต้องใช้เป็นห้องเรียนธรรมดาอีก

แต่สองปีก็พอจะทำให้ผมไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกแล้ว เมื่อต้องเดินออกจากรั้วแดงขาว สู่รั้วเหลืองแดง

ผมได้เพื่อนที่ดี ซึ่งทุกวันนี้ยังคบหากันอยู่ และนัดกินข้าวกันทุกเดือน ถ้าทำได้

ผมได้ครูที่ดี เรียกได้ว่าเป็นแม่คนที่สองของพวกผมกันเลยทีเดียว…มิสปุ๊ครับ และทุกวันนี้เราก็ไม่เคยพลาดที่จะต้องมีมิสไปด้วยทุกครั้งที่พวกเรานัดกินข้าวกันประจำเดือน (ฟังดูยังไงๆ นะครับ … ประจำเดือน)

ห้องผมดูจะเป็นเด็กเรียน แต่แท้แล้วไม่ ออกจะทะโมนด้วยซ้ำ ความทรงจำในด้านวีรกรรม วีรเวรพวกผมก็ไม่น้อยหน้าใครล่ะ

ไม่ใช่เกเร เกตุง ก็แค่ท้วมๆพอน่ารัก น่าหยิก

ด้วยเวลาที่จำกัดในการเรียนให้จบมัธยมปลาย เลยทำให้การจัดการสอนของบรรดามิสและมาสเซอร์ต้องเร่งจังหวะตามไปด้วย กรรมก็มาตกที่พวกผมที่ต้องสอบกันเป็นงานหลัก เมื่อเตรียมตัวไม่ทัน ผลโดยตรงก็ต้องลอกกันแหล่ะครับ

ผมเชื่อว่า หลายคนเคยลอกข้อสอบ หรือไม่ก็ต้องมีตะแคง ตะแบงกันมั่งล่ะวะ วิธีการลอกอาจจะเป็นวิธีสากล เช่น แอบจดโพยในส่วนใดส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าและร่างกาย หรือคลาสสิคกันโต้งๆ ก็ชะเง้อลอกเพื่อนตอนครูเผลอ การส่งสัญญาณทั้งหลายแก่กัน ฯลฯ

แต่พวกผมยิ่งกว่านั้น ผมมีเครื่องมือชั้นดีในการลอกข้อสอบ

จำได้ว่าวันนั้นพวกผมสอบกลางภาควิชาเคมี สาเหตุที่บีบบังคับให้พวกผมต้องใช้วิธีการอื่นในการตอบข้อสอบนอกจากการคิดจากสติปัญญาของตัวเอง ก็คือ การที่มาสเซอร์เจ้าของวิชา ดันมีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการเปิดโรงเรียนกวดวิชาเคมี ใกล้ๆกับโรงเรียน แล้วชวนเชื่อแกมบังคับให้พวกผมไปเป็นลูกค้าแก หากใครไม่ไปก็ไม่เป็นไร ก็แค่จำไว้ และบรรดาข้อสอบทั้งหลายก็มักไปโผล่เป็นส่วนหนึ่งของ ชีทและเอกสารในการติวของแก แค่นั้น

เมื่อชีวิตมันรันทดขนาดนี้ พวกผมก็จำเป็นที่จะต้อง “ลอก” (มันน่าสงสารจริงๆนะเนี่ย) พวกเราพยายามวางแผนจะทำอย่างไรให้ปฏิบัติการครั้งนี้มัน “เนียน” ที่สุด เพราะจำนวนนักเรียนที่ทำได้กับทำไม่ได้ มันครึ่งต่อครึ่งกันเลยทีเดียว เราจึงจำเป็นต้องลอกกันอย่างมโหฬารและถล่มทลาย

จำมิสปุ๊ คนข้างบนได้มั๊ยครับ

นั่นแหล่ะครับ ที่พึ่งของพวกผมจริงๆ ก่อนเข้าสอบ เมื่อเราประเมินสถานการณ์การสู้รบครั้งนี้ และพบว่าอัตราที่จะตายยกห้อง หรืออย่างน้อยครึ่งห้องมีสูงมากๆ เราก็เลยส่งตัวแทน อันประกอบด้วยผมและเพื่อนอีกราวสี่หรือห้าคน ไปเจรจาต้าอ่วยกะมิส ให้ช่วยเราพ้นสภาวะอันบีบคั้นนี้เสียที แรกๆมิสก็อ้ำอึ้ง พร้อมกับทำเสียงอ่อยๆว่า “เอางั้นเลยเหรอลูก” และประกอบกับการที่มิสเป็นครูสอนศาสนาด้วย การร่วมกระทำการกับพวกผมจึงหมิ่นเหม่ต่อการผลักมิสสู่ดินแดนแห่งซาตานเสียจริงๆ

แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันของซาตาน หรือเพราะมิสรำคาญพวกผมกันแน่ แกเลยตอบตกลง แบบหวั่นใจเหมือนกัน แผนของเราจึงได้ดำเนินการขึ้น นับจากการเจรจาเมื่อตอนพักเที่ยงวันนั้น…

ออดโรงเรียนดังขึ้นตอนบ่ายโมงอันเป็นเวลาที่พวกผมต้องเข้าสู่สมรภูมิสอบวิชาเคมีเจ้าปัญหาแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวสิบห้านาทีของการสอบ แผนการเราก็เริ่มต้นขึ้น

มิสปุ๊ เดินเข้ามาเคาะประตูห้อง แล้วบอกกับมาสเซอร์ผู้คุมสอบและเป็นเจ้าของวิชาว่า มีโทรศัพท์ด่วน อยู่ห้องธุรการที่ต้องลงไปรับที่ชั้นหนึ่ง (พวกผมอยู่ชั้นสาม)

แรกแกก็ลังเลใจว่าจะลงไปรับดีหรือไม่ เพราะไม่ไว้ใจพวกผมอยู่แล้ว แต่เมื่อมิสปุ๊คนดี เสนอตัวช่วยคุมสอบให้ในขณะที่แกไม่อยู่ ก็ทำให้แกตัดสินใจไปรับโทรศัพท์ง่ายขึ้น

เมื่อแกลากเอารูปร้างตุ้ยนุ้ยเดินผ่านบริเวณห้องเราไป ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น บรรดาเพื่อนที่ได้ไปเรียนกวดวิชากับแก ก็พร้อมใจกัน เปิดข้อสอบให้เพื่อนลอกกันอย่างเมามัน ไม่มีใครปิดบังหรือหวงวิชาอะไรกันเลย จนกระทั่งมีความคิดว่าพวกเราจะรวมเงินกัน ส่งตัวแทนหัวกะทิของห้องไปนั่งเรียนพิเศษกะแกเพื่อเอาข้อสอบมาแบ่งปันกันอย่างนี้เรื่อยๆ

มิสปุ๊ได้แต่ยืนยิ้ม…ด้วยแววตาสังเวช และวิตกว่า “กูจะตกนรกมั๊ยเนี่ย”

แผนการครั้งนี้คงสำเร็จไปไม่ได้หากเราไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ธุรการผู้ทำทีเป็นถือหูโทรศัพท์รอมาสเซอร์ผู้โชคร้ายไปรับสาย พร้อมกับบอกมาสเซอร์ว่า “สายหลุดไปแล้วค่ะ” และกดเบอร์ภายในมา ณ ห้องมิสปุ๊ที่บังเอิญอยู่ติดกับห้องสอบของพวกผมพอดี เพื่อแจ้งพิกัดของมาสเซอร์ ที่กำลังมุ่งหน้ากลับมาทำหน้าที่ดังเดิม…ขอบคุณครับพี่ ไม่ได้พี่พวกผมคงแย่

เมื่อแกกลับมา ก็พบว่าห้องสอบอยู่ในสภาพเรียบร้อย ต่างกับเมื่อสักนาทีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

แผนการครั้งนี้คงเป็นความลับสำหรับมาสเซอร์ต่อไปหากเพื่อนผมคนหนึ่งมันนิ่งกว่านี้

ด้วยการที่มันยังอ่อนประสบการณ์ในการลอกหรืออย่างไรไม่ทราบ มันเสือกลืมคืนกระดาษคำตอบของเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังของมัน อารามว่ากำลังลอกติดพัน และคืนไม่ทันเมื่อมาสเซอร์กลับมา ในขณะที่ไอ้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังมัน ก็ใจเต้นตุ๊บตั๊บ เพราะทั้งโต๊ะมีแต่กระดาษคำถาม ไม่มีกระดาษคำตอบ เพราะมันเสือกไปอยู่ที่โต๊ะข้างหน้ามันเสียแล้ว ยังไงดีครับ

