เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ (ตอนที่ 1)
ช่วงนี้ได้อ่านบล็อกย้อนรำลึกวันเก่าๆของบล็อกเกอร์ทั้งหลาย แล้วหวนให้นึกถึงวันเก่าๆ ของตัวเองบ้าง ผมเชื่อว่าทุกคนเองก็มี “วันเก่าๆ” หรือ "วันก่อนๆ"ของตัวเองในกล่องบันทึกความทรงจำทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยบ้าง สีสัน แตกต่างกันออกไป
แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง เรื่องราวในกล่องบันทึกความทรงจำของเรา เมื่อผ่านกาลเวลามามากพอควร แม้จะมีจางเลือนลางไปบ้าง แต่ในอีกมุมหนึ่งของ เรื่องราวที่ยังคงค้างอยู่ในกล่องใบนั้น มักจะเป็นเรื่องที่ “ประทับ” อยู่ในใจ ในความทรงจำเราอย่างจริงจัง
ผมมีความสุขทุกครั้ง ที่ได้ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ในวันก่อนๆ มาพูดคุย และรำลึก กับพยานแห่งความทรงจำของผม ยามได้นั่งล้อมวงกัน ไม่ว่าจะ ณ สถานที่ใดๆ หลายคน ช่วยกันขุด หลายคนช่วยกันคุ้ย และหลายคนช่วยกันเติมเต็มความทรงจำของกันและกัน
วันนี้ผมขอหยิบยกเรื่องราวในวันเก่าๆ สักเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของผม มาเขียนเล่าให้ผู้อ่าน รวมทั้งให้ตัวผมเองฟังกันดีกว่าครับ
เรียกได้ว่า ผมและคุณเราฟังเรื่องราวของผมไปพร้อมๆกันดีกว่า
ผมขอเชื่ออีกสักอย่างว่า คนเรานั้นเอาเข้าจริง เราไม่ได้เป็นฝ่าย “เลือก” อะไรๆ ในชีวิตเราได้มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะทำได้เพียง “เดิน” ไปตามทางที่มันเปิดเอาไว้เท่านั้น โดยเฉพาะ เมื่อเรากำลังไขว่ขว้าและเดินอยู่บนเส้นทางที่เรียกว่า “ชะตา” เพื่อมุ่งหน้าไปหาจุดหมายที่เรียกว่า “อนาคต”
เหมือนกันกับช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินของผม ที่พาผมไปวกเวียนวนอยู่ในรั้วแดงขาว แถวฝั่งธน ชนชายขอบกรุงเทพมหานคร พร้อมกับเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีมากมาย และสถานที่แห่งนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ผมยืนอยู่ ณ จุดปัจจุบันนี้
ผมเข้ามาเรียนที่นี่ ด้วยความไม่คาดหวัง และไม่ได้ใฝ่ฝัน เรียกได้ว่าเป็นเพราะ “ชะตาฟ้าลิขิต” แท้ๆทีเดียว ผมแทบไม่เคยได้ยินชื่อโรงเรียนนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ “อัสสัมชัญ” ผมมักจะคิดถึง โรงเรียน “อัสสัมชัญกรุงเทพ” ที่ตั้งอยู่แถวบางรัก ไม่ใช่ “อัสสัมชัญธนบุรี” ที่ตั้งอยู่แถวหมู่บ้านเศรษฐกิจ บางแค (ชื่ออักษรย่อโรงเรียนผมก็ต่างกันครับ ในขณะที่ อัสสัมชัญบางรัก เค้าปักว่า อ.ส.ช. พวกผม กลับปักว่า อ.ส.ธ. ก็เพราะไอ้อักษรย่อโรงเรียนแบบนี้ของผมแหล่ะครับ ที่โรงเรียนใกล้ๆกัน เก็บไปล้อว่าเป็น เด็ก “อีสานฝั่งธน” แล้วดันเสือกมีร้านลาบแถวโรงเรียนใช้ชื่อ “อีสานฝั่งธน” จริงๆด้วย เวรกรรม …แต่พวกผมก็เบาที่ไหน พวกผมก็เรียกมันกลับว่า เด็ก “โรงน้ำปลา” เหมือนกัน ด้วยเหตุที่ โรงเรียนมันมีอักษรย่อว่า “ร.น.ป.” ราชวินิตบางแคปานขำน่ะครับ)
