Tuesday, September 20, 2005

คนตรวจเงินแผ่นดินนี่ทำได้ทุกอย่าง


ไม่ได้อัพบล็อกซะหลายวัน จนสนิมเริ่มเกาะกินนิ้วมือเสียแล้ว


และคาดว่าหากปล่อยไว้เนิ่นช้ากว่านี้ ผมอาจจะมีอาการอัมพาตกินนิ้ว เหมือนดั่งที่เพื่อนผม นายนิติรัฐกำลังประสบอยู่


ซึ่งคาดว่ากว่าอาการทุเลาคงต้องใช้เวลา และการเรื้อสนามไปนานๆ อาจจะนำมาซึ่งความขี้เกียจ พ่วงด้วยการขาดหายไปของความรับผิดชอบด้วย


ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้อาการดังกล่าวกำเริบขึ้น ผมจึงบีบบังคับนิ้วมือทั้งสิบของตัวเอง ให้กระดึ๊บๆ มาเคาะแป้น อัพเดทบล็อกของผมในวันนี้


ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา สำนักงานของผมแทบไม่เป็นอันทำงาน ไม่ใช่กังวลเรื่องเจ้านายคนใหม่ ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะทุกคนกำลังใจจดจ่ออยู่กับ “มหกรรมแข่งกีฬาส.ต.ง.สัมพันธ์ ครั้งที่ 1 เนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปี สำนักงาน (การ) ตรวจเงินแผ่นดิน”


ลำพังเพียงแต่การแข่งกีฬาคงไม่ทำให้บรรยากาศในสำนักงานผมคึกคักเยี่ยงนี้หรอกครับ แต่เพราะมันสร้างกิจกรรมข้างเคียงขึ้นมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การซักซ้อมของ “เชียร์ลีดเดอร์” ที่ผมไม่เชื่อว่า เค้าจะจริงจังกันเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา - ธรรมศาสตร์ ซะขนาดนั้น มีการตัดเตรียมชุดกันอย่างอลังการ ซ้อมเชียร์กันทุกเย็น วันละสองสามชั่วโมง รวมทั้งเสาร์ – อาทิตย์ ด้วยอีกต่างหาก


ไม่ต่างจากบรรดานักกีฬาของแต่ละสี (แห่ะๆ งานนี้แบ่งออกเป็นห้าสีครับ ม่วง แดง ส้ม ฟ้า และเขียว…ผมอยู่ สีส้ม ครับ) ที่ต่างฟิตซ้อม กันอย่างเอาจริงเอาจัง ในทุกประเภทกีฬา เห็นแล้วให้หวนถึงบรรยากาศสมัยนุ่งขาสั้น ที่จะมีการจัดการแข่งขันกีฬาสีประจำในทุกๆปี


กีฬาที่จัดแข่งขันในครั้งนี้ มีทั้งกีฬาสากล เช่น ฟุตซอล ปิงปอง แบดมินตัน รวมไปถึง สนุ้กเกอร์ และแชร์บอล ด้วยและบรรดากึ่งเกมส์มหาสนุกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชักคะเย่อ วิ่งวิบาก วิ่งสามขา ฯลฯ ทั้งหลายแหล่


ส่วนตัวผม มีชื่อเป็นนักกีฬาอยู่ในสามประเภทครับ สนุ้กเกอร์ ปิงปอง และฟุตซอล


สนุ้กเกอร์เป็นกีฬาที่แข่งขันวันเดียวจบ และแข่งไปก่อนตั้งแต่ต้นเดือนแล้วครับ ผลเหรอครับ


ก็เล่นซ้อมกับนิติรัฐเกือบทุกเย็น…


ได้ที่สี่ครับ


จากห้า….


…………………………………………..