แกเล่นเดินตรวจ เดินดูทีและแถว เหมือนมีญาณหยั่งรู้อย่างไรไม่ทราบ

และพิรุธที่เพื่อนผมก่อไว้มันก็ไม่เล็ดรอดสายตาแกไปได้ แกมาหยุดอยู่ตรงหน้าไอ้หนุ่มเพื่อนผม คนที่บนโต๊ะมีกระดาษคำตอบสองแผ่น ก็ของเพื่อนคนข้างหลังมันนั่นแหล่ะแผ่นนึง ผมเข้าใจว่ามันพยายามจะซ่อน แต่ไม่เนียนพอที่จะตบตามาสเซอร์ผู้มากด้วยประสบการณ์
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก พร้อมกับพิรุธอื่นที่เห็นได้อย่างชัดเจน มาสเซอร์จึงยิงคำถามดั่งพนักงานสอบสวน ยิงคำถามใส่ไอ้หัวขโมยมือใหม่ ที่เพิ่งหัดปีนเข้าบ้านคนอื่นครั้งแรก

“เฮ้ย! นี่มึงเอามาจากไหนอีกแผ่นวะไอ้หนุ่ม”

พวกผมช่วยกันลุ้นคำตอบจากปากมัน แบบลืมหายใจ เพราะหากมันโดน มีรึว่าพวกผมจะรอด

ด้วยความตระหนก แกมประหม่าของมัน

แทนที่แม่งจะหาคำตอบอะไรไปก็ได้ เช่น อ๋อ เพื่อนทำตกแล้วปลิวมาครับ ผมกำลังจะคืน หรืออะไรก็ว่าไป

แม่งเสือกตอบว่า

“ผมลืมคืน”

ความเลยแตกซะเท่านั้น

แต่ด้วยความที่จับมือใครดมลำบาก และไอ้หนุ่มเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้า เอ๊ย ลูกศิษย์ สำนักกวดวิชาของเค้า (ทั้งๆที่แม่งก็เรียนกวดวิชากับมาสเซอร์ มันยังต้องมาลอกคนอื่นเค้า น่าคิดเรื่องคุณภาพของการกวดวิชาจริงๆครับ) เรื่องราวจึงจบลงแบบไม่มีใครเสียเลือดเสียเนื้อ..มีเพียงแค่การคาดโทษ และข่มขู่พอเป็นพิธี (แต่ไม่รู้ว่าการที่ผลสอบปลายภาคออกมา พวกผมตกกันครึ่งห้อง และหนึ่งในนั้นคือผมด้วย จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากน้อยแค่ไหน)

วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน

วันหน้าผมจะขุดคุ้ยเอาเรื่องราวทะโมนๆ ในรั้วแดงขาวของผม มาแผ่ให้ฟังกันอีกครับ

โดยครั้งหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะเขียนเรื่อง “ฉี่กระด้างกระเดื่อง” ให้ฟังกันครับ

ขอกลับไปเปิดกล่องแห่งความทรงจำก่อน

Tuesday, August 02, 2005

จากม๊อบเบียร์ช้างถึงกฎหมายตราสามดวง

และแล้วก็ไม่สามารถมาอัพบล็อกได้ภายในอาทิตย์ที่แล้วตามที่สัญญา (กับตัวเอง) ไว้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมได้ทั่วไปดาษดื่น ณ เวลานี้

ผิดสัญญา ผิดคำพูดเป็นอาจิณ จนแทบจะล้มละลายทางวิชาการไปแล้ว ติดหนี้เค้าไว้ทั่ว โดยไม่มีปัญญาชดใช้

จากที่เคยตั้งใจจะเขียน “แฉ” หรือ “ตีแผ่” ชีวิตตัวเอง พร้อมกับนำคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติโกโหติกา รวมทั้งผองเพื่อนมานั่งยางโชว์ แต่ก็ต้องระงับยับยั้งไว้ก่อน เพราะยังตีบตัน ตื้อไปกับความทรงจำของตัวเอง และที่สำคัญ ผมขอกลับไปเปิดลิ้นชักแห่งความทรงจำของผมก่อน ไม่อยากให้เรื่องราวในความทรงจำดีๆ ต้องหล่นหายไป ฉะนั้น ขอเวลาเรียบเรียงหน่อยครับ