ผมได้มีโอกาสเข้าสอบเพื่อคัดเลือกเข้ามาเรียน ณ โรงเรียนนี้ เพราะแม่ของเพื่อนซื้อใบสมัครมาเผื่อ ด้วยความเกรงใจ (และเสียดายเพราะจ่ายเงินคืนให้เค้าไปแล้ว) ผมจึงดั้นด้นมาสอบ ที่ต้องใช้คำว่าดั้นด้น เพราะมันไกลชิหาย ไกลขนาดผมนั่งหลับสามตื่นยังไม่ถึง หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ จนจำไม่ได้แล้วว่านี่กูกำลังจะไปไหนวะ ถ้าไม่ได้ดูแผนที่กรุงเทพ ผมไม่มีวันเชื่อเป็นอันขาดว่า ไอ้โรงเรียนนี้มันยังอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร
สัมผัสแรกกับโรงเรียนนี้ นอกจากความเบื่อหน่าย ในการเดินทางแล้ว ก็คือ โรงเรียนห่าไรวะ แม่งใหญ่ชิหาย อาจจะเป็นเพราะที่ที่ผมจากมามันเล็กเท่ารูหนู แถมอยู่ในเขตชุมชน เรียกได้ว่า แม่ค้งแม่ค้าทะเลาะกันพวกผมได้ยินหมด เวลารถซิ่งขับผ่านโรงเรียน ก็ต้องหยุดการเรียนการสอน ไว้อาลัยให้มันก่อน
เนื้อที่ของโรงเรียนขณะที่ผมเข้าไป เมื่อราวปี 2535 อยู่ที่ 80 ไร่เศษ และในปัจจุบันเมื่อกลับไปอีกครั้ง ได้ข่าวว่ามันได้ขยายไปร่วม 100 ไร่แล้วล่ะมั๊ง เรียกว่าสุดลูกหูลูกตา อาจเป็นเพราะด้วยความห่างไกลจากความเจริญ เลยทำให้ราคาที่ดินมันไม่สูงปรี๊ดปร๊าดเหมือนใจกลางกรุงเทพ สะใจผมจริงๆ เพราะผมใฝ่ฝันที่จะได้วิ่งไล่ลูกกลมๆในสนามหญ้าใหญ่ๆมานานแล้ว
นอกจากความใหญ่โตของพื้นที่แล้ว ผมสังเกตเห็นว่า บรรดาอาคารเรียน ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ อยู่ในขั้นดี ใหม่ และทันสมัย (แม้ว่าต่อมามันจะผุดขึ้นอีกเป็นดอกเห็ดก็ตามเมื่อผมจบมาแล้ว…อะไรๆมันมักจะดีขึ้นเมื่อเราจากมันมาเสมอ) เข้าใจว่า บาร์เดอร์อธิการ สมัยที่ผมอาศัยชายคาเรียนนั้น ท่านเป็นนักพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยการเริ่มต้นจาก “วัตถุ” ก่อน เพราะเมื่อผมเปิดดูรูปของโรงเรียนแห่งนี้ ในสมัยหลายสิบปีก่อน ผมบอกได้คำเดียวว่า
นี่มันทุ่งนา และปลักควายนี่หว่า
วันที่ผมต้องสอบสัมภาษณ์ เข้าเรียนเมื่อผ่านข้อเขียนแล้ว ผมจำได้ถึงความรู้สึกที่วิตกจริตกลัวจะตอบคำถามไม่ได้ และด้วยประสาเด็ก ก็คาดเดาไปต่างๆนาๆ เกี่ยวกับคำถามที่อาจารย์ที่พวกเด็กเก่าๆเรียนตั้งแต่สมัยประถม เรียกว่า “มิส” และ “มาสเซอร์” (ผมมาเข้าโรงเรียนนี้ในชั้นมัธยม 1 ) จะขุดเอามาถาม หลายคนไซโคว่าต้องเป็นคำถามที่เกี่ยวกับโรงเรียนแน่ๆ จะได้ดูว่าเรามีความตั้งใจจริงในการเข้าเรียนที่นี่ขนาดไหน ผมก็เออ ออ ไปกะมัน
ด้วยการ…
ไปนั่งนับโถส้วมและโถฉี่ ที่อยู่ในห้องน้ำ (มีแต่ห้องน้ำชายครับ โรงเรียนผมชายล้วน แต่เพิ่งมารับผู้หญิงในชั้นมัธยมปลาย ตอนผมออกมาแล้วเช่นเคย) เพราะประหวั่นว่าแกจะถามถึงจำนวนสุขภัณฑ์ดังกล่าว
