Saturday, January 06, 2007

blog tag ของ Ratio Scripta

ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะพิสมัยบรรดาจดหมายลูกโซ่ ทำนองพระครูธรรมโชติ มากนัก

ประเภท ถ้าขึ้นต้น หรือลงท้ายว่า “หากท่านอ่านจดหมายฉบับนี้จบแล้ว ให้ส่งต่อให้ญาติสนิท มิตรสหาย อีกสี่ส้าห้าคน มิฉะนั้นจะนอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ตับพิการ อาหารไม่ย่อย ลิ้นก็กร่อย ฟันก็ปวด แถมเป็นปรวดในกระเพาะ ลมหายใจเหม้นนน เหม็น เช้าเย็นอาเจียน” อะไรทำนองนี้

ถ้าเจออีหรอบนี้ขึ้นต้น ก็เป็นอันว่าเลิกอ่าน ถือว่ายังอ่านไม่จบ ไม่ต้องทำตามคำบังคับท้ายจดหมาย

ถ้าเจออีหรอบนี้ลงท้าย ก็เลิกอ่านมันตั้งแต่วินาทีนั้น ถือว่ายังอ่านไม่จบเช่นกัน เป็นอันสบายไป

ไม่นึกว่าจะมาพลาดตอนอายุยี่สิบกว่าๆ (ฮ่าๆ กว่ามานิดหน่อยเอง)

แถมยังเจอสองฉบับในเวลาใกล้เคียงกันอีกด้วย

ก็ถ้าลำพังมากันโต้งๆ แบบที่เคยเจอมา ผมก็คงไม่พลาดหรอกครับ

ดั๊นนนนน มาในรูปแบบใหม่ ไอ้เราก็ใสซื่อ

จากจดหมายลูกโซ่ ตามแบบฉบับของพระครูธรรมโชติ ดันแปลงร่างแปลงชื่อมาเป็น “blog tag” ซะงั้น ใครมันจะไปตั้งตัวถูก

ผู้น่ารักที่ส่งมาให้ผมสองฉบับสองคนก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ป้อง (ปกป้อง จันวิทย์ บรรณาธิการคนเก่งของ โอเพ่นออนไลน์นั่นแหล่ะครับ) อีกคนก็พี่หญิง (ยอดมนุษย์หญิง) ซึ่งทั้งสองคนก็โดนกันมาอีกทอดเหมือนกัน อยากอ่าน blog tag ของ ทั้งสองคน ก็จิ้มเอาเลย

เอาเป็นว่าผมต้องเขียนถึงตัวเองใน 5 ข้อ ตามกฎ กติกา และมารยาทของกลเกม blog tag หลายเรื่องผมเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันครับ กระทั่งมานั่งจิ้มแป้นอยู่นี่แหล่ะ

1. ผมเกิดมาในครอบครัวข้าราชการ ดังนั้นในวัยเด็กของผม ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ อาชีพที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือ “ตำรวจ” แบบฉบับของคุณพ่อและคุณแม่ ความฝันนี้ติดตัวผมตลอดเวลาวัยเด็ก กระทั่งถึงวัยเยาวชน (ไม่เกิน 18 ปี) ของผม

มันมาจางหายไป พร้อมกับการสอบ “เตรียมทหาร” ไม่ติด ในเวลาที่ผมมีอายุได้ 17 ปี

ถือเป็นความผิดหวังและเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตผมด้วย จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมต้องลงสนามเอนทรานซ์ สนามที่เด็กมัธยมเกือบทุกคนในประเทศนี้ต้องเผชิญ ซึ่งตอนนั้นไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเข้าสู่เส้นทางวิชาชีพใหม่ที่ผมต้องใช้เลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้

2. ผมเป็นคนเรียนรู้อะไรยาก และช้า รวมทั้งการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ก็มักเป็นปัญหาของผมเสมอๆ

หลายคนไม่เชื่อ เพราะจะติดภาพความเป็นคนช่างคุย สนุกสนาน ลามไปถึงตลกโปกฮาของผม ซึ่งนั่นก็เป็นตัวตนของผมจริงๆนั่นแหล่ะ ไม่ได้ตอแหล