และไอ้ที่สี่เนี่ย ได้มาตั้งแต่จับสลากแล้วด้วยครับ เพราะมีห้าทีมใช่มั๊ยครับ แบ่งเป็นสองสาย สายแรกมีสามทีม สายที่สองมีสองทีม ไอ้สีผมมันอยู่สายที่มีสองทีม ยังไงเสียมันก็ไม่มีทางที่จะได้ที่ห้าได้อยู่แล้ว เพราะมันเข้ารอบตัดเชือกไปโดยอัตโนมัติ ก็แค่แข่งรอบแรกแก้บนหาที่หนึ่งที่สองของสายเท่านั้นแหล่ะ


ถ้าทะลึ่งไปอยู่สายสามทีม อาจจะมีที่บ๊วยได้

บรรยากาศในวันแข่งขันสนุ้กเกอร์ บอกได้คำเดียวครับว่า…โคตรมันส์


ใครเคยเห็นการเชียร์ในคูซิเบิล เธียร์เตอร์ ในการแข่งขันสนุ้กเกอร์ชิงแชมป์โลกแล้วล่ะก็
จงลืมมันไปซะ


แล้วให้มโนภาพบรรยากาศการเชียร์ หลับสนิท ศิษย์หามลง ประเคนแข้งใส่ งอ แง ลูกเจ้าแม่มเหสัก ณ เวทีมวยลุมพินีแทน


ทั้งเหล้า ยา ปลาปิ้ง ประเคนเสิร์ฟกันอย่างไม่จำกัด เชียร์ไป ลุ้นไป ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หัวใจจะวาย ทั้งนักกีฬา และกองเชียร์ กองแช่งทั้งหลาย


สนุกกระทั่ง กรรมการตรวจเงินแผ่นดินท่านหนึ่งที่ลงแข่งขันในนามทีมสีแดงด้วย ถึงกับรับปากว่า ไม่ต้องรอถึงอีก 90 ปีหน้าหรอก ผมกะว่าจะจัดแม่งทุกปี” ไม่รู้ว่าเพราะทีมท่านชนะได้เหรียญทองหรือเปล่า ท่านถึงว่าอย่างนั้น (ฮา)


เย็นวันนั้นเราก็ไปเลี้ยงฉลองที่สี่กัน อย่างอิ่มหมีพลีมัน ณ ร้านบ้านร่มไม้ ไกลจากสำนักงานผมไม่เกินสองกิโล…


จากนั้นบรรยากาศแห่งการแข่งขันกีฬาก็เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะ อีกสองประเภทที่ผมต้องลงแข่งด้วย


ผมเริ่มซ้อมปิงปองจริงจัง ทุกเย็นหลังเลิกงาน (ช่วงอาทิตย์สุดท้ายของการแข่ง เราขอเจ้านายเลื่อนมาซ้อมกันตั้งแต่บ่ายสอง ยันทุ่มสองทุ่ม และวันเสาร์ทั้งวันด้วยอีกต่างหาก เล่นเอาปีกแทบงอก)


พิเศษกว่านั้น ทุกวันอังคาร และพฤหัส ผมกับน้องที่เล่นคู่กัน ต้องปลีกไปซ้อมฟุตซอล ก่อนสักชั่วโมง แล้วค่อยวิ่งรอกมาต่อปิงปองด้วยอีกต่างหาก


เล่นเอาน้ำหนักลดไป 5 กิโลแล้วครับ…(โอ้ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้)


และแล้ววันแข่งขันปิงปองกีฬาโปรดของผมก็ได้เริ่มขึ้น ซึ่งใช้เวลาแข่งขันทั้งรอบแรก รอบรอง และรอบชิงชนะเลิศในเวลาสองวัน


ซึ่งบรรลัยครับ เพราะฟุตซอลก็มีโปรแกรมต้องลงแข่งในวันและเวลาดังกล่าวเช่นกัน แต่ด้วยความที่ทีมฟุตซอลมีพี่ๆนักกีฬาจากสำนักงานภูมิภาคมาช่วย ผมจึงสามารถอยู่ตีปิงปองได้ทุกนัดในรอบแรก


สีผมผ่านรอบแรกมาได้ ด้วยความไม่ยากเย็นนัก แต่เมื่อเข้ารอบรองชนะเลิศต้องเจอกับสีแดงที่จะว่าไปก็คุ้นเคยกันมา เพราะช่วงหลังนี่ซ้อมด้วยกันประจำ ผลัดแพ้ชนะกันมาตลอด


วันนั้นตีไม่ดีจริงๆครับ ประกอบกับทีมคู่แข่งตีชัวร์กว่าด้วย เป็นอันแพ้ไป แต่โชคดีที่ อีกสองคู่ทีมผมชนะรวด เอาเป็นว่า ทีมผมเข้าชิงชนะเลิศเพราะคนแก่ กับผู้หญิงจริงๆ (ประเภทหญิงคู่ และคู่ผสม ที่มีคนทักว่า “เฮ้ย ปิงปองนี่มันมีประเภทคู่อาวุโสด้วยเหรอวะ” เล่นเอาเจ้านายผมที่ลงประเภทนี้ค้อนประหลับประเหลือก)


