ใจจริง วันนี้ผมตั้งใจจะชำระหนี้น้องๆคณะทำงานหนังสือรพีปี 48 ด้วยการเขียนบทความเชิงสังคมกฎหมายสักเรื่อง ตามคอนเซปที่น้องๆ ที่ทำหนังสือวางไว้ ส่วนเพื่อนรักของผมมันก็เขียน แต่มันเขียนเกี่ยวกับการเมืองยุโรป
จริงๆผมสับสนมากมาย เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกเรื่องไหนมาเขียน เพราะมันฟุ้งอยู่เต็มกบาลไปหมด ฟุ้งนี่ไม่ใช่เพราะมันเยอะนะครับ ฟุ้งซ่านต่างหาก
โดยสันดานของผม ผมเป็นคนเข้าใจอะไรได้ลำบากยากยิ่งนัก หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นคน “หัวช้า” กว่าจะเขียนอะไรได้สักเรื่อง อ่านแล้วอ่านอีก คิดแล้วคิดอีก เพราะถ้าไม่มีอะไรเป็นขวัญถุงในหัว มันมักจะเขียนไม่ออก เขียนก็ไม่ลื่น แถมไอ้ที่เขียนน่ะ กลัวมันจะผิดให้คนอื่นเค้าด่าได้อีกต่างหาก
กลับมาเรื่องในวันนี้กัน ผมขอคั่นเวลาสมองในการคิดประเด็นในการเขียนบทความลงหนังสือรพีไปเป็นกลางดึกคืนนี้ และขออนุญาตพูดถึงข่าวเด่นประเด็นร้อนในวงการเมือง และวงการกฎหมายตอนนี้ก่อนดีกว่า
นั่นก็คือ…
การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงกฎหมาย และในฐานะนักเรียนกฎหมายคนหนึ่ง ผมคงจะละไม่วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ แม้จะเป็นแสงหรี่ๆที่ฉายให้เห็นบางด้าน ซึ่งมันอาจจะไม่สามารถทัดทานแสงตะวัน แสงอาทิตย์อันใหญ่โต เจิดจ้าถึงสองดวงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลนี้ก็ตามที (แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ดวงอาทิตย์สระอะ หรือดวงอาทิตย์สระอา ที่กำลังร่อแร่...ที่ดวงนึงดับไปแล้ว แต่อีกดวงยังเหนียวอยู่ แต่อย่างใดนะครับ)
ผมพร้อมจะโดนด่า และวิจารณ์ เฉกเช่นเดียวกับนักวิชาการ และผู้วิจารณ์คนอื่นๆ ที่มักจะโดนกระแนะกระแหน และก่นด่าว่า เป็นพวกอยู่ในหอคอยงาช้าง ไม่ได้ปฏิบัติในพื้นที่จริง และไม่รู้จักปัญหาจริงๆ
ก็เพราะหน้าที่และความรับผิดชอบของผม คงทำได้แค่เขียนและพูด แค่นี้แหล่ะครับ ถ้าเรารู้จักเคารพบทบาทหน้าที่กันและกัน ก็คงเป็นเรื่องง่ายที่จะทดสอบได้ว่าใครกำลัง “บกพร่อง” ต่อหน้าที่ตนเองอยู่ อย่าเอาหน้าที่ตัวเอง ไปวัดและวิจารณ์คนอื่นเลยครับ ไร้ประโยชน์ ได้แค่การกระแนะกระแหนไปวันๆ
อีกอย่างการเขียนบล็อกในวันนี้ของผม ผมต้องขออภัยเพราะผมไม่มีฐานข้อมูลในการเขียนอื่นใด นอกจากข้อมูลที่ได้จากสื่อ เหมือนๆกับที่ทุกท่านได้รับเช่นกัน ผมไม่มีเวลาเตรียมตัวทำการบ้าน โดยไปอ่านหนังสือวิชาการที่เกี่ยวกับอำนาจของรัฐในการตราพระราชกำหนด แม้จะมีหนังสือที่เกี่ยวข้องดังกล่าวอยู่ในมือ และต้องน้อมรับต่อความผิดพลาดในเชิงวิชาการที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อเขียนของผมในวันนี้ เพราะเกรงว่าหากไปนั่งอ่านก่อน ก็จะเข้าอีหรอบเหมือนกับอีกหลายๆงานที่ผมอยากเขียนแต่ไม่ได้เขียนเพราะมัวแต่ไปจมกับข้อมูลมหาศาล ซึ่งเมื่อบวกกับความไม่รับผิดชอบส่วนตัวแล้ว มันจะหายไปตามสายลมและกาลเวลา โดยที่ไม่ได้เริ่มเขียนเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว
สู้เขียนซะก่อน แล้วไปถามหาความสมบูรณ์ภายหลังดีกว่า อย่างน้อยยังได้จัดระบบความคิดตัวเอง ผ่านตัวหนังสือ ได้บ้าง และอาจจะได้ประเด็นอะไรผ่านปลายปากกา และปลายนิ้ว เพิ่มเติมได้
เริ่มกันดีกว่านะครับ ลากยาวเกินไปแล้ว
