Thursday, August 18, 2005

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ ตอนที่ 3

"ช่างกลตีกันกับวันอัศจรรย์ของผม"

ยังคงวนเวียนอยู่ในกล่องแห่งความทรงจำกันอีกสักวันครับ อีกสักเรื่องก่อนจะเปลี่ยนแนวกันเอียน

เรื่องราวในความทรงจำในวันนี้ของผม ออกจะแตกต่างไปจากสองตอนก่อนที่วนเวียนแต่ในรั้วแดงขาวชานเมืองของผม เพราะวันนี้มันจะออกไปนอกรั้วโรงเรียน

บนถนนหนทาง ในเส้นทางที่ผมใช้ในเดินทางมาโรงเรียนเป็นประจำ

ต้องแจ้งให้ทราบถึงพิกัดของนิวาสถานของผมก่อน

บ้านผมตั้งอยู่ ณ ฝั่งธนฯ บริเวณที่เรียกว่า แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ หลายคนคงทำหน้างง ไม่รู้ว่า ไอ้แขวงและเขตที่ว่านี้อยู่ตรงส่วนไหนของกรุงเทพกันแน่

ต้องบอกพิกัดใกล้เคียง…

หากท่านมาทางวงเวียนใหญ่มุ่งหน้าพระประแดง บ้านผมจะอยู่ห่างจากวงเวียนใหญ่สิบกิโลพอดิบพอดี และห่างจากพระประแดง (จำกัดเพียงสามแยกพระประแดง) ประมาณห้ากิโล (บ้านนิติรัฐอยู่ระหว่างบ้านผมกับวงเวียนใหญ่นั่นแหล่ะครับ แต่ค่อนมาทางด้านผมหน่อย บริเวณที่เรียกว่า “ดาวคะนอง” หรือ “สตาร์ ครึกครื้น” นั่นแหล่ะครับ)

แหน่ะ ยังงงกันอีก

เอางี้ครับ สะพานพระรามเก้า สะพานแขวนนั่นแหล่ะครับ แถวนั้นครับ

ไม่รู้จักอีก…

รู้จักธนาคารกสิกรไทยสาขาใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือเปล่าครับ เถือกๆนั้นครับ จนปัญญาจะอธิบายแล้วครับ

การเดินทางจากบ้านสู่รั้วแดงขาว อีสานฝั่งธนของผม ใช้บริการรถเมล์สายไหนก็ได้ที่ผ่านหน้าบ้านและมีเลขเพียงสองหลัก เพราะรถบรรดาเลขสามหลักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น 140 หรือ 141 มันจะเลี้ยวไปทางธนบุรีปากท่อ ออกเส้นวงแหวนด้านใต้ ที่จะไปสมุทรสาคร และวนเวียนไปออกบางแคนั่นแหล่ะครับ แต่ผมไม่ไปทางนั้น

รถเมล์สองหลักจะพาผมไปอีกประมาณ ไม่ถึงสองกิโลก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่า “บางปะแก้ว” ตรงบริเวณเลยสามแยกธนบุรีปากท่อไปหน่อย เพื่อต่อรถอีกต่อ คราวนี้เน้นสามหลักครับ 101 หรือ 147 เพื่อที่จะพาร่างของผม ผ่านแยกมไหสวรรย์ ผ่านเดอะมอลล์ท่าพระ ถึงแยกท่าพระแล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเพชรเกษม จากนั้นก็ลง จริงๆผมสามารถนั่งยาวไปจนถึงตลาดบางแค หรือวัดม่วงยังได้ แต่ผมเลือกที่จะลงตรงป้ายแรกๆเนื่องจากต้องต่อรถเมลสาย 91 เพื่อที่จะนั่งเป็นต่อสุดท้ายถึงหน้าโรงเรียน เพื่อการันตีที่นั่ง เพราะที่ผ่านมาก็ยืนจนเมื่อยตุ้มแล้ว (แต่ต้องบอกก่อนครับว่า สมัยนั้นน้อยครั้งมากที่ผมจะนั่งรถเมล์มาโรงเรียน เพราะตลอด 3 ปีผมยืนตลอด…มัธยมต้นผมนั่งรถโรงเรียนน่ะครับ ไม่กล้ามาเอง หลงแน่ๆ กว่าจะเรียนรู้ทางก็โน่นหลายปีดีดัก)

เมื่อ 91 วิ่งมาราธอนจนถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านเศรษฐกิจ ก็จะเลี้ยวขวาเข้าซอยหมู่บ้าน คิดว่าใกล้แล้วสิครับ