แต่ในด้านของการเรียนรู้อะไรสักอย่าง ผมเชื่องช้ายิ่งนัก ผมต้องนั่ง นอน คลุกคลีอยู่กับมันเป็นเวลายาวนาน เริ่มนับตั้งแต่ 1 , 2 , 3 ... แล้วค่อยย้อนกลับมานับ 10 , 9 , 8 ... ใหม่ แล้วมาทบทวน 4, 5, 6 ... อีกสักครั้ง ลองงี้สักสี่ห้ารอบ ถึงจะเข้าใจ ในขณะที่ คนอื่น ใช้เวลากับมันแค่รอบเดียว หรือ เห็นแค่เพียงบางส่วนก็สามารถต่อภาพได้หมด แต่ไม่ใช่ผม

ฉะนั้น เวลาเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่ใหม่ รวมไปถึงยามที่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มักเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของผมเสมอ

3. ผมเป็นคนโชคดี เปล่านะครับ ผมไม่เคยได้รับทรัพย์ หรือลาภลอยจากการเสี่ยงโชคเลย (เท่าที่จำความได้) แต่ผมมักโชคดีเรื่อง “คน” หรือ “สัตว์สองเท้า” นี่แหล่ะ

ไม่ว่าผมจะไปใช้ชีวิตอยู่ ณ มุมใด ในแต่ละช่วงชีวิตของผม สิ่งที่ผมไม่เคยขาดแคลนเลยคือ “เพื่อน” ไม่ว่าจะวัยเดียวกันหรือต่างวัย

ผมมักเจอเพื่อนดีๆ พี่ดีๆ รวมไปถึงน้องนุ่ง (ปกติก็จะเห็นนุ่งตลอด ไม่เคยเจอตอนน้องไม่นุ่งนะ) ดีๆเสมอ และบางครั้งอาจรวมไปถึงผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือด้วยเช่นกัน

ไม่วายเว้นแม้กระทั่งอยู่บนโลกเสมือนจริงอย่างอินเตอร์เน็ต ผมก็ไม่ขาดแคลนเพื่อนและพี่ดีๆมากมาย (ยิ้มกันใหญ่ ... ล้อเล่นน่า)

เมื่อพระเจ้าสร้างจุดอ่อนให้ผมปรับตัวได้ยาก ท่านก็คงเห็นใจสร้างเพื่อนมาให้ผมในทุกที่ เผื่อจะทำให้อาการข้างต้นของผมทุเลาเบาบางลงได้ และดูเหมือนท่านจะคิดถูกทีเดียวแฮะ

4. ผมเป็นคนขี้โรค ตั้งแต่จำความได้ ผมเข้าออกโรงพยาบาลจนชาชิน มีหมอและพยาบาลเป็นญาติ มีห้องพักฟื้นเป็นห้องนอน มียาเป็นอาหาร มีสายระโยงระยางเป็นเครื่องประดับ แต่ผมไม่ใช่คนมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ปวกเปียกนะครับ ประเภทอะไรนิดอะไรหน่อยก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ผมเป็นพวกมีขาประจำครับ โรคประจำตัวนั่นแหล่ะ

ผมเป็นภูมิแพ้อากาศครับ หรือเราจะรู้จักกันดีในนามของโรคหอบ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ รู้จักคุณปอดบวมก่อน แล้วค่อยมารู้จักเพื่อนแท้อย่างคุณหอบ

หอบทำให้ผมใช้ชีวิตได้ต่างจากเด็กคนอื่นๆ โดยเฉพาะผมเป็นเด็กที่กินน้ำแข็งกับไอติมไม่ได้ (เรื่องใหญ่มากนะนั่น)

นอกจากแพ้อากาศแล้ว ผมยังแพ้อาหารบางชนิดด้วย

กุ้ง กับ ปู ครับ พระเจ้า อาหารสวรรค์ของใครหลายคน แต่มันคือซาตานสำหรับผม ทุกครั้งที่ผมเอามันเข้าปาก ผมจะมีอาการ “คัน” เริ่มจากบริเวณคอหอย ลามขึ้นเพดานปาก แล้วก็ออกหู แต่ไม่มีผื่นขึ้นหรือชักตาตั้งนะครับ

เมื่อก่อนอาการหนักครับ แค่ได้กลิ่นบางทีของก็ขึ้นแล้ว แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาแล้วครับ ประเภทเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงได้ครับ