เนื้อหาในพระราชกำหนดดังกล่าว คงได้ผ่านหูผ่านตาทุกท่านไปบ้างในการนำเสนอข่าวของทุกช่อง ทุกชนิด ของสื่อสารมวลชนภายใต้ฟ้าเมืองไทยแล้ว ในวานก่อน พร้อมทั้งประเด็นถกเถียงมากมายจากผู้เห็นด้วย และผู้ไม่เห็นด้วย (ขาประจำและฝ่ายค้าน) ครั้นผมจะเขียนซ้ำ เล่าข้อมูลซ้ำก็คงไม่มีอะไรใหม่ ผมเอาแต่เฉพาะด้านที่ผมสนใจจะพูดถึงดีกว่า
ผมเข้าใจว่า ตามหลักกฎหมายมหาชนแล้ว เราถือว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ” นั่นหมายถึง มาตรการใดๆก็ตามที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะบังคับใช้กับประชาชน อันอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเขา ต้องมีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ให้กระทำการนั้นๆได้เท่านั้น และกฎหมายดังกล่าว หนีไม่พ้นต้องอยู่ในชั้นพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด อันถือได้ว่า เป็นกฎหมายระดับ “ปฏิบัติการ” ที่มียศถาบันดาศักดิ์สูงที่สุด (รองจากกฎหมายระดับ “หลักการ” อย่างรัฐธรรมนูญ)
ความถูกต้องชอบธรรมของรัฐในการตราพระราชกำหนดนั้น ไว้ให้เป็นหน้าที่ของเหล่านักกฎหมายมหาชนประจำบล็อกมาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ ไม่แม่นจริงๆอันนี้
ด้วยเหตุนี้เองรัฐบาลจึงจำเป็นต้องรีบหา “ที่มา” หรือ “ความชอบธรรม” ของมาตรการต่างๆนาๆ ที่จะบังคับใช้กับประชาชนในพื้นที่อันตราย หรือพื้นที่ฉุกเฉิน แล้วแต่คำท่านจะประดิษฐ์ ด้วยการตราพระราชกำหนด โดยถือเป็นอำนาจ “ทางลัด” ไม่ต้อง อ้อมไปเข้าสภาก่อนเหมือนการตราพระราชบัญญัติ เพียงแต่เมื่อประกาศใช้แล้ว ค่อยเอาเข้าไปถกเถียงกันในสภาอีกครั้งเท่านั้น
ผมไม่ปฏิเสธว่าการควบคุมสถานการณ์ หรือการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนใต้นั้น รัฐจำต้องกระทำการอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ มาตรการตามพระราชกำหนดดังกล่าว กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ แน่นอนมันต้องกระทบอยู่แล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า กระทบนั้น กระทบแค่ไหน เพียงไร มีกรอบหรือมาตรวัดในการพิจารณาหรือไม่ ที่สำคัญ มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจที่เพียงพอหรือไม่
หรือที่พวกเราเหล่านักเรียนกฎหมายคุ้นหูกันดีใน การเรียนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการค้น หรือจับ ควบคุมตัว และสอบสวน ผู้ต้องหา หรือจำเลย อันต้องกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือที่พวกเราเรียกด้านนี้ของกฎหมายดังกล่าวว่า “การควบคุมอาชญากรรม” (crime control) แต่อาจารย์ที่เคารพของผมสั่งสอนผมตลอดมาว่า กฎหมายวิธีพิจารณาอาญานั้นหาได้มีด้านนี้ด้านเดียว แต่ยังมีอีกด้านที่สำคัญไม่น้อยกว่า นั่นคือ กระบวนการควบคุมอาชญากรรมดังกล่าว ต้องกระทำด้วยความถูกต้อง และต้องมีการตรวจสอบถึงความโปร่งใส และดุลของอำนาจเสมอที่เรียกว่า “due process”
ดุลอำนาจนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากอำนาจในการควบคุมและปราบปรามอาชญากรรมนั้นตกอยู่ภายใต้มือของคนใดคนหนึ่ง ในกระบวนการยุติธรรมจึงต้องมีหลากหลายองค์กรร่วมกันใช้อำนาจ และดำเนินบทบาททั้งเกื้อกูลช่วยเหลือ และตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน (check and balance) เพราะการตรวจสอบถ่วงดุลเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความโปร่งใส” (transparency) ยิ่งเป็นมาตรการที่รุนแรงต่อสิทธิและเสรีภาพมากเท่าใด