คุณคิดผิดครับ

มันต้องไปต่อผ่านวงเวียนย่อมๆอีกสามวงเวียน กว่าจะถึงโรงเรียนแสนรักของผม ระยะทางพอที่จะให้ผมงีบเอาแรงได้อีกงีบใหญ่ๆทีเดียว
พอนึกเส้นทางเดินทางของผมออกแล้วนะครับ เอาล่ะครับ ท่านเชื่อกันไหมครับว่าเส้นทางที่ผมอรรถาธิบายมาดังกล่าวนั้น ผ่านดงอาชีวะและพาณิชย์ผู้ช่ำชองในการฟาดฟันกันมากกว่าการก่อสร้างบ้านเรือนให้ผู้ประสบภัยสึนามิและประดิษฐ์หุ่นยิงลูกบอลแข่งขันชิงแชมป์โลก สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า

จุดพื้นที่สีแดงมีอยู่สามจุดใหญ่ๆ คือ บริเวณ สามแยกธนบุรีปากท่อ ป้ายบางปะแก้ว ป้ายแรกแห่งการต่อรถของผมนั่นแหล่ะครับ จุดนี้ถือเป็นสมรภูมิหลักเนื่องจากบรรดาพี่ๆอาชีวะทั้งหลาย จากฟากสมุทรสาคร นครปฐม และย่านฝั่งธนจะมารวมตัวกันต่อรถกันที่นี่

จุดที่สองคือบริเวณ ป้ายที่สองที่ผมลงต่อรถเมื่อมันเลี้ยวซ้ายจากแยกท่าพระมาไม่ไกล เนื่องจากฝั่งตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่ผมลงนั้นเป็นที่ตั้งของ “พาณิชย์กรุงเทพ” พาณิชย์แห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในทำเนียบนักเรียนนักเลง สถานศึกษาที่มีโปรโมชั่นยกเว้นค่าเทอม แถมฟรีอุปกรณ์การศึกษา ชุดนักศึกษาและทุนการศึกษาฟรีเมื่อท่านสมัครเป็นนักเรียนจำนวน 100 ท่านแรก (สาบานได้มันขึ้นป้ายอย่างนั้นจริงๆ) และมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า โรงเรียนนี้สนับสนุนกิจกรรมนอกหลักสูตรให้แก่บรรดาหัวโจกประจำโรงเรียนด้วยการ สะสมอาวุธ และที่พักหลบซ่อนให้กับหน่วยกล้าตายของตนด้วย…เอากะเค้าสิ

จุดที่สาม บริเวณเดอะมอลล์บางแค ซึ่งตรงนั้น เป็นเส้นเชื่อมวงแหวนด้านใต้กับเส้นกาญจนาภิเษก บรรดาเทคโนฯทั้งหลายมักจะรวมตัวกันยามเลิกเรียน ณ เดอะมอลล์บางแค ผมจำได้ว่าสมัยผมเรียนที่นี่ใหม่ๆเดอะมอลล์บางแคมันยังไม่ได้สร้าง ครั้นตอนที่มันแค่ขึ้นโครงสร้าง ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ปรากฏว่ามีบรรดาพี่ๆอาชีวะ และเทคโน (และน่าจะรวมถึงพี่ๆพาณิชย์กรุงเทพ หรือ พ.ก.ท.ด้วยนั่นแหล่ะ) ชี้เป้าจับจอง แบ่งเค้กพื้นที่รับผิดชอบกันเรียบร้อยแล้ว แถมมันยังมีการตีเชื่อมสัมพันธ์เรียกน้ำย่อยกันตั้งแต่ห้างยังไม่เปิดทำการด้วยซ้ำ

เสี่ยงตายดีมั๊ยครับ การเดินทางของผม นี่น่าจะทำให้ผมมีประสาทสัมผัสที่ว่องไว พอกับสายตา และความเร็วของการออกสเต็ปขา

เช้าวันหนึ่ง ตอนนั้นผมน่าจะอยู่มัธยมปลาย ปีใดปีหนึ่งระหว่าง ม.4 กับ ม.5 นี่แหล่ะครับ ขณะที่ผมยืนรอรถเมล์อยู่บริเวณป้ายบางปะแก้วกับเพื่อนซี้ของผมที่บ้านอยู่ซอยเดียวกัน เหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปกติ โดยปรากฏกลุ่มนักเรียนช่างกล และอาชีวะที่มีเสื้อชอป สีสันแตกต่างกันออกไปอยู่เป็นหย่อมๆ

เมฆหมอกเริ่มปกคลุมเมื่อปรากฏกลุ่มก้อนของสีเสื้อชอปสีเดียวกันที่มีจำนวนมากขึ้นๆ ผมสองคนยืนสังเกตการณ์ปรากฏการณ์นั้นอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเริ่มรับรู้สัญญาณอันตราย