เพื่อนๆจึงนึกถึงผม และชอบจริงๆที่จะชวนผมไปทานอาหารทะเลอยู่เสมอ ... เวร

5. ผมเป็นคนชอบกีฬา พระเจ้าใจดีเหมือนในข้อ 3 เมื่อประทานจุดอ่อนในเรื่องสุขภาพมาให้ผม ท่านคงเกรงว่า ผมจะมีชีวิตอยู่ดูโลกที่ท่านสร้างมากับมือไม่นาน เลยกรุณาสร้างให้ผมชอบกีฬาด้วย

โดยกีฬาสุดโปรดยอดนิยมของผม ก็คงคล้ายกับเด็กผู้ชายหลายคนบนโลกนี้ “ฟุตบอล” ครับ

กีฬาที่ผมใช้ต่อรองกับคุณหมอผู้มีพระคุณของผม ตอนแรกท่านเสนอให้ผม “ว่ายน้ำ” แต่ผมเกรงว่าผมจะไม่ตายเพราะหอบ จะตายเพราะจมน้ำนี่แหล่ะ เลยขอต่อรองเล่นบอลแทน ท่านก็ตัดรำคาญพยักหน้ารับ...เสร็จเรา

ฟุตบอลทำให้ผมได้เพื่อนมากมาย นอกจากได้เพื่อน ได้สุขภาพแล้ว ยังได้ตังค์เวลาทีมรักชนะด้วย (เฮ้ย ไม่ล่ะ ล้อเล่นน่า บอกแล้วว่าผมไร้วาสนาในการเสี่ยงโชคทั้งหลาย) เรื่องราวในความทรงจำของผม หลายเรื่อง เกิดขึ้นในสนามฟุตบอล (และพื้นที่ที่พวกผมติ๊งต่างว่าเป็นสนามฟุตบอล) เช่นเรื่องนี้

ยืดยาวเลยครับ

ว่าไป ก็หนุกดีเหมือนกันนะ ไอ้ blog tag เนี่ย ขอทำตามกติกาข้อสุดท้ายของเกม คือการส่งไม้ต่อให้พรรคพวก พี่น้อง อีก 5 ราย ดังต่อไปนี้ครับ

ไม่ได้อ่านเรื่องราวของมิ้มมานาน Carre de mim ไปเลย
แม้จะรู้เรื่องราวผ่านของพี่หลายเรื่องแล้ว แต่ขออีกหน สำหรับ พี่พล POL_US และ พี่โต Crazy Cloud
ต่อด้วยสาวน้อย (?) นักประวัติศาสตร์ในฐานะที่ผมชักชวนเธอมาเขียนบล็อกอีกคน sweet - nefertari
และ บล็อกเกอร์หน้าใหม่ ทนายหนุ่มกรุ้มกริ่ม อย่าง neo - humanism

ย้ำกันอีกครั้ง (หรือโปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง) เกมนี้ผมแค่ผู้ร่วมเล่น ไม่ได้ร่วมคิดแต่อย่างใด ฮาๆ

5 Comments:

Blogger sweetnefertari said...

โอ้โห...มามุขนี้

เดี๊ยวปั๊ด...แช่งด้วยโองการแช่งน้ำซะเลย 55(ใครอยากประดับความรู้ว่าแช่งว่ายังไง ก็หาอ่านเอาเองเน้อ ยาวจัดเลยทีเดียว เกรงว่าที่จะไม่พอเขียน แนะนำให้อ่านฉบับราชบัณฑิตยสถานนะ เพราะมีคำแปลพร้อมสรรพ)

เรารู้ว่าต้องคิดถึงเรา แต่ทีหลังเปลี่ยนเป็นเพลงยาวจะดีกว่านะจ๊ะ

สรุปว่าต้องเขียนด้วยใช้มั้ยเนี่ย อ่า ซวยแล้นตู...

12:31 PM

 
Anonymous Anonymous said...