ยิ่งต้องเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้เห็นถึงความโปร่งใสในการใช้อำนาจมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบ ในขั้นตอน “ก่อนใช้” อำนาจ เช่น การให้องค์กรตุลาการ (ผู้เป็นฟันเฟืองหลักในระบบนิติรัฐอย่างที่ etat de droit พยายามพูดถึงตลอด) ออกหมายอาญาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหมายจับ หรือหมายค้น หรือแม้แต่มาตรการที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการนี้ หลายมาตรการ เช่น การดักฟัง การห้ามมิให้ประชาชนออกจากอาคารบ้านเรือน การอพยพผู้คน การเนรเทศชาวต่างชาติ ฯลฯ
หรือ หาก “จำเป็น” หรือ “ฉุกเฉิน” อย่างยิ่งที่จะต้องกระทำการนั้นๆก่อน มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงในการควบคุมสถานการณ์หรือป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด ก็อาจจะหยวนให้ใช้มาตรการนั้นๆก่อน แล้วหลังจากนั้น เป็นหน้าที่ที่จะต้องเร่งให้มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยศาลต่อไป ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น เมื่อจับมาแล้ว จะควบคุมตัวผู้นั้นอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ก็ต้องขออนุญาตต่อศาล ทำนองนั้น
สิ่งเหล่านี้ถูกบัญญัติรับรองไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในส่วนตัวผมถือว่าเป็น “แม่บท” ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการควบคุมอาชญากรรม หรือในด้านการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจ เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ
หรืออาจจะถือได้ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานี่แหล่ะ ที่เป็น กฎหมายระดับ “ปฏิบัติการ” บทหลัก หรือ “ธรรมนูญ” ของการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่
เป็น “ศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก” ของทั้งอำนาจ และการควบคุมการใช้อำนาจ ของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
แต่ในปัจจุบัน ในยุคที่อำนาจนิติบัญญัติ เป็นแค่สาขาย่อยของ อำนาจบริหารของรัฐบาลนั้น “ศิลาแปดศอก” ดังกล่าว กำลังถูกผลักให้โยกคลอน และมันก็กำลังโยกคลอนจริงๆ
ทำให้ผมคิดถึงประโยคนี้ครับ “ศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก คนมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว”
ผมสังเกตพบว่า บรรดากฎหมายใหม่ๆที่เกี่ยวกับการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำต่อประชาชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมดั้งเดิม ที่ปรากฏในวิฯอาญา (ชื่อเล่นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาน่ะครับ) เช่น การค้น จับ ควบคุมตัว หรือ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การดักฟัง การยึดอายัดสิ่งของ การห้ามออกนอกสถานที่อยู่อาศัย การเนรเทศบุคคลต่างด้าว ฯลฯ ล้วนแต่พยายามจะหลีกเลี่ยง มาตรฐานในการถ่วงดุลที่ปรากฏไว้ในวิฯอาญาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ปรากฏอยู่ใน กฎหมายศุลกากร สรรพสามิต ฟอกเงิน คดีพิเศษ ฯลฯ รวมถึงพระราชกำหนดเจ้าปัญหาที่เรากำลังพิจารณากันอยู่นี้ด้วย ซึ่งมักจะมีมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิที่หย่อนยานกว่าในวิฯอาญา