ไม่ทราบว่าเป็นไร ในหมู่กองทัพเสื้อชอปที่มาเป็นฝูงนั้น จะต้องมีไอ้ตัวนำอยู่ตัวคอยออกสเต็ปยั่วประสาทเบื้องล่างเสมอ และมักเป็นพวกตัวเล็กหัวตั้งเจาะหู หน้าตากวนซ่งตีง คอยสร้างความบันเทิง ความฮึกเหิมให้หมู่มวลสมาชิก และมักจะเป็นไอ้นี่แหล่ะที่คอย “เปิดหัว” ยามประเคนหมัด เท้า เข่า ศอก สะปาต้า เข็มขัดพร้อมหัว ปืนไทยประดิษฐ์ ระเบิดขวดและระเบิดปิงปอง ใส่กัน ก่อนที่มันจะวิ่งจุกตูดไปนั่งดูเพื่อนๆมันเข้าทำสกรัมกันอย่างสบายใจเฉิบ

ขณะที่ไอ้ตัวซ่ากำลังออกสเต็ปยั่วยวนบาทาอยู่ป้ายรถเมล์นั้น พลันก็มีมินิบัส หรือมฤตยูเขียวคันหนึ่งเลียบมาจอดเทียบท่า พร้อมกับเสียง “บึ้ม” ดังสนั่น ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่เกินห้าเมตร

เกียร์หมาสิครับ…วิ่งไปพลางก็นึกถึงหลวงพ่อโกย วัดหน้าตั้งไป

ผมกับเพื่อนวิ่งเอาชีวิตรอด แม่ค้าแถวนั้นผู้มากประสบการณ์กับเหตุการณ์ระทึกขวัญเหล่านี้ ต่างพร้อมใจกับ เอาร่มคันเขื่องที่ไว้ติดรถเข็นกันแดด โน้มมันลงมาเป็นโล่เกราะกำบัง อย่างรวดเร็วประหนึ่งเป็นประสาทอัตโนมัติ และผมสองคนก็อาศัยใบ (บุญ) ร่มสีสันสดสวยเหล่านั้นเป็นหลุมหลบภัยเช่นกัน

เหตุการณ์ดำเนินไป ด้วยความอลหม่านอยู่ราวห้านาที ก่อนที่จะจางควันไป คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดปิงปอง ที่ใช้เป็นอาวุธทำการดังกล่าว

เช้าวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวันซวยซ้ำซ้อน และเป็นวันบริหารประสาทสัมผัสและหัวจิตหัวใจของผมเหลือเกิน

เพราะพี่ๆอาชีวะกลุ่มเดิมยังคงรวมตัวกันอยู่ เปรียบเสมือนจอกแหนที่พอมีวัตถุร่วงหล่นลงไป มันก็จะแตกกระจาย ก่อนที่จะหุบรวมกันใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นาน

พวกนี้ก็เหมือนกัน หลังจากเหตุการณ์ระเบิดปิงปองผ่านไปแล้ว มันก็กลับมารวมตัวกันใหม่ พร้อมกับลีลาท่าทางยวนยีนเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าวันนั้นเป็นฝันร้ายของผม มันก็คงเป็นฝันร้ายของพวกมันเหมือนกันครับ

เพราะไอ้ที่มันเจอก่อนหน้านั้น แค่น้ำจิ้ม

หลังจากที่มันตายใจกันไม่นาน คราวนี้มาเป็นฝูงเลยครับ แล้วครบมือครับ นำด้วยเข็มขัดพร้อมหัวเหล็ก ดาหน้ากันลงจากรถเมล์บริเวณท้ายป้าย ลงมากระหน่ำฟาดฟัน ไอ้จอกแหนกลุ่มนั้นให้แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทางอีกครั้ง ที่สำคัญปฏิบัติการกระทุ้งจอกแหนของช่างกลกลุ่มใหม่นั้นกินเวลาเพียงน้อยนิด เพราะพวกมันสามารถลงมาตีชาวบ้านเค้าได้ ณ รถเทียบท่าตอนท้ายป้าย และสามารถเดินปลิวลมกลับไปขึ้นรถคันเดิมอีกครั้งเมื่อรถเดินทางไปถึงต้นป้ายได้พอดิบพอดี…หรือญาติมันเป็นคนขับวะ ขับรอกันซะงั้น

จอกแหนก็ยังคงเป็นจอกแหน แม้จะผ่านมรสุมถึงสองครั้งซ้อนๆกันในเวลาห่างกันไม่ถึงสิบนาที มันก็ยังหุบมารวมกันได้เช่นเดิม

สนุกสนานกว่าเก่าด้วยซ้ำ

พ่อเจ้าประคุณ
…………………………………………………………………..