เขียนไปแล้วแหละครับน้อง ...เลยมารายงานให้ทราบ ว่าง ๆ ก็เข้าไปอ่านเล่น ๆ ครับ

10:51 PM

 
Blogger Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน ผมขอถือโอกาสแนะนำบล้อกใหม่ที่น่าสนใจครับ นั้นคือ Centre of Franco-Thai Study โดยทุกท่านสามารถเข้าไปชมได้ที่ http://etudefrancothai.unblog.fr/ และจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านช่วยกันทำ link ไว้
เริ่มต้นผมต้องขอประชาสัมพันธ์เว้ปของศูนย์ไทยฝรั่งเศสศึกษาว่าเกิดขึ้นมาจากการรวมตัวของนักศีกษาไทยในฝรั่งเศสโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดสร้างศูนย์ศึกษาวิจัยและรวบรวมข้อมูลทางวิชาการในทุกสาขาวิชา และจัดตั้งห้องสมุดของศูนย์ไว้ที่วัดธรรมปทีป ปารีส โดยมีวัตถุประสงค์เป็นที่รวบรวม วิทยานิพนธ์ปริญญาโทและเอกของนักเรียนไทยที่ศึกษาอยู่ที่นี่ อีกทั้งจัดทำเอกสารเผยแพร่และรับบริจาคหนังสือต่างๆจากนักเรียนที่เรียนจบ
อนึ่ง ทางศูนย์จะมีการจัดสัมนาทางวิชาการทุกๆรายสองเดือนโดยจะกำหนดหัวข้อเรื่องไว้ในบล้อกให้แก่ผู้ที่สนใจที่จะมาเข้าฟังและแสดงความคิดเห็นโดยหัวข้อเบื้องต้นดังนี้
ครั้งที่ ๑ กระบวนการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย
ครั้งที่ ๒ บทบาทของทหารกับการเมืองไทย
ครั้งที่ ๓ ดร.ปรีดีกับกฎหมายมหาชนไทย
ครั้งที่ ๔ การวิจารณ์วรรณกรรมเรื่อง รุกสยามในนามของพระเจ้า และวรรณกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ ขอความกรุณาทุกท่านช่วยกันดังนี้ครับ
· ใครที่มีบล้อกหรือเว้ปของตนเองช่วยกันเขียนบทความประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรายละเอียดของศูนย์และทำ linkไปยังบล้อกของศูนย์ด้วย และขอความกรุณาเพื่อนที่มีบล้อกช่วยประชาสัมพันธ์ต่อต่อไป
· ในกรณีที่สามารถประชาสัมพันธืผ่านอีเมลย์ไปยังเพื่อนๆทั้งชาวไทยและต่างชาติได้ ก็จะเป็นวิธีการง่ายที่จะทำให้คนทั่วไปรู้ว่ามีการเกิดขึ้นของศูนย์ไทยฝรั่งเศสศึกษาแล้ว

6:10 AM

 
Anonymous Anonymous said...

ว้าว..มิน่าละ ยุเราอัพบล๊อกน่าดู
เมื่อต้องเป็นคนดี เราก็จะจัดให้จ๊ะ
...
ห้าข้อของเรา มีดังนี้
...
1.เราจะไม่กินอาหารกับอุปกรณ์ที่ไม่เข้ากัน

อธิบายได้ว่า เราจะไม่กินข้าวต้ม หรือแกงจืดกับช้อนเสตนเลส ไม่กินก๋วยเตี๋ยวกับช้อนส้อม ไม่กินเบียร์กับแก้วกาแฟ ไม่กินกาแฟกับแก้วน้ำธรรมดา ไม่กินไวน์กับแก้วว้อดก้า

เราจะกินอาหารฝรั่งกับมีดส้อมเท่านั้น แม้ในจานนั้นจะมีข้าวผัดเนย เราก็จะพยายามกินมันกับส้อมให้ได้ ซึ่งยากมาก แต่คนเรื่องมากอย่างเราก็ต้องทำให้ได้
(ประหลาด)

2.เราจะกินอาหารที่เป็นชุดเดียวกัน

อธิบายได้ว่า เราจะกิน "อาหารอีสาน" แปลว่าเราจะไม่กินกับข้าวสวย แต่จะกินข้าวเหนียว และจะเซ็งมาก เวลาใครสั่งไข่เจียวหรือกับข้าวสวยมากินกับเซทลาบ น้ำตก ตับหวาน ส้มตำ และไก่ย่างของเรา (แต่ก็กินต่อได้นะ ของอร่อย ไม่กินได้ไง)