นัดชิงทีมผมต้องเจอกับสีม่วง ซึ่งมีมือดีๆอยู่ในทีมพอสมควร ระดับนักกีฬาตัวแทนสำนักงานเก่ากันทั้งนั้น ประหวั่นเล็กน้อย


แต่ถึงเวลาแข่งจริงกลับผ่อนคลายครับ เพราะแพ้ก็ไม่เสียอะไร มือเค้าเหนือกว่า
และก็ตามคาดครับ


คราวนี้แพ้ขาดลอยเลย สามเซ็ตรวด


แต่ผมกลับรู้สึกว่า การแข่งแมตซ์นั้น ผมตีได้ดีที่สุดและผ่อนคลายที่สุด แม้ว่าจะไม่มีลูกง่ายให้เล่นเลยก็ตามที


ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับ ผู้หญิงและคนแก่อีกครั้งครับ (ฮา)


ผมเชื่อว่ามีลุ้นล่ะ เพราะหญิงคู่ทีมผมนั้น “ของเค้าดีจริงๆค่ะ” ส่วนคู่ผสมนั่น วัดกันวินาทีสุดท้าย ปลายจมูกแน่ๆครับ


ตามคาด หญิงคู่ทีมผมชนะไปสามเซ็ตรวด คราวนี้ได้เวลาปลุกของมาเล่นกันแล้วครับ เพราะทั้งสองสี ต้องลุ้นกันที่คู่ผสม ซึ่งน่าจะกินกันลำบาก เรียกได้ว่าจังหวะใคร จังหวะมัน


แต่วันนั้น ท่าทางจะพระเจ้าจะใส่เสื้อสีม่วง และใช้ผ้าเช็ดเท้าสีส้ม


ลูกเสิร์ฟที่โคตรพิสดาร ของเจ้านายผมกลับไม่ค่อยทำงาน รวมถึงลูกท๊อปสปินโฟร์แฮนด์ที่เหนือชั้น กลับมุ่งหน้าลงพื้นมากกว่าโต๊ะที่ใช้แข่งขัน


ประกอบกับผู้หญิงฝั่งโน้นที่ปกติสั่นเป็นเจ้าเข้ายามลงแข่ง กลับนิ่งเหลือเชื่อ (ไม่แน่ว่าเป็นเพราะการส่งซิก ที่เต็มไปด้วยแทคติค ของกองเชียร์สีม่วง ในยามที่เจ้านายผมให้อาณัติสัญญาณแก่บัดดี้ก่อนเสิร์ฟจะมีส่วนด้วยหรือไม่)


เป็นอันสลบครับ


ทีมคู่ผสมของสีผม แพ้ไป สามต่อหนึ่งเซ็ต


ได้เพียงเหรียญเงิน


แม้จะสร้างความผิดหวังสำหรับใครหลายคนในทีม แต่สำหรับผมกลับไม่ ตรงกันข้าม ความภูมิใจในเหรียญรางวัลสีเงินนั้นคับอก เพราะนับแต่ผมจับไม้ปิงปองมา นี่คือการแข่งขันที่เป็นทางการทัวร์นาเมนต์แรกของผม (ก่อนหน้านั้น เล่นดีดมะกอกกันเฉยๆ) ซึ่งย่อมหมายถึงนี่คือเหรียญรางวัลจากการแข่งขันตีลูกเซลลูลอยด์ เหรียญแรกในชีวิตของผมเลยทีเดียว


หยอกซะเมื่อไหร่ล่ะ แข่งครั้งแรกได้เหรียญเงินเนี่ย


และก็ตามพิธี หลังแข่งเสร็จเราก็ไปฉลองเหรียญเงินกันที่ร้านร่มไม้ สถานที่แห่งเดิม


เมื่อเสร็จสิ้นจากการแข่งขันปิงปองแล้ว ถนนทุกสายก็มุ่งตรงสู่ ยิมเนเซี่ยมในบริเวณกรมสวัสดิการทหารอากาศ สถานที่ที่เราใช้แข่งกีฬาในวันปิดการแข่งขัน (เสาร์ที่ 17 ที่ผ่านมานี้เองครับ) ซึ่งนัดชิงชนะเลิศฟุตซอลรวมอยู่ในสูจิบัตรด้วย (รอบที่ผ่านๆมา ทั้งรอบแรก และรอบรองชนะเลิศ ผมไม่ได้ลงสัมผัสลูกกลมๆชนิดนี้เลยสักวินาทีเดียว เนื่องจากโปรแกรมการแข่งขันทับซ้อนกับปิงปองตลอด…อันนี้เรียกฝากความหวังไว้กับเพื่อนแท้ๆเลยครับ ในการได้เข้าชิงเนี่ย)