เรื่องราวของผมกับพวกพี่ๆช่างกลยังไม่หมดครับ

เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งรถเมล์สาย 101 จากบางแค เพื่อมาต่อรถตรงป้ายบางปะแก้ว ตามปกติวิสัยของกระด้างชน คนตีกบาลนั้น มักจะต้องมารวมตัวกันบริเวณเบาะยาวท้ายรถ เพราะชายชาตินักเลงไม่เคยหันหลังให้ใคร (อย่างนี้ต้องให้มันไป “ก้มเก็บสบู่ในเรือนจำบางขวาง” ซะหน่อยแล้น) แต่คราวนี้มาแปลก ผมสังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนพาณิชย์ (ก็ไอ้โรงเรียนที่มีโปรโมชั่นเรียนฟรีแถมตังค์นั่นแหล่ะครับ)กลุ่มใหญ่เดินขึ้นรถเมล์มา ด้วยสภาพเมามาย และรวมตัวกันอยู่บริเวณกึ่งกลางของรถ ใกล้กับประตูคู่ปิดเปิดอัตโนมัติของรถเมล์ครีมแดง พร้อมกับพูดจากันสนั่นเหมือนกับมันอยู่บ้านพ่อ (ง) บ้าน แม่(ง) ของมันเอง

กลิ่นละมุดคละคลุ้ง พร้อมถ้อยคำผรุสวาท หยาบโลน ประเคนใส่หูผู้โดยสารที่ร่วมทางอย่างไม่มีความเกรงใจ

ไอ้หน้าปลาจวดตัวหนึ่ง เริ่มออกอาการซ่าเกินพิกัด นอกจากการคุย เล่นหัวด้วยกันแล้ว สักพักมันเริ่มลามปาม พยายามเอาผู้โดยสารโดยเฉพาะเพศแม่มาร่วมวงสนทนากับมันด้วย

มันเดินขึ้นหน้าไปบริเวณข้างคนขับ พร้อมกับยื่นหน้าปลาจวดของมันชะโงกไปมองหน้าผู้โดยสารสุภาพสตรีนางหนึ่งที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัว (หรือขยะแขยงไม่ทราบ) ในระยะห่างระหว่างหน้ามันกับหน้าเธอเพียงฝ่ามือเดียว

เมื่อจ้องมองหน้านวลนางนั้นเสร็จแล้ว มันก็เดินกลับมาที่ฝูง พร้อมกับเอ่ย (ในความดังประมาณตะโกน) เข้ากลุ่มว่า “โหย หน้าแม่งหยั่งกะ…ตว์” ผมไม่ทราบว่าเธอคนนั้นคิดอย่างไรเมื่อได้ยินลมตูดที่ออกทางปากของมัน แต่คิดว่าเธอคงทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ ทั้งกลัว

รถเมล์แล่นตามทางของมันไปได้อีกพัก พร้อมกับความสนุกสนาน คะนองปากของกลุ่มนักเรียนนักเลงที่ยังคงไม่สร่างซา ไอ้หน้าปลาจวดมันก็เริ่มปีนไปนั่งบริเวณเหล็กกั้นข้างประตูปิดเปิดอัตโนมัติอย่างย่ามใจ

รถเมล์จอดป้ายบริเวณท่าพระ พร้อมกับการจากไปของผู้โดยสารอีกคน ที่หลุดพ้นจากรถเมล์มาคุคันนี้

เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพี่โชว์เฟอร์สับสวิตซ์ปิดประตูอัตโนมัติ

ประตูสองบานงับเข้าหากันตามหน้าที่อย่างซื่อตรง

พร้อมกับหนีบขาไอ้หน้าปลาจวดที่เสือกทะลึ่งแหย่ขาออกไปข้างนอกตัวถังรถขณะที่ประตูเปิดส่งผู้โดยสาร

ประตูสองบานหนีบไปที่ขาของมันอย่างจัง เสียงร้องด้วยความเจ็บระคนตกใจ ดังขึ้น พร้อมกับเสียงอื้ออึงทำนองกลั้นหัวเราะของผู้โดยสารอีกหลายสิบที่ยังอยู่บนรถ … รวมทั้งผมด้วย

“เฮ้ยๆ พวกมึงอย่ามัวแต่ยืนดูดิ ช่วยกูด้วย”