การค้นการจับ ไม่จำเป็นต้องขอหมายต่อศาลก่อน เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ดาษดื่น ในกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เต็มที่คือการให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำการตามกฎหมาย แสดงแค่บัตรประจำตัว แก่ผู้ถูกกระทำแค่นั้น (แมวน้ำที่ไหนจะรู้ว่าจริงหรือปลอมครับ ต่อให้รายละเอียดและตัวอย่างของบัตรจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็เถอะ)
อาจจะอ้างว่า รอขอหมายก็ไม่ทันรับประทาน ใช่ครับ ผมเห็นด้วย ในสถานการณ์บางสถานการณ์เราไม่อาจรอ หมายจากศาลก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการได้ วิฯอาญาก็คิดอย่างนั้นครับ ดังนั้นในวิฯอาญาเอง จึงมีการกำหนดข้อยกเว้นของการค้น และจับได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหมาย ซึ่งผมเห็นว่า บทบัญญัติในวิฯอาญาดังกล่าวน่าจะเป็นมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิขั้นต่ำของประชาชนที่เกี่ยวข้อง และเป็นมาตรฐานการใช้อำนาจขั้นสูง ของเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามกฎหมายแล้ว
ถ้อยคำที่ปรากฏในวิฯอาญา เกี่ยวกับข้อยกเว้นการค้นและจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจากศาลนั้น ค่อนข้างจะครบถ้วน และผมเห็นว่า มันปรับใช้ได้ในสถานการณ์พิเศษได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น การให้จับบุคคลผู้กระทำความผิดได้ ในกรณีที่ ไม่มีข้อสงสัยใดๆว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด เช่น เมื่อบุคคลผู้ถูกจับได้กระทำความผิดลงต่อหน้าต่อตา เจ้าหน้าที่ผู้จับกุม หรือที่กว้างขวางตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้คือ เมื่อมี “เหตุอันควรสงสัย” ว่าผู้ถูกจับได้กระทำความผิดมา ทั้งนี้ไม่ว่าเพราะ การสังเกตจากพฤติการณ์ หรือจากการครอบครองอาวุธหรือวัตถุที่สามารถใช้กระทำความผิดที่ปรากฏต่อหน้าเจ้าหน้าที่
แม้กระทั่งจับตามคำขอของใครสักคนที่อ้างว่า บุคคลผู้ถูกจับนั้นได้กระทำความผิด โดยมีการร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว ซึ่งผมถือได้ว่า เหตุจับโดยไม่ต้องมีหมายเหตุนี้ “กว้างขวาง” เพียงพอที่จะเบียดบัง ดินแดนแห่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วล่ะครับ
สำหรับการค้นโดยไม่มีหมายนั้น วิฯอาญาก็มีมาตรฐานในการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำการค้น สามารถค้นในที่ “รโหฐาน” (สำหรับคำๆนี้ มีประเด็นครับ “ที่รโหฐาน” นั้น ไม่มีนิยามชัดเจนแต่อย่างใด กฎหมายเพียงแต่ให้ความหมายว่า “ที่รโหฐาน” หมายถึง ที่ต่างๆซึ่งมิใช่ที่สาธารณสถานดังบัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา (กฎหมายอาญาปัจจุบันนี่แหล่ะครับ กฎหมายลักษณะอาญายกเลิกพ้นการบังคับใช้ไปตั้งแต่ พ.ศ.2500 แล้วครับ)” พอไปเปิดในดูใน ประมวลกฎหมายอาญา (สืบทอดมรดกมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 นั่นแหล่ะครับ) ก็พบว่า คำว่า “สาธารณสถานนั้น หมายถึง สถานที่ใดๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้” ฉะนั้นจึงให้ความหมายของ “ที่รโหฐาน” ได้ว่า สถานที่ใดๆ ซึ่งประชาชน “ไม่” มีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้นั่นเองครับ กำปั้นทุบดินดีมั๊ยครับ คำนี้)