บรรยากาศในวันนั้น สนุกสนานมาก ด้วยจำนวนกองเชียร์แต่ละสีที่หนาตา การประกวดกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์ รวมทั้งเกมส์กีฬามหาสนุกคั่นระหว่างการแข่งขันกีฬาหลักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการชักคะเย่อ ที่ไม่รู้ว่าสภาพเชือกที่เปื่อยยุ่ย หรือแรงพละกำลังอันมหาศาลของนักกีฬาทั้งสองฝ่าย เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดกรรมการ และสองทีมต่างงัดพลังลมปราณกระชากเชือกกันสุดแรง พลัน เชือกล่ามควายหนากว่าสามนิ้ว ได้สะบัดขาดสะบั้นลง เล่นเอานักกีฬาทั้งสองฝ่าย ก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้น เรียกเสียงโห่ฮาจากบรรดากองเชียร์ได้สนั่นหวั่นไหว


ร้อนต้อง แงะเอาวิชาผูกเงื่อนทั้งหลายตอนเรียนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่มาแก้ไขกันพัลวัน
ไฮไลท์ของงานวันนั้น นอกจากการชิงชนะเลิศฟุตซอลซึ่งถือเป็นเหรียญสุดท้ายของงานแล้ว ยังมีการแข่งขันกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์ทั้งหลาย


ให้ตายเถอะโรบิ้น ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต ให้ระเบิดเถอะโรบินสัน


ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ อีกหลังจากที่ก้าวพ้นรั้วมหาวิทยาลัยมาแล้ว


บรรยากาศของการแหกปากร้องเพลงเชียร์ การแปรอักษรเล็กๆ การละเล่นบนสแตนเชียร์ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเกิดจากความพยายามของพี่ๆที่มีอายุนำด้วยเลขไม่ต่ำกว่าสี่


ด้านเชียร์ลีดเดอร์ แต่ละสี ก็ประชันกันอย่าง ไม่มีใครยอมใคร


สีผมได้แสดงเป็นสีสุดท้าย ซึ่งแรกๆผมก็รู้สึกหนักใจแทน เพราะเห็นสี่สีก่อนหน้านั้น เค้าสุดอลังการกันมาก ทั้งท่าเต้น ลูกเล่น เครื่องแต่งกาย สารพัด ดูเป็นมืออาชีพจริง จนหลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า วันๆทำงานทำการกันบ้างหรือเปล่าวะเนี่ย


แต่พอการแสดงของสีผมผ่านพ้นไป…


ด้วยจิตเที่ยงธรรมอันเป็นจตุรัส ตั้งอยู่ในญาณอุเบกขา ปราศจากอคติทั้งสี่ประการแล้ว ผมเห็นว่า…


สีผมเนี่ยแหล่ะ สุดยอด จากการที่ไม่เคยเห็นทีมตัวเองซ้อมมาก่อน วันนั้นจึงเป็นวันแรกที่ผมเห็นการแสดงของเชียร์ลีดเดอร์ของผมอย่างเป็นทางการ เต็มเวอร์ชั่น


เซอร์ไพร์ซครับ ยอดจริงๆ มีทั้งการ “จับเหวี่ยง” และ “ต่อตัว” แม้จะไม่เจ็ดแปดชั้น เหมือนเชิดสิงโตงานเจ้าแม่ไทรทอง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการ “ซ้อมหนัก” และ “สมาธิ” ที่เยี่ยมยอด ของพี่ๆน้องๆ (ซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่ในทีมมาจากสำนักงานกฎหมายต้นสังกัดผมทั้งนั้นแหล่ะครับ รวมทั้งเทรนเนอร์ผู้ออกแบบท่าเต้น ออกแบบชุด และควบคุมการผลิตด้วยอุปกรณ์การเชียร์ต่างๆด้วย)