ไอ้หน้าปลาจวดเริ่มสงเสียงขอความช่วยเหลือจากญาติมิตรมัน

“กูจะไปช่วยมึงได้ไงวะ นู่น มึงบอกพี่คนขับนู่น”

ไม่รู้ว่ามันก็สะใจเหมือนกันที่เห็นเพื่อนมันตกอยู่ในสภาพนั้นหรือไม่

“บอกให้กูหน่อยดิ กูไม่กล้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”

ไอ้ฟายเอ๊ยเมื่อกี้มึงยังซ่าอยู่เลย เสือกไม่กล้าซะแล้ว (ผมคิดในใจ)

พี่คนขับเหมือนจงใจจะสั่งสอนมัน เลยพยายามทำหูทวนลม ไม่ได้ยินเสียงร้องและเสียงขอความช่วยเหลือจากมัน

รถเมล์วิ่งหนีบขามันไป พร้อมเสียงโหยหวน จากท่าพระ สู่บางปะแก้ว โชคร้ายของมันด้วยที่ระหว่างทางนั้น ไม่มีใครขึ้นและลงพอที่จะมีจังหวะเปิดประตูคลายขามันได้เลย

เมื่อรถเทียบท่าบางปะแก้ว ผมและผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่งก็กดกริ่งลง ประตูอัตโนมัติมหากาฬจึงได้ฤกษ์เปิดขึ้น ผ่อนคลายให้มันได้อิสรภาพในแข้งขาของมันกลับคืนไป

ผมเดินลงรถเมล์อย่างที่รู้สึกแตกต่างจากตอนที่พวกมันขึ้นมาใหม่ๆยิ่งนัก

และยิ่งรู้สึกดีกว่าเก่าหลายเท่าเมื่อผมมองย้อนกลับไปบนรถเมล์คันที่ผมเพิ่งลงมาเมื่อกี้

และเห็นหน้าของสุภาพสตรีคนที่พวกมันนิยามใบหน้าไว้อย่างหยาบคายและทุเรศที่สุด

เธอยิ้มอย่างสะใจ

เหมือนผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ ที่จะถือว่าวันนั้นเป็น “วันอัศจรรย์ของผม”

12 Comments:

Anonymous Anonymous said...

วันอัศจรรย์ยังคงดำเนินต่อไป
เพราะมิ้มสงสัยว่า ต้องรอดมาได้ยังไงหนา
....
ไม่มีคอมมเนต์อะไร
เพราะไม่เคยเจอเหตุการ์ณแบบนี้อะ
สมัยอยู่ ม.ปลาย แม้ โรงเรียนจองเดี๊ยนจะใกล้กะอุเทน
จนทาง ผอ. ต้องออกประกาศกลับบ้านเร็วในวันที่ สอง กุมพา เพราะเป็นวัน blue day ที่อุเทน ต้องตีกะช่างกลปทุมวันเป็นธรรมเนียมทุกปีก็ตาม
แต่ก็ไม่เค้ย ไม่เคย ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้เลย
....
เลยจะบอกแทนว่า
ต้องเขียนหนังสือสนุกขึ้นมากกกกกก
มาก มาก มาก และ มาก
ยังจำได้ว่า ตอนเข้าบล๊อกนี้ครั้งแรก
อ่านไปก็ชอบลีลาการ "เคาะแป้นพิมพ์" ของต้องมาก
เพราะ เขียนสวย และ ดูอบอุ่น
แต่ตอนนี้ ต้องเขียนดีก่าเดิมแถมลูกเล่นเพียบ
เอาไปเล้ย..ห้าดาว
....
keep writing นะจ้ะ

9:34 AM

 
Anonymous Anonymous said...

คำถามเดียวกับคุณมิ้มเลยค่ะ น้องต้องรอดจนเรียนจบมาได้ยังไงเนี่ย ฮ่าๆ

ตอนจบสะใจดีอ่ะ นี่ล่ะน้า กรรมมีจริง ^^

10:13 AM

 
Anonymous Anonymous said...

Excellent..

1:00 AM

 
Anonymous Anonymous said...

- -' ผ่านหลายสมรภูมิเลยทีเดียว

เล่าอย่างนี้เหมือนสนุก แต่ในเหตุการณ์มันคงไม่สนุกเหมือนที่เล่าเนอะคะ

12:06 PM

 
Blogger sweetnefertari said...

แหม...บรรยายซะ อย่างกับรู้ว่าฉันจะเข้ามาอ่าน แล้วต้องถามว่า "ที่ไหนว่ะ ไม่เห็นรู้จัก" อธิบายสถานที่ละเอียดยิบ แต่ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีอะแหละ แหะ แหะ

1:24 PM

 
Blogger เสี่ยวรำพึง said...