เอาเป็นว่า เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นบ้าน หรืออาคารที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน สุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีหมายค้นไม่ได้ ทะเล่อทะล่าเข้าไป อาจเจอข้อหา “บุกรุก” ได้รับ เพราะว่า “เข้าไปโดยไม่มีอำนาจ” แต่วิฯอาญาก็ไม่ใจร้ายและเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ขนาดนั้นหรอกครับ เพราะวิฯอาญา กำหนดเหตุ หรือสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ผู้ค้นนั้นสามารถเข้าทำการค้นใน “ที่รโหฐาน” โดยไม่ต้องรอหมายศาลได้ โดยกำหนดเหตุไว้ไม่ว่าจะเป็น
เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน , เมื่อปรากฏว่ามีการกระทำความผิดลงต่อหน้าซี่งได้กระทำในที่รโหฐานนี่แหล่ะ , รวมทั้งการติดตามไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด (hot pursuit) คนร้ายที่ทำผิดต่อหน้าตำรวจแล้ววิ่งหนีไปในบ้านของชาวบ้านเค้า อันนี้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องลงทุนนั่งรอจนกว่ามันจะหิวโซเซออกจากบ้านมาเอง เข้าไปได้ครับ , หรือเมื่อไอ้คนที่จะจับน่ะ เป็นเจ้าของบ้านเอง แล้วเจ้าหน้าที่สามารถจับได้โดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเพราะมีหมายจับไอ้หมอนั่นแล้ว หรือจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตามที่กฎหมายบัญญัติ เห็นได้ว่าวิฯอาญาเอง ก็ไม่ได้คุ้มครองสิทธิอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือเฟ้ออะไรขนาดนั้น ไม่ได้เรียกร้องให้มีหมายถึงสองใบ ทั้งค้นทั้งจับ หากเป็นกรณีที่ไอ้คนที่จะถูกจับมันอยู่ในบ้านมันเอง
และที่กว้างขวางพอตัวในการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ค้นมีความสงสัยตามสมควรว่า สิ่งของที่ได้มาโดยการกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายเสียก่อน
พูดง่ายๆ ช้าไม่ได้ เดี๋ยวหลักฐานจะหายไปหมด
จะเห็นได้ว่า ทั้งมาตรการค้นและจับโดยไม่ต้องรอหมายศาลนั้น จะต้องมีเหตุอยู่เหตุหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ด้วยถ้อยคำครอบจักรวาลว่า “เหตุอันควรสงสัยตามสมควร” ซึ่งผมถือว่านี่คือกฎหมายที่ให้ดุลพินิจเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาตามสถานการณ์ได้ และยืดหยุ่นไม่เคร่งครัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินบทบาทของการ “ควบคุมอาชญากรรม” ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ลำพังแค่นี้ ก็งงกันเป็นไก่ตาแตกกันแล้วครับ ว่าอย่างไรจึงจะเรียกว่า “เหตุอันควรสงสัยตามสมควร”
ศาลครับศาล ศาลจะต้องเป็นผู้ทดสอบ หรือตรวจสอบ การใช้ดุลพินิจให้ความหมายตามถ้อยคำดังกล่าว เพื่อวางเป็นบรรทัดฐานในการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต่อไป ว่าไอ้ถ้อยคำที่กว้างขวางดังมหาสมุทรนั้น มีขอบเขตเพียงใด
แต่กว่าเรื่องจะถึงมือศาลครับ…
ผมถึงมีความคิดอคติไว้ก่อนกับบรรดากฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายสามารถค้น หรือจับ บุคคลโดยไม่ต้องกระทำการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในวิฯอาญา เพราะผมคิดว่า ส่วนใหญ่ มักจะถือฤกษ์ “สะดวก” มากกว่าที่จะ “จำเป็น” จริงๆ ที่ไม่สามารถใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้ในวิฯอาญาได้