วิตกจริตมั๊ยครับ
ช่วงชีวิตมัธยมต้นของผมในโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างเรียบ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคลื่นลมกระทบความทรงจำเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนเมื่อเวลาผ่านมาจนผมขึ้นมัธยมปลาย
ผมมีเวลาในฐานะนักเรียนในระดับมัธยมปลายในโรงเรียนนี้ค่อนข้างน้อย ไม่ใช่เพราะสอบเทียบเหมือนคนอื่น แต่ห้องผมซึ่งมีจำนวนนักเรียนประมาณสี่สิบปลายๆ เป็นห้องเรียนของโครงการ สพพ. (ผมจำชื่อเต็มมันไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่า เพื่อนผู้หญิงในมหาวิทยาลัยของผม ขี้ตู่ว่าตัวเองก็จบจากโครงการนี้เช่นเดียวกัน เธอบอกว่ามันย่อมาจาก “สวยเพรียบพร้อม”) ซึ่งจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรมัธยมปลาย ให้เหลือเพียงสองปี คือ ผมต้องเรียนวิชาของชั้น มัธยมสี่จนถึงมัธยมหก ให้จบในเวลาสองปีน่ะครับ จัดห้องสอบกันเป็นว่าเล่น แม้แต่ต้องแหกขี้ตามานั่งสอบวันเสาร์วันอาทิตย์ก็เคย สอบเสร็จก็ต้องจัดโต๊ะให้เข้าที่ เพราะรุ่งขึ้นต้องใช้เป็นห้องเรียนธรรมดาอีก
แต่สองปีก็พอจะทำให้ผมไม่รู้สึกเสียดายอะไรอีกแล้ว เมื่อต้องเดินออกจากรั้วแดงขาว สู่รั้วเหลืองแดง
ผมได้เพื่อนที่ดี ซึ่งทุกวันนี้ยังคบหากันอยู่ และนัดกินข้าวกันทุกเดือน ถ้าทำได้
ผมได้ครูที่ดี เรียกได้ว่าเป็นแม่คนที่สองของพวกผมกันเลยทีเดียว…มิสปุ๊ครับ และทุกวันนี้เราก็ไม่เคยพลาดที่จะต้องมีมิสไปด้วยทุกครั้งที่พวกเรานัดกินข้าวกันประจำเดือน (ฟังดูยังไงๆ นะครับ … ประจำเดือน)
ห้องผมดูจะเป็นเด็กเรียน แต่แท้แล้วไม่ ออกจะทะโมนด้วยซ้ำ ความทรงจำในด้านวีรกรรม วีรเวรพวกผมก็ไม่น้อยหน้าใครล่ะ
ไม่ใช่เกเร เกตุง ก็แค่ท้วมๆพอน่ารัก น่าหยิก
ด้วยเวลาที่จำกัดในการเรียนให้จบมัธยมปลาย เลยทำให้การจัดการสอนของบรรดามิสและมาสเซอร์ต้องเร่งจังหวะตามไปด้วย กรรมก็มาตกที่พวกผมที่ต้องสอบกันเป็นงานหลัก เมื่อเตรียมตัวไม่ทัน ผลโดยตรงก็ต้องลอกกันแหล่ะครับ
ผมเชื่อว่า หลายคนเคยลอกข้อสอบ หรือไม่ก็ต้องมีตะแคง ตะแบงกันมั่งล่ะวะ วิธีการลอกอาจจะเป็นวิธีสากล เช่น แอบจดโพยในส่วนใดส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าและร่างกาย หรือคลาสสิคกันโต้งๆ ก็ชะเง้อลอกเพื่อนตอนครูเผลอ การส่งสัญญาณทั้งหลายแก่กัน ฯลฯ
แต่พวกผมยิ่งกว่านั้น ผมมีเครื่องมือชั้นดีในการลอกข้อสอบ
จำได้ว่าวันนั้นพวกผมสอบกลางภาควิชาเคมี สาเหตุที่บีบบังคับให้พวกผมต้องใช้วิธีการอื่นในการตอบข้อสอบนอกจากการคิดจากสติปัญญาของตัวเอง ก็คือ การที่มาสเซอร์เจ้าของวิชา ดันมีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการเปิดโรงเรียนกวดวิชาเคมี ใกล้ๆกับโรงเรียน แล้วชวนเชื่อแกมบังคับให้พวกผมไปเป็นลูกค้าแก หากใครไม่ไปก็ไม่เป็นไร ก็แค่จำไว้ และบรรดาข้อสอบทั้งหลายก็มักไปโผล่เป็นส่วนหนึ่งของ ชีทและเอกสารในการติวของแก แค่นั้น