ยิ่งอ่านยิ่งมันครับ เรื่องเก่าๆ เนี่ย ถ้าคุณ ratioscripta มีเรื่องเก่าๆ อีกก็เล่าต่อได้เลยครับ ยังไม่เบื่อครับ

ผมเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ครั้งนึงครับ เเต่เป็นเรื่องระหว่างเด็กช่างกลกับคนขับรถเมล์ครับ

สมัยมัธยมผมนั่งรถสาย 73 กลับบ้านกับเพื่อนอีก สี่ห้าคน ทุกวัน ด้วยความที่โรงเรียน อยู่ใกล้ต้นสาย 73(ใต้สะพานพุทธ) พวกเราจึงสามารถเลือกนั่งที่นั่งด้านหลังกันได้ทุกวัน นั่งติดกันเป็นเเผง เเต่ไม่ได้ซ่าอะไรนะครับ นั่งติดๆ กัน จะได้คุยกันง่ายๆ

พวกเรามีคนขับคนโปรดครับ ไม่รู้เเกชื่ออะไรเหมือนกัน เเต่ถ้าวันไหนโชคดีเจอเฮียเเกขับเนี่ย รถจะว่างครับ เเละถึงบ้านเร็ว ที่บอกรถว่างนี่ไม่ใช่รถบนถนนน้อยนะ ครับ เเต่หมายถึงผู้โดยสารน้อยครับ ก็เฮียเเกเล่นจอดเฉพาะป้ายที่มีคนลงนะซิครับ ป้ายไหนข้ามได้เเกข้ามครับ ไม่จอดเลย

กลับมาเรื่องเหตุการณ์ตื่นเต้นดีกว่าคับ วันนั้นหลังจากเตะบอลกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็ถึงเวลากลับบ้านซะที พวกเรามุ่งหน้าไปยังเเม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณใต้สะพานพุทธ เพื่อขึ้นรถเมล์กับบ้านกัน โชคดีครับ เราเจอเฮียคนโปรด เหตุการณ์ผ่านไปตามปกติครับ รถของเราวิ่งฉิว จนมาจอดติดไปเเดงบนถนนพระรามสี่ เลยหัวลำโพง มานิดหน่อย ทันใดนั้น มีชายร่างใหญ่สวมเสื้อกราวด์ ถือไม้ที เคาะประตูจะขึ้นรถพร้อมตะโกนว่า "เปิด(ประ)ตูหน่อย" ครับ ผมคิดในใจ เเหมมีรึที่เฮียเราจะเปิด ขนาดป้ายปกติยังไม่จอด นี่จะให้รับผู้โดยสารนอกป้าย เฮียไม่ทำเด็ดขาด ตามคาดครับ เฮียเเกนิ่ง ทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งที่เสียงของชายร่างใหญ่ดังใช่เล่นทีเดียว ชายถือไม้ที เกิดอาการครับ พี่เเกไม่พอใจตะโกนลั่น "อวย" พร้อมยกมือชูนิ้วกลางขึ้น

เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เฮียเเกเปิดประตูรถครับ เเต่ไม่พอคับ เฮียดึงคันเกียร์คันงามออกมา เจ้าคันเกียร์นั้นเเปลงร่างเป็นอาวุธขนาดใหญ่ทันที เเล้วพุ่งตรงไปยังชายถือไม้ที

ชายคนนั้นคงเห็นคันเกียร์เหล็กเเล้วคิดว่าไม้ทีกูเอาไม่อยู่เเน่จึงออกวิ่งตามสัญชาติญานครับ ยังไม่พอครับ เฮียเเกไม่หยุดเเค่นั้นครับ วิ่งตามชายไม้ทีเข้าซอยไป หายไปสามนาทีเฮียเเกก็กลับมา พร้อมพูดลั่นรถว่า "ไอ้เอี้ย ไม่รู้จักเด็กช่างกลเก่าซะเเล้ว"

เหตุการณ์อย่างนี้ คุณ ratioscripta คงไม่สนุกด้วยเพราะเจอบ่อยๆ เเต่วั้นนั้นพวกผมรู้สึกสนุก ตื่นเต้น กันจริงๆ เเหมนานๆ เจอเหตุการณ์อย่างนี้ที

1:52 PM

 
Blogger ratioscripta said...