หรือถ้าเราจะกินอาหารไทย เราก็จะกินขนมไทยเป็นการตบท้าย เพราะเราคิดว่าลิ้นของเราคงงงที่มันต้องกินขนมเค้กภายหลังกินผัดกระเพรา สู้กินบัวลอยเผือก หรือลิ้นจี่ลอยแก้วก็ไม่ได้

3.เราไม่กินขนมหวานกับเครื่องดิ่มหวาน ไม่กินไอติมกับเครื่องดื่มอื่นนอกจากน้ำเปล่า

อธิบายได้ว่า เราจะไม่กินอะไรหวานซ้ำซาก เพราะกินหนมเค้กไปแล้ว ทำไมจะต้องกินน้ำแตงโมปั่นเข้าไปอีก หวานซ้ำซาก สู้กินกับชาร้อนก็ไม่ได้ หรือถ้าไม่มีชาร้อนหรือเครื่องดื่มจืดให้กิน เราขอกินน้ำเปล่าดีกว่า

ส่วนเรื่องไอติม..เรารู้สึกว่า การกินเครื่องดื่มร้อนกับไอติม ทำให้ไอติมที่เรากินไปไปละลายในท้องไวกว่ากำหนด ส่วนการกินไอติมกับน้ำอัดลมเป็นอะไรที่ลมขึ้นมากสำหรับเรา น่ากลั๊ว น่ากลัว

4.เรากินโยเกิร์ตกับช้อนพลาสติกเท่านั้น

เรื่องก็มีอยู่ว่า โยเกิร์ตที่ฝรั่งเศสนี่มันจะไม่มีช้อนให้เหมือนที่เมืองไทย
พอเรากินโยเกิร์ตกับช้อนธรรมดา (สเตนเลส) เราพบว่าเรากินเหล็กเข้าไปด้วย มันเย็นๆ แปลกๆ กลัวๆ

เราเลยแก้ปัญหาด้วยการไม่ซื้อมากิน แล้วก็เอาช้อนพลาสติกที่ดัชชี่แจกมาให้ตอนเราซื้อโยเกิร์ตเค้ากลับมาฝรั่งเศสด้วย

ตอนนี้เราก็เลยมีช้อนพลาสติกไว้กินโยเกิร์ตแล้ว อร่อยขึ้นเป็นกอง

5.เราจะต้องมีของชนิดเดียวกัน แต่คนละสีกลิ่นรสไว้เลือกเสมอ

ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงและการตัดสินใจเป็นเรื่องสนุก

ในห้องน้ำของเราก็เลยมีครีมอาบน้ำสี่กลิ่น เอาไว้เลือกตามอารมณ์ กลิ่นวานิลลา ไว้ตอนที่เราอยากจะหอมนุ่มนวล กลิ่นลาเวนเดอร์ตอนที่เรารู้สึกเหนือย กลิ่นใบส้มตอนที่เรารู้สึกพิเศษ กลิ่นเชอรร์ตอนที่เรารู้สึกดี (เพราะเราไม่ชอบมันเท่าไหร่ กลิ่นเชอรี่นี่ แต่ต้องกำจัดมันออกไปให้ได้ เราเลยต้องใช้มันตอนเราอารมณ์ดีๆ)

ในกล่องดินสอของเราก็ต้องมีปากกา hi-light สี่ห้าสี เอาไว้สลับสีกันตอนขีด ไม่งั้นเราจะเบื่อ

แก้วเราก็มีสองชุด แก้วก้านเอาไว้ทำหรู กับแก้วธรรมดาเอาไว้ตอนอยากธรรมดา

จานก็มีสองชุด แบบสีๆเอาไว้ทำสีสัน กับแบบขาวๆ เอาไว้ทำคลาสสิค

พิมพ์ตอบต้องแล้วก็พบว่าเราเรื่องมากแถมประหลาดจัง

วะฮ่า

ได้รับโปสการ์ดแล้ว ขอบคุณจ๊ะ ดีจิตมากเลย

1:44 PM

 
Anonymous Anonymous said...

ต้อง
ไวท์ก็มาเล่นกับเราแหละ เราก็เลยเขียนไปให้ไวท์อีกห้าข้อ
มาบอก เผื่อต้องอยากจะอ่านจ๊ะ

3:04 AM

 

Post a Comment

<< Home