เมื่อชีวิตมันรันทดขนาดนี้ พวกผมก็จำเป็นที่จะต้อง “ลอก” (มันน่าสงสารจริงๆนะเนี่ย) พวกเราพยายามวางแผนจะทำอย่างไรให้ปฏิบัติการครั้งนี้มัน “เนียน” ที่สุด เพราะจำนวนนักเรียนที่ทำได้กับทำไม่ได้ มันครึ่งต่อครึ่งกันเลยทีเดียว เราจึงจำเป็นต้องลอกกันอย่างมโหฬารและถล่มทลาย
จำมิสปุ๊ คนข้างบนได้มั๊ยครับ
นั่นแหล่ะครับ ที่พึ่งของพวกผมจริงๆ ก่อนเข้าสอบ เมื่อเราประเมินสถานการณ์การสู้รบครั้งนี้ และพบว่าอัตราที่จะตายยกห้อง หรืออย่างน้อยครึ่งห้องมีสูงมากๆ เราก็เลยส่งตัวแทน อันประกอบด้วยผมและเพื่อนอีกราวสี่หรือห้าคน ไปเจรจาต้าอ่วยกะมิส ให้ช่วยเราพ้นสภาวะอันบีบคั้นนี้เสียที แรกๆมิสก็อ้ำอึ้ง พร้อมกับทำเสียงอ่อยๆว่า “เอางั้นเลยเหรอลูก” และประกอบกับการที่มิสเป็นครูสอนศาสนาด้วย การร่วมกระทำการกับพวกผมจึงหมิ่นเหม่ต่อการผลักมิสสู่ดินแดนแห่งซาตานเสียจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นเป็นวันของซาตาน หรือเพราะมิสรำคาญพวกผมกันแน่ แกเลยตอบตกลง แบบหวั่นใจเหมือนกัน แผนของเราจึงได้ดำเนินการขึ้น นับจากการเจรจาเมื่อตอนพักเที่ยงวันนั้น…
ออดโรงเรียนดังขึ้นตอนบ่ายโมงอันเป็นเวลาที่พวกผมต้องเข้าสู่สมรภูมิสอบวิชาเคมีเจ้าปัญหาแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวสิบห้านาทีของการสอบ แผนการเราก็เริ่มต้นขึ้น
มิสปุ๊ เดินเข้ามาเคาะประตูห้อง แล้วบอกกับมาสเซอร์ผู้คุมสอบและเป็นเจ้าของวิชาว่า มีโทรศัพท์ด่วน อยู่ห้องธุรการที่ต้องลงไปรับที่ชั้นหนึ่ง (พวกผมอยู่ชั้นสาม)
แรกแกก็ลังเลใจว่าจะลงไปรับดีหรือไม่ เพราะไม่ไว้ใจพวกผมอยู่แล้ว แต่เมื่อมิสปุ๊คนดี เสนอตัวช่วยคุมสอบให้ในขณะที่แกไม่อยู่ ก็ทำให้แกตัดสินใจไปรับโทรศัพท์ง่ายขึ้น
เมื่อแกลากเอารูปร้างตุ้ยนุ้ยเดินผ่านบริเวณห้องเราไป ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น บรรดาเพื่อนที่ได้ไปเรียนกวดวิชากับแก ก็พร้อมใจกัน เปิดข้อสอบให้เพื่อนลอกกันอย่างเมามัน ไม่มีใครปิดบังหรือหวงวิชาอะไรกันเลย จนกระทั่งมีความคิดว่าพวกเราจะรวมเงินกัน ส่งตัวแทนหัวกะทิของห้องไปนั่งเรียนพิเศษกะแกเพื่อเอาข้อสอบมาแบ่งปันกันอย่างนี้เรื่อยๆ
มิสปุ๊ได้แต่ยืนยิ้ม…ด้วยแววตาสังเวช และวิตกว่า “กูจะตกนรกมั๊ยเนี่ย”
แผนการครั้งนี้คงสำเร็จไปไม่ได้หากเราไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ธุรการผู้ทำทีเป็นถือหูโทรศัพท์รอมาสเซอร์ผู้โชคร้ายไปรับสาย พร้อมกับบอกมาสเซอร์ว่า “สายหลุดไปแล้วค่ะ” และกดเบอร์ภายในมา ณ ห้องมิสปุ๊ที่บังเอิญอยู่ติดกับห้องสอบของพวกผมพอดี เพื่อแจ้งพิกัดของมาสเซอร์ ที่กำลังมุ่งหน้ากลับมาทำหน้าที่ดังเดิม…ขอบคุณครับพี่ ไม่ได้พี่พวกผมคงแย่