จะเจอบ่อยอย่างไรก็ตื่นเต้นครับ

เรื่องคล้ายๆกันผมเคยเจออยู่หน แต่ไม่ใช่บนรถเมล์ที่นั่งประจำนะครับ

แต่เป็นครั้งที่ผมยังอยู่มอต้น นั่งรถโรงเรียนอยู่ เพราะยังปีกไม่กล้า ขาไม่แข็งพอ ที่จะออกเดินทางไกลคนเดียว

รถโรงเรียนของผม หาใช่รถตู้ติดแอร์แบบที่วิ่งวนอนุสาวรีย์ชัยมุ่งหน้ารังสิตไม่

แต่เป็นรถแบบทอดผ้าป่า ขนาด 85 ที่นั่ง กระจก 20 บาน ติดแอร์กี่ ไม่ใช่แอร์คอนดิชั่นเนอร์ ประตูไม่ใช่ปิดเปิดแบบอัตโนมัติ แต่เป็นอัตโนมือ ซึ่งมีสองบาน อยู่บริเวณหัวรถกะท้ายรถ

ด้วยจำนวนผู้โดยสารเยอะ มันจึงขับลดเลี้ยวเคี้ยวคดเพื่อพยายามทำยอดวิ่งรอบเดียวแต่ส่งคนได้จำนวนเยอะที่สุด เส้นทางที่วิ่งจึงถือได้ว่า "อ้อมโลก" ก็เล่นมาถึงหน้าปากซอยบ้านผม 6.15 น. ถึงโรงเรียน แปดโมงกว่าอ่ะครับ

ข้อดีคือผมได้รู้จักเส้นทางแถบนั้นเป็นอย่างดี

เรื่องระทึกใจของผมกับรถโรงเรียน ก็หลีกหนีไม่พ้นบริเวณสามแยกธนบุรีปากท่อ บางปะแก้วนั่นแหล่ะครับ แต่เปลี่ยนช่วงเวลามาเป็นตอนเย็น

ขณะรถโรงเรียนคันเขื่องจอดติดไฟแดงอยู่ พลันผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ทั้งจากในรถและนอกรถ เสียงที่ดังขึ้นนอกรถคือเสียงระเบิดขวด และเสียงฝูงสิ่งมีชีวิตไม่ต่ำกว่ายี่สิบกำลังกระทำสหบาทาสามัคคีกันอยู่

ส่วนเสียงที่ดังจากข้างในคือ เสียงแซ่งแซ่แย่งกันดูเหตุการณ์ของบรรดาทะโมนน้อยใหญ่ในรถ และ...

เสียงโชเฟอร์และลูกน้องเด็กท้ายรถจอมโหด

ลูกพี่ขาใหญ่ประจำรถทั้งสองตะโกนสั่งการให้นักเรียนที่นั่งอยู่เบาะหลังปิดประตูและล็อคให้เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นผมที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด

ตอนแรกก็สงสัยว่าจะให้ปิดทำไมวะ ร้อนจะตายห่.. แต่พอเดินไปใกล้ๆประตูเพื่อจะเอื้อมมือไปปิด ประสาทสัมผัสของผมก็เร่งให้ผมกระชากประตูอัตโนมือ ปิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับลงกลอนอย่างแน่หนา (ทั้งๆที่ผมเคยรับบทเด็กท้ายรถหลายหนแล้ว รถโรงเรียนผมแม่งใส่กลอนยากชิหาย แต่คราวนี้ลื่นฟึ่ด)

เพราะภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือบรรดาช่างกลที่แตกฮือหลายสิบนาย กำลังวิ่งตะเกียกตะกายหาที่หลบภัย ทั้งหนีเข้าตรอกซอย และขึ้นรถเมล์เล็กใหญ่ ที่จอดติดอยู่ รวมทั้งรถโรงเรียนของผมก็เป็นเป้าหมายในการหลบภัยของมันด้วยเช่นกัน

ผมปิดประตูทันช่วงเสี้ยววินาทีก่อนที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผู้รุกรานจะเยี่ยงกรายเข้ามาในตัวถังรถโรงเรียนผมพอดิบพอดี...เมื่อมันขึ้นไม่ได้มันก็เคาะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กระแทกๆๆๆๆๆๆๆๆ ตะโกนๆๆๆๆๆๆๆๆ ด่าๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่นานหรอกครับ มันก็ต้องไป เพราะขืนยืนเคาะ ยืนกระแทก ยืนด่าต่อไปอีกไม่เกินสองนาที หัวมันแบะแน่ๆ ก็สัตว์ผู้ล่า กระชั้นเข้ามาแล้วนี่ครับ