สังเกตได้ว่าข้างต้น ผมจะพูดถึงแต่มาตรการค้นและจับ แต่กฎหมายพิเศษอื่นๆ รวมทั้งพระราชกำหนดฉบับเจ้าปัญหานี้ด้วย ไม่ได้มีแค่การค้นและจับเท่านั้น แต่มีนวัตกรรมทางอำนาจอื่นๆมากมายที่มันสมองของนักกฎหมายในรัฐบาลจะคิดค้นประดิษฐ์ออกมาได้ ไม่ว่าจะด้วยภูมิปัญญาตัวเอง หรือลอกเลียนภูมิปัญญาชาวบ้านเค้ามา
ผมไม่เถียงครับ ว่าในบางสถานการณ์อาจมีความจำเป็นพิเศษที่จะปรับใช้วิฯอาญาได้ไม่ถนัดนัก และการตีความขยายอำนาจของตัว ไม่เป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่จะคิดนวัตกรรมอะไรให้มันบรรเจิดมากมาย เราควรต้องย้อนกลับมามองสิ่งที่มีอยู่ก่อนว่าสามารถปรับใช้ได้เพียงพอหรือไม่ หากมันไม่เพียงพอจริงๆ (พอไม่พอ ผมเห็นว่า ไปเถียงกันในสภาครับ ให้ประชาชนรับฟังจากการถ่ายทอดด้วย ไม่ใช่ นั่งซุบซิบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น) จะคลอดมันออกมาก็คงไม่มีใครว่าอะไรมั๊งครับ สำหรับการถกเถียงกันก่อนคลอดมาตรการใดๆออกมาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า มาตรการเหล่านั้นมัน “จำเป็น” มากน้อยแค่ไหน “สัดส่วนระหว่างผลประโยชน์จากการบังคับใช้ตามมาตรการนั้น กับสิทธิและเสรีภาพหรือประโยชน์ของปัจเจกชนนั้น ได้ดุลกันหรือไม่” “เป็นหนทางอันสุดท้ายจริงๆหรือไม่” หรือมีแต่ไม่ถึงใจ ไม่ทันใจ พระเดช พระคุณท่าน
และที่สำคัญ “ได้มีการวางมาตรการในการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจในการใช้มาตรการนั้นๆไว้อย่างเหมาะสมหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะการยึดโยงกับอำนาจตุลาการ”
มากไปกว่านั้นครับ
ไอ้ที่เขียนๆไว้ในพระราชกำหนดดังกล่าว ล้วนแต่เป็น มาตรการที่มีผลกระทบอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ ในรัฐธรรมนูญ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เสรีภาพในเนื้อตัวร่างกาย เสรีภาพในการอยู่อาศัยในเคหสถานโดยปกติสุขไร้การรบกวนจากอำนาจรัฐ เสรีภาพในการเดินทาง ออกจากบ้านไปไหนมาไหน เสรีภาพในการเสนอข่าว แสดงความคิดเห็น ซึ่งย่อมหมายรวมถึง “สิทธิและเสรีภาพในการได้รับข่าวสารของประชาชน” และเสรีภาพในการชุมนุมกันอย่างสันติ
เรียกได้ว่า กระทบแทบทุกมิติของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญกันเลยทีเดียว สนุกดีนะครับ ไม่ได้เห็นฉบับเต็มๆของพระราชกำหนดดังกล่าว เพราะคงต้องอ้างถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่กฎหมายฉบับนี้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพมายาวเหยียดเป็นหางว่าวแน่ๆ (หรือไม่ได้อ้างวะ)
แล้วบังเอิญกฎหมายรัฐธรรมนูญ เองก็ได้เปิดช่องให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้ หากมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐไว้ คราวนี้ก็สบช่องสิครับ เพียงแค่ออกกฎหมายมาใช้ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถกระทำการอันเป็นการกระทบสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้เลย มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือครับ
ถ้าเล่นกันตามเนื้อหากติกา ก็ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอกครับ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดในมาตรา 29 ว่า การออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนจะกระทำได้ “เท่าที่จำเป็น” และ “จะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นไม่ได้” นอกจากนั้นเหตุผลในการออกมาตรการที่จัดสิทธิและเสรีภาพทั้งหลาย ส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญยังเรียกร้องให้ต้องมีเหตุผลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย
แต่จะว่าง่ายมันก็ง่าย โดยเฉพาะหากพิจารณาจากอำนาจของรัฐบาลภายใต้ท่านผู้นำ ณ นาทีนี้ เพราะไอ้ถ้อยคำที่ว่า “จำเป็น” เอย “สาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพ” เอย และ “เหตุผลที่ออกเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี” เอย มันช่างกว้างขวาง ปานมหาสมุทร หย่อนมาตรการอะไรออกไป ก็ไม่แคล้ว “เหมาะเจาะพอดี” ไปหมดล่ะครับ
ผมเองไม่ค่อยไว้วางใจ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหาร ณ เพลานี้มากนัก
ผมเห็นว่า แม้มาตรวัดที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ อาจถูกบิดเบือนและบิดเบี้ยว ยังไง แต่ในสติปัญญาผมที่พอมี ผมเห็นว่า เราอาจทดสอบน้ำหนักของมาตรการดังกล่าว ด้วยไม้บรรทัดที่วิฯอาญาสร้างไว้นั่นแหล่ะครับ น้ำหนักแห่งการละเมิดสิทธิ และน้ำหนักของการคุ้มครองสิทธิ ก็ควรจะไม่หย่อนกว่ากันให้มันมากมาย จนน่าเกลียดน่าชังนัก หรือง่ายๆ เราควรต้องรักษาน้ำหนัก ในไลน์เดิมๆ ไว้ไม่ให้มันกระโดดไปมากนัก จนไร้บรรทัดฐาน จนนึกจะออกอะไรก็ออก กลายเป็นสำนักปฏิฐานนิยม ที่เห็นอำนาจนิติบัญญัติยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด
เรื่องของดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชกำหนดฉบับนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยเช่นกันครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้วางใจ หรือดูถูกดูหมิ่นอะไรท่านนะครับ แต่ประวัติศาสตร์ และประสบการณ์แห่งชาติไทย มันชวนให้คิดตลอดมาว่า ไอ้กฎหมายที่มักกำหนดถ้อยคำอันกว้างขวางในการให้อำนาจไว้นั้น มันเสี่ยงต่อการถูกบิดเบือนได้โดยง่าย โดยเฉพาะไอ้เหตุอันควรสงสัยเนี่ย เพราะทุกวันนี้ก็สงสัยกันให้รึ่มอยู่แล้ว
รวมทั้งอำนาจในการควบคุมตัว ตาม มาตรา 12 ด้วย เพราะเห็นว่าเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จับกุมและควบคุม ตัวบุคคลผู้ต้องสงสัยได้ไม่เกิน 7 วัน (มากกว่าในวิฯอาญา หลายเท่า เพราะวิฯอาญากำหนดให้ควบคุมตัวผู้ถูกจับขั้นต้นได้เพียงไม่เกิน 48 ชั่วโมง ก่อนจะต้องส่งให้ศาลตรวจสอบและฝากขังต่อศาลต่อไป) หลังจากนั้นหากต้องการควบคุมตัวให้นานมากกว่า 7 วัน ก็ต้องขออนุญาตศาลครับ โดยขอขยายได้ อีกครั้งละไม่เกิน 7 วัน รวมแล้วจะกี่ครั้ง ต้องไม่เกิน 30 วัน
ปัญหามันอย่างนี้ครับ
คือ หลังจากที่ควบคุมไว้เต็มปรี่ 30 วันแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังเปิดโอกาสให้ ควบคุมตัวไว้ต่อได้ โดยเลี่ยงให้ใช้ไปใช้การขอฝากขังตามวิฯอาญา แทน แล้วไอ้วิฯอาญาที่ว่าเนี่ย มันฝากขังได้หลายผลัดๆละ ไม่เกิน 12 วัน รวมได้สูงสุดไม่เกิน 84 วัน
คราวนี้ปัญหาคือ ไอ้ที่ว่า ควบคุมได้ 30 วันก่อนหน้าจะมาเข้าช่องวิฯอาญาเนี่ย มันไม่นับรวมน่ะสิครับ หมายความว่า หากควบคุมมา 30 วันแล้ว ยังไม่หนำใจ ก็ใช้ช่องวิฯอาญาต่อ ได้อีก 84 วัน รวมแล้ว 1 2 3 4 …
114 วันเข้าให้แล้วครับ
ไม่แน่ใจว่า ไอ้ที่อยู่ในการควบคุมตัว 30 วัน ก่อนเข้าช่องวิฯอาญา สิทธิที่กำหนดไว้ในวิฯอาญาจะได้นำมาใช้ด้วยหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการที่จะมีทนาย หรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย หรือจะเลี่ยงไปว่ายังไม่มีการสอบสวนตามวิฯอาญา ดังนั้นไอ้สิทธิทั้งหลายในวิฯอาญาจึงไม่นำมาใช้??