มาถึงเรื่องราวในบล็อกของผมตอนนี้ดีกว่า เมื่อวานเป็นวันที่ยุ่งและวุ่นวายวันหนึ่งของผม (อีกแล้ว รู้สึกว่าผมจะมีวันแบบนี้บ่อยเหลือเกิน) เนื่องจากเป็นวันซ้อมใหญ่ในการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร (กับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ของผม ซึ่งตามกำหนดการผมต้องเข้าหอประชุมราวสี่โมงเย็น แต่ด้วยความสามารถในการกะเกณฑ์เวลาที่มีอยู่จำกัดของผม ผมจึงตัดสินใจออกแต่เช้า (ประมาณหกโมงครึ่ง…แค่นี้ก็แหกขี้ตากันแล้วครับ) ผจญมหกรรมลานจอดรถแถบวงเวียนใหญ่ กว่าจะหลุดพ้นเอายานพาหนะมาจอดที่สนามหลวงได้ ก็ปาไปกว่าเจ็ดโมงครึ่ง

ด้วยฤทธิ์ของพายุ “วาชิ” ที่พัดผ่านประเทศไทย ทำให้เมื่อวานนั้นพระพิรุณได้โปรยปรายอย่างไม่หยุดหย่อน แม้จะเป็นหย่อมเล็กๆ แต่ก็สร้างความรำคาญให้แก่บรรดาบัณฑิตใหม่กันถ้วนหน้า โดยเฉพาะบัณฑิตหญิงที่แต่งแต้มหน้าตา และยกกระบังบนศรีษะกันอย่างไม่เกรงใจสายไฟระโยงระยางแถบสนามหลวงกันเลย เพราะพระพิรุณท่านเล่นซะกระบังเหล่านั้น ฟีบและแฟ่บ จนหลายคนมีสภาพศรีษะคล้ายลูกแพะเพิ่งคลอด

นอกจากนั้นยังสร้างความลำบากในการเดินทางอย่างยิ่งยวด เพราะสนามหลวงที่อนุญาตให้บรรดาบัณฑิตและญาติบัณฑิตนำรถมาจอดได้ กลายเป็นสนามเลน หลายคนต้องยอมถ่ายภาพกลางฝน ช่างกล้องก็บ่นอุบเพราะภาพที่ออกมาอาจจะไม่สวยเท่าที่ควร เดี๋ยวเสียชื่อ และอาจเสียกล้องเครื่องมือทำมาหากิน ด้วยละอองฝนที่โปรยปรายลงมา หากดูแลกันไม่ดี

ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง ยาวนานอย่างทรหด กับการชักภาพเป็นที่ระลึกกับญาติๆ บรรดารุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเพื่อน ท่าจะหมดไปหลายม้วนอยู่ กว่าจะออกจากหอประชุม เมื่อซ้อมเสร็จแล้ว ก็ปาไปทุ่มครึ่ง

ใจจริงอยากจะกลับไปนอนบ้านใจจะขาดเพราะง่วงและเพลียมากๆ แต่ภารกิจของผมยังไม่จบแค่นั้น ตอนดึกรุ่นน้องคนเก่งจะได้ฤกษ์เดินทางไปเรียนกฎหมายระดับปริญญาโทต่อที่ Harvard อยากจะไปส่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป (ขอโทษจริงๆนะเหวิน เหวิน เอาไว้ขากลับมาจะพาไปเลี้ยงไถ่โทษ)

บล็อกวันนี้คงไม่ได้อัพ หากผมไม่ได้ไปส่งสองสาวพี่น้อง ผู้เป็นบัณฑิตและมหาบัณฑิตที่จะรับปริญญาพร้อมกันในวันที่ 4 สิงหานี้ เส้นทางที่ผมใช้นั้นจำเป็นต้องผ่านบริเวณถนนพระรามที่หก ช่วงหน้ากระทรวงการคลัง (ซึ่งผมใช้เส้นนี้เดินทางมาทำงานทุกวันอยู่แล้วครับ) ผมและผู้โดยสารของผมพบกับคลื่นมหาชนลูกใหญ่ ตอนแรกคิดว่าเค้ายังอาจจะจัดงานบริโภคลำไยช่วยพี่น้องเกษตรกรไทยที่สนามหลวงยังไม่อิ่ม เลยมาจัดต่อที่นี่ แต่ดูไปดูมา คลับคล้ายคลับคลา ว่าจะเป็นการชุมนุมประท้วงคัดค้านอะไรสักอย่าง เนื่องจากเป็นภาพที่ชินตาผมพอดู ในระยะเวลาปีครึ่งที่ทำงานในบริเวณเดียวกับกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็นม๊อบไฟฟ้า ม๊อบหวย ม๊อบสารพัดม๊อบ