และเป็นเด็กท้ายรถและพี่โชเฟอร์สองคนเดิมนี่แหล่ะครับ ที่ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งบริเวณถนนเส้นบางบอนเคยกระชากคันเกียร์ที่ปลายสุดถูกเจียรให้แหลมคมประหนึ่งกระบี่เย้ยยุทธจักร ก่อนส่งต่อให้ไอ้ทะโมนซ่าขาใหญ่ประจำรถ (เพื่อนผมเอง)หยิบติดไม้ติดมือ ลงไปต่อกรกับช่างกลขายาว ยามรถโรงเรียนเราติดไฟแดง บริเวณใกล้เคียงกับยานพาหนะของพวกมัน และมีการกระบกระทั่งด้วยวาจา และท่าทางนิดหน่อย (ส่วนผมขอนั่งเป็นผู้ชมอยู่บนรถต่อไป)

แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงนะครับ

ไฟเขียวก่อนน่ะ

จริงๆผมรู้ว่าเพื่อนผมมันรู้อยู่แล้วว่ากำลังจะไฟเขียว ทำซ่าถือคันเกียร์ไปขู่เค้าแค่นั้นแหล่ะ

แต่มันคงลืมไปว่า...

ไม่มีเกียร์โชเฟอร์กูจะขับรถอย่างไร

นี่ถ้าไอ้พวกนั้นมันไม่ตื่นเต้นกับขนาดของคันเกียร์อันเป็นอาวุธ และหยิบเอาเครื่องไม้เครื่องมือลงมาประเคนใส่เพื่อนผมที่ยืนจังก้าอยู่แล้วล่ะก็

เพื่อนเอ๋ย มึงชอบกินอะไรขอให้บอก กูจะกินเผื่อให้

6:47 PM

 
Anonymous Anonymous said...

กลับมาอ่านอีก สนุกดีค่ะ

ว่าแต่ข้างบนน่ะ อะไรอ่าค่า - -'

10:42 AM

 
Anonymous Anonymous said...

ต้องที่ร้ากกกก
อันนี้ไม่เกียวกะช่างกล
แต่จะบอกว่า
ต้องเอากล้องสุดเดิ้นของต้องน่ะ
ไปถ่ายรูปในงาน มีท เดอะ บล๊อกเกอร์ ด้วยนะ
มิ้มหารือกะเพ่ป้องละ
เพ่ป้องเห็นงามด้วย (ซ้ำยังบอกว่าให้มิ้มนั่งเครืองด่วนกลับมาอีก..จะเอาเงินมาจากไหน..วะ)
คือแบบว่า
มิ้มจะไปต่างเมือง
เลยไม่ได้คุยกะต้องเอง
เลยมาฝากไว้ที่บล๊อก
ทั้งนี้ เพื่อว่า หากต้องลืมละก้อ
จะได้โดนประณาม ไว้ ณ ที่นี่ไงเล่า
โอเค..รับไม้??

12:17 PM

 
Blogger ratioscripta said...

ทราบแล้วเปลี่ยนครับ

เดี๋ยวจะชาร์ตแบตไปเต็มๆ

9:41 PM

 
Anonymous Anonymous said...

โอ้โห อ่านรแล้วนึกถึงตัวผมเองเลยครับ เพราะสถานที่ต่างๆที่ได้กล่าวมานั้น ล้วนแต่อยู่ในเส้นทางการเดินทางของผมทั้งสิ้น นึกภาพออกๆ

ผมโชคดีกว่าพี่หน่อยนึง ตรงที่ร.ร.มัธยมของผม(ทวีธาฯ) ค่อนข้างห่างไกลจากกลุ่มร.ร.ตีกันพอสมควร เลยไม่ค่อยได้เจออะไรมาก นอกจากที่แยกบางปะแก้ว (ซึ่งตอนนี้ป้ายรถเมล์ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะจะมีการสร้างรถไฟฟ้าพาดผ่าน)

ภายหลัง ผมพบว่า รถเมล์สายที่ทั้งโชเฟอร์และกระเป๋าต้องระวังตัวมากที่สุด และถ้าเคยเป็นเด็กช่างกลมาเก่าก่อนจะยิ่งดี คือสาย 147 ลองคิดดูสิครับ จากบ้านผม จนถึงเดอะมอลล์บางแคนั้น ผ่านโรงเรียนช่างกลที่ถูกปูนแดงหมายหัวกี่โรง หรือกล่าวอีกที คือถนนเพชรเกษมทั้งสาย อุดมไปด้วยโรงเรียนช่างกล

ยอมรับว่าผมกลัวครับ ฮือๆ

9:29 AM

 
Anonymous Anonymous said...

โชคดีจริง ๆ ๆ ที่รอดมาได้ เกิดมายังไม่เคยพบพาลเรื่องเช่นนี้ขอรับ แต่ไม่เจอดีกว่า

8:24 PM

 

Post a Comment

<< Home