เมื่อแกกลับมา ก็พบว่าห้องสอบอยู่ในสภาพเรียบร้อย ต่างกับเมื่อสักนาทีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
แผนการครั้งนี้คงเป็นความลับสำหรับมาสเซอร์ต่อไปหากเพื่อนผมคนหนึ่งมันนิ่งกว่านี้
ด้วยการที่มันยังอ่อนประสบการณ์ในการลอกหรืออย่างไรไม่ทราบ มันเสือกลืมคืนกระดาษคำตอบของเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังของมัน อารามว่ากำลังลอกติดพัน และคืนไม่ทันเมื่อมาสเซอร์กลับมา ในขณะที่ไอ้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังมัน ก็ใจเต้นตุ๊บตั๊บ เพราะทั้งโต๊ะมีแต่กระดาษคำถาม ไม่มีกระดาษคำตอบ เพราะมันเสือกไปอยู่ที่โต๊ะข้างหน้ามันเสียแล้ว ยังไงดีครับ
แกเล่นเดินตรวจ เดินดูทีและแถว เหมือนมีญาณหยั่งรู้อย่างไรไม่ทราบ
และพิรุธที่เพื่อนผมก่อไว้มันก็ไม่เล็ดรอดสายตาแกไปได้ แกมาหยุดอยู่ตรงหน้าไอ้หนุ่มเพื่อนผม คนที่บนโต๊ะมีกระดาษคำตอบสองแผ่น ก็ของเพื่อนคนข้างหลังมันนั่นแหล่ะแผ่นนึง ผมเข้าใจว่ามันพยายามจะซ่อน แต่ไม่เนียนพอที่จะตบตามาสเซอร์ผู้มากด้วยประสบการณ์
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก พร้อมกับพิรุธอื่นที่เห็นได้อย่างชัดเจน มาสเซอร์จึงยิงคำถามดั่งพนักงานสอบสวน ยิงคำถามใส่ไอ้หัวขโมยมือใหม่ ที่เพิ่งหัดปีนเข้าบ้านคนอื่นครั้งแรก
“เฮ้ย! นี่มึงเอามาจากไหนอีกแผ่นวะไอ้หนุ่ม”
พวกผมช่วยกันลุ้นคำตอบจากปากมัน แบบลืมหายใจ เพราะหากมันโดน มีรึว่าพวกผมจะรอด
ด้วยความตระหนก แกมประหม่าของมัน
แทนที่แม่งจะหาคำตอบอะไรไปก็ได้ เช่น อ๋อ เพื่อนทำตกแล้วปลิวมาครับ ผมกำลังจะคืน หรืออะไรก็ว่าไป
แม่งเสือกตอบว่า
“ผมลืมคืน”
ความเลยแตกซะเท่านั้น
แต่ด้วยความที่จับมือใครดมลำบาก และไอ้หนุ่มเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้า เอ๊ย ลูกศิษย์ สำนักกวดวิชาของเค้า (ทั้งๆที่แม่งก็เรียนกวดวิชากับมาสเซอร์ มันยังต้องมาลอกคนอื่นเค้า น่าคิดเรื่องคุณภาพของการกวดวิชาจริงๆครับ) เรื่องราวจึงจบลงแบบไม่มีใครเสียเลือดเสียเนื้อ..มีเพียงแค่การคาดโทษ และข่มขู่พอเป็นพิธี (แต่ไม่รู้ว่าการที่ผลสอบปลายภาคออกมา พวกผมตกกันครึ่งห้อง และหนึ่งในนั้นคือผมด้วย จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากน้อยแค่ไหน)
วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน
วันหน้าผมจะขุดคุ้ยเอาเรื่องราวทะโมนๆ ในรั้วแดงขาวของผม มาแผ่ให้ฟังกันอีกครับ
โดยครั้งหน้าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะเขียนเรื่อง “ฉี่กระด้างกระเดื่อง” ให้ฟังกันครับ
ขอกลับไปเปิดกล่องแห่งความทรงจำก่อน
6 Comments:
ทะโมนจริงๆค่ะ เราเดาว่าน้องต้องเป็นตัวเริ่มแน่ๆ ฮ่าๆ หัวหน้าแก๊ง!