นั่นหมายความว่า 30 วัน ตั้งแต่ถูกจับ ผู้ถูกจับจะอยู่ใน “ห้วงสุญญากาศ” แห่งกระบวนการยุติธรรม เพราะไม่รู้ว่ามันจะถูกจัดไปอยู่ตรงไหน ของกระบวนการยุติธรรม ?? หลายคนในรัฐบาลอาจคำรามว่า “พุทโธ่! เอ็งน่ะคิดมากเกินไป ไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม (วัว) ไม่มีใครเค้าคิดร้ายหรอกน่า ทำไปเพราะรักชาติทั้งนั้น เอ๊ะ พูดอย่างนี้ไม่รักชาตินี่หว่าเอ็งอ่ะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว”
คร๊าบ ผมกลัวแล้วคร๊าบ เพราะผมเองเคยได้ยินอาจารย์พูดบ่อยๆว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น นักกฎหมายก็นั่งลง” เพราะคงพูดจากันด้วยเหตุผลไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ดังนี่ครับ ไว้ดังใกล้ๆบ้านผม เดี๋ยวผมเงียบเองแหล่ะ ผมเป็นคนว่านอนสอนง่ายครับ
เหนือสิ่งอื่นใด ที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็เพราะ
ห่วงน่ะครับ กลัวจะอยู่ไม่ครบ 8 ปี
สุดท้ายนี้ผมขอยกประโยคของ Benhard Rehfeld ที่ผมคิดว่ามันน่าจะเข้ากับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ “การค้นพบการนิติบัญญัติเป็นการค้นพบที่น่ากลัวยิ่งกว่าการค้นพบไฟหรือดินปืนเสียอีก เพราะเท่ากับเป็นการมอบชะตากรรมของมนุษย์ไว้กับมนุษย์ด้วยกันเอง”
ผมเอามาจากหนังสือ “นิติปรัชญา” ของ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ปรมาจารย์ทางกฎหมายอีกท่านของเมืองไทยครับ
อำนาจนิติบัญญัตินี่น่ากลัวนะครับ เพราะเราเพิ่งค้นพบมันได้ไม่นาน ประสบการณ์ของเรายังไม่สามารถสั่งสอนเราได้ทั้งหมดว่า อะไรที่เราบัญญัติได้ และอะไรที่เราบัญญัติไม่ได้ หรือไม่ควรบัญญัติ
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผมตอนนี้ ผมว่าอำนาจนิติบัญญัติที่ใช้โดยคน 500 คน (อาจจะบวกอีก 200 เป็น 700) ยังไงก็น่ากลัวสู้อำนาจนิติบัญญัติที่บัญญัติโดยคนเพียง 36 คนไม่ได้หรอกครับ
แต่เอ๊ะ…
เดี๋ยวนี้เค้าไม่ต้องถึง 36 แล้วนี่หว่า แค่นายกกับรัฐมนตรีผู้รู้ใจอีกหน่อ ก็เทียบเท่าคน 36 คนแล้วนี่
ยิ่งน่ากลัวใหญ่เลยครับคราวนี้
ตัวใครตัวมันครับท่านผู้อ่าน