ม๊อบที่ว่าคือ “ม๊อบเบียร์ช้าง” ครับ ม๊อบที่ครั้งหนึ่งเคยปักหลักอยู่หน้าบริเวณตลาดหลักทรัพย์แถวคลองเตยนู่น ม๊อบที่เด็กๆนักเรียนนักศึกษา และพระภิกษุร่วมกันคัดค้านกันเหลืองอร่าม สวดชยันโตคัดค้านการนำเบียร์ช้างเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทำนองว่าจะเป็นการมอมเมาเยาวชน และเป็นการส่งเสริมอบายมุข

ตอนนี้พี่แกย้ายวิกมาพระรามหกแล้วครับ

ผมนั่งคิดเล่นๆ พร้อมๆกับคุยกับสองสาวผู้โดยสารของผมไปด้วยว่า เดี๋ยวนี้เราคงเอาประเด็นศีลธรรมอันดีของประชาชน มาเป็นข้อต่อสู้เรียกร้อง สนับสนุน หรือแม้แต่คัดค้าน การกระทำใด หรือเหตุการณ์ใด สักอย่างได้ยากยิ่ง เนื่องจากดูเป็นเรื่องเลื่อนลอย ล่องลอย อัตตะวิสัย อธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะในโลกที่ซับซ้อนหลายมิติ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย มิติแห่งความผิดชอบชั่วดีอันเป็นสากลของสังคมได้อีกต่อไปแล้ว

โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจ บนโลกทุนนิยม ที่บังเอิญมันก็ไม่ผิดกฎหมายเสียด้วย จะเอาอะไรไปห้าม จะเอาอะไรไปคัดค้าน ในเมื่อประโยชน์ที่จะได้ในเชิงศีลธรรม มันเทียบไม่ได้กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้

ผมไม่ใช่พวกศีลธรรมจ๋า และตั้งตัวเองอยู่ในวงแห่งศีลแห่งสัจ เสียจนละเมิดไม่ได้ เป็นนักบุญนักบวช ถือวัตรเคร่งศีล บนหัวนอนมีพระไตรปิฎก ไม่เคยทำผิดศีลธรรม อะไรขนาดนั้น ผมเฉยๆนะหากเบียร์ช้าง หรือสิงห์ หรือแรดที่ไหนจะเดินพาเหรดเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้ทุรนทุรายฟูมฟาย จะเป็นจะตาย อะไร

อีกอย่าง ผมก็ไม่ใช่คอสุรา คอแอลกอฮอลล์ แม้จะกินได้ แต่ก็ไม่พิสมัยอะไรขนาดนั้น ที่สำคัญ ผมไม่ได้เชียร์เอฟเวอร์ตัน!!! (ทีมที่จะตกรอบคัดเลือกรอบที่สาม เมื่อชนกับบีญาเรอัล )

ดังนั้น ขอแสดงจุดยืนครับ…(หากเป็นอาจารย์แม่ต้องบอกว่า จุดยืนของแม่ เหรอลูก ก็ตรงซ่งตีง แม่นี่ไง…กรุณานึกเป็นเสียงของอาจารย์ไปด้วย จะทำให้ท่านได้อรรถรสมากขึ้นหนึ่งกระบุง) ผมไม่ได้เชียร์ และไม่ได้ต่อต้าน ผมเป็นแค่คนที่สังเกตการณ์ และมองดูเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนปรากฏการณ์ของสังคม ที่จะต้องดำเนินไป เหมือนฝนตก เหมือนฟ้าร้อง เหมือนคนต้องกิน และต้องขี้

แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมันก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง

เรื่องราวที่แท้จริงก็อยู่ใกล้ตัวผมพอดู…มันอยู่ในกฎหมายตราสามดวง

ในครั้งหนึ่ง สมัยที่เรายังใช้ระบบ “เจ้าภาษีนายอากร” กันอยู่นั้น หมายถึง พ่อค้า คหบดีรายใด เข้าประมูลขอเก็บภาษีต่างๆ ให้กับหลวง โดยสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์แก่หลวงได้มากที่สุด จะได้รับสิทธิให้เป็นเจ้าภาษีนายอากรในการที่จะไปรีด เอ๊ย ไปเก็บภาษีกับไพร่ฟ้าราษฎรต่อไป ซึ่งแน่ล่ะ การขูดให้มากที่สุดย่อมเป็นผลดีต่อเจ้าภาษีฯ เอง เนื่องจากส่วนต่างที่มากขึ้นจะตกเป็นสิทธิอันชอบธรรมของตน

แต่ใช่ว่าหลวง อันหมายถึงพระบรมมหากษัตริย์ของเราท่านจะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่บรรดาเจ้าภาษีนายอากรมาทูลเกล้าฯ ถวาย เท่านั้น ท่านยังมองให้ลึก เจาะให้รอบ ก่อนที่จะทรงตัดสินพระราชหฤทัยลงไป โดยเฉพาะผลกระทบอันจะตกแก่ไพร่ฟ้าของพระองค์

ครั้งนั้น มีขุนน้ำขุนนางจำนวนหนึ่งทูลเกล้าฯขอพระบรมราชานุญาตในการตั้งบ่อนเบี้ยขึ้นในแขวงเมืองราชบุรีสมุทรสงคราม สมุทรปราการ โดยเห็นว่าภาษีที่ได้จากบ่อนเบี้ยที่ตั้งขึ้นนั้น จะสร้างรายได้ให้แก่คลังหลวงอย่างมหาศาล และคิดว่าพระองค์จะทรงเห็นแก่ประโยชน์ดังกล่าวด้วย

ผิดคาดครับ พระองค์ไม่ทรงเล่นด้วย เหตุผลเหรอครับ คัดมาให้อ่านครับ “ทรงพระตำริะว่าผู้มีชื่อฟ้องให้กราบทูลทังนี้ ผิดหย่างทำเนียมแต่บูราณราช แลกระทำให้ไพร่ฟ้าอนาประชาราษฑรทังปวงได้ความเดือดร้อนขัดสนสืบไป” ซึ่งมันยิ่งใหญ่กว่าบรรดาผลประโยชน์ที่พระองค์จะทรงได้รับ

ผลเหรอครับ ทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ออกญารัตนาธิเบศ สมุหมณเทียรบาล ให้เอาบุคคลทั้งหลายที่เล่นเสนอพิเรนทร์เหล่านั้น มาลงพระราชอาญา เฆี่ยนคนละหวายบ้างสองหวายบ้าง แล้วให้ริบราชบาตเอาบุตรภรรยามาเป็นคนของหลวง ตามโทษานุโทษ

อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ

นอกจากนั้นยังทรงมีพระบรมราชโองการความว่า แต่นี้สืบไปหากมีผู้มาประมูลพระราชทรัพย์ขึ้นพระคลังหลวง ด้วยความชอบธรรม ตามอย่างธรรมเนียมโบราณนั้น ให้ปรึกษาดู ถ้าเห็นควรก็ให้กราบบังคมทูลได้ แต่หากเห็นว่าการประมูลนั้นผิดอย่างธรรมเนียมโบราณ มิควรให้มีการประมูล ก็ให้บรรดาลูกขุนตัดสินอย่ารับประมูล และมีโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนด้วยนะครับ

โดย…

“ให้ริบราชบาดเอาบุตรภรรยาทาษชายหญิงทรัพย์สิ่งสีนให้สิ้นเชิง แล้วให้เอาตัวผู้ฟ้องประมูลนั้นเปนโทษถึงตาย แลให้เอาตัวผู้ชักนำให้เอาความมาว่ากล่าวเปนโทษจงหนัก”

เข้ากับสถานการณ์นะครับ พาลได้คิดเผื่อไปสำหรับ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ด้วยครับ

ถ้าคนคิดเกิดในสมัยนั้นล่ะก็

สงสัยได้เป็น ”ตะพุ่นหญ้าช้าง” หรือไม่ก็ “คนน้ำร้อน” กันทั่วหน้า