ไว้มาเขียนเล่าอีกนะคะ สนุกดี ^^
11:10 PM
อ่า ตามมาอ่านครับผม พี่เขียนสนุกจริงๆ อ่านแล้วเห็นภาพชัดเลย
แต่ผมไม่ชอบอาจารย์ประเภทสอนพิเศษเด็กแบบนี้เลย จริงๆนะครับ
9:42 AM
น่านสิ หากินแบบนี้ไม่แฟร์เลย แล้วเด็กที่ไม่ได้ลงเรียนก็ไม่รู้ข้อสอบเนี่ยนะ ครูภาษาอะไรนี่ โดยส่วนตัวแล้วชอบครูแก่ๆมากกว่า เพราะถึงจะดุ และสอนน่าเบื่อยังไงก็ยังรู้สึกว่าท่านมีความเป็นครูมากกว่าครูสมัยใหม่นี่น่ะนะ
11:46 AM
ฮ่าๆ กำลังเพลินเลย รออ่านเรื่องต่อไปอยู่นะคะ ชื่อล่อแหลมดีจริง - -'
7:01 AM
จำเหตุการณ์นี้ไม่ได้ง่ะ แต่เราจำได้ว่าเราไม่เคยตกเคมีของลุงแกนะ
เคยไปลองเรียนโรงเรียนกวดวิชาของลุงด้วย(มีช่วงทดลองเรียนฟรีตอนต้นๆ แต่ถ้าไปลองเรียนแล้วหลบออกมาแบบไม่เนียนชื่ออาจจะติด black list ได้) โรงเรียนก็ ok นะ เรื่อยๆ แต่ค่าเรียนเนี่ย คลุมเครือมากๆ นั่งวิเคราะห์กันนานมากๆ กว่าจะสรุปได้ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ยังไง(หรือว่าเราโง่เองหว่า)แล้วสรุปได้ว่าแพงมากๆเลยไม่เรียนซะงั้น อิๆ
ที่จำไม่ลืมเลยคือ ฟิสิกส์ ตอนแรกสบายใจ ข้อสอบเป็นแบบ choice ลอกง่าย หมูแน่ๆ นั่งเยื้องด้านหลังซ้ายของเสี่ยเจียง เซียนฟิสิกส์อีกตะหาก หวานซ้า... แต่สงสัยสวรรค์ไม่อยากให้เราทำชั่ว(หรือนรกไม่อยากรับก็อาจเป็นได้) วันนั้นข้อสอบยากมาก(เสี่ยเจียงเผื่อแผ่ไม่ทัน) และอ.คุมเข้มมาก เลยเริ่มหมดหวัง เริ่มพึ่งตัวเองด้วยการโยนปากกาเดาคำตอบ ผลสรุปออกมา ดัน TOP ด้วยคะแนน 40 เต็ม 50 เหอๆ ถ้าเราตั้งใจคำนวณจริงๆ คงตกไปแล้วล่ะ อิๆ
ว่าแต่ว่าอ.ชาย(มาคนเดียว) ยังทำยอดขายหนังสือคณิตศาสตร์ของแกด้วยวิธีเดิมอยู่เปล่าหว่า สอบคณิตศาสตร์ยังไงหว่า ดูโจทย์ผ่าน แล้วรู้ว่าตอบ ก. ข. ค. หรือ ง. โดยไม่จำเป็นต้องรู้ตัวเลขใน choice ด้วย(ท่องจากแบบฝึกหัด+เฉลยในหนังสือแก) จบมาความจำดีกันทุกคน อิๆ
12:38 PM
ว่าแต่ว่ารำลึกความหลังนี่ เป็นนิสัยของคนแก่นะ อิๆ
12:41 PM
Post a Comment
<< Home