แม้ผลการประกวดทีมผมจะได้เพียงที่สาม


แต่จากการวัดเสียงผู้ชมรอบสนาม รวมทั้งการพูดคุยกันนอกรอบแล้ว


สรุปได้ว่า ได้ใจคนดูไปเต็มๆครับ


เสร็จจากการลุ้นประกวดกองเชียร์ไปอย่างใจหายใจคว่ำแล้ว ก็ถึงไฮไลท์สำคัญของงาน นั่นคือการแข่งขันฟุตซอลชิงเหรียญทอง ซึ่งเป็นเหรียญสุดท้ายของงานนี้ อันเป็นการแข่งขันระหว่าง สีส้ม และสีแดง


สีแดงก็ไม่ใช่คนอื่นไกล หลายๆคนก็ร่วมซ้อมกับสีผมมาเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งอีหรอบเดิมครับ ทีมผมชนะซะเป็นส่วนใหญ่


คำพระท่านว่า “ความประมาท เป็นหนทางไปสู่ความตาย”


นี่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นหลักฐานที่ดีของการมีอยู่ซึ่งคำพระประโยคข้างต้น


คำว่า “มั่นใจ” เกินไป กับ “ประมาท” นั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นฝาแฝดกันอย่างที่แยกกันออกได้ยากยิ่ง อาจจะมีเพียงผมคนเดียวในทีมที่มีลางสัง..บรู๊ววววววว ว่างานนี้มีหิน


เพราะลางร้ายมันตั้งเค้ามาตั้งแต่การลงทีมซ้อมกันครั้งล่าสุด ที่สีแดงยัดเยียดความปราชัยให้สีส้มของผม อย่างขาดลอย พร้อมกับแสดงให้เห็นถึง “อะไรบางอย่าง” การรุกเข้าทำทางปีก การออกบอลที่แม่นยำของผู้เล่นหัวใจของทีมที่คล้ายคลึงกับ “ซาบี อลอนโซ่” กองกลางมาดละเมียดแห่งทีม “กระเด้าลมแดง” ของเกาะอังกฤษ


เป็นครั้งแรกตั้งแต่วิ่งไล่ลูกกลมๆมาที่ผมเริ่มต้นที่ม้านั่งสำรอง


แรกก็คิดว่า เป็นเพราะตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์มา ผมยังไม่เคยได้ลงรับใช้ทีมเลย เนื่องจากติดภารกิจในการแข่งขันปิงปอง ที่เวลาทับซ้อนกันอย่างพอดิบพอดี ประกอบกับ พี่ๆทางภาคเค้าได้ลงเล่นในรอบแรกและทำผลงานได้ดี ก็ควรต้องให้เค้าลงต่อเนื่องตามมารยาท และทีมผมดันมีผู้จัดการทีม (ไม่ได้) รับเชิญมาจากต่างจังหวัดอีก ทำให้อำนาจการจัดทีมไม่ได้อยู่ที่พวกผมเหมือนเคย


เราเริ่มเกมส์กันได้ดี ทีมผมยิงประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว ถึงสองประตู ทำให้เหรียญทองรองเรืองเปล่งแสงอยู่ข้างหน้ารำไร


แต่ลางร้ายก็เริ่มบังเกิด เพราะก่อนหมดเวลาครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที การจ่ายบอลผิดพลาดหน้าประตูตัวเองของทีมผม ก็ส่งส้มไปหล่นอยู่ ณ ปลายเกือกของฝ่ายตรงข้าม


ตูมเดียวเป็นประตู ตามตีตื้นเป็น สองประตูต่อหนึ่ง


ระหว่างพักครึ่ง เรายังมองโลกในแง่ดี และยังมีกำลังใจคึกคักที่จะลงไปถลุงให้เด็ดขาดด้วยการยิงตุนอีกสักสองสามลูก พร้อมกับความหวังของผมที่จะลงไปวาดลวดลายบ้าง หลังจากจับเจ่าอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามมาทั้งครึ่งแล้ว


เริ่มเกมส์ครึ่งหลังเพียงไม่กี่นาที ฟ้าผ่ากลางยิมเนเซี่ยม เมื่อสีแดงได้ประตูตีเสมอ ด้วยการยิงเต็มข้อสุดสวย…ใจเริ่มเสีย…สิ่งที่สังหรณ์ไว้กำลังเกิด


เกมส์รุกเริ่มตื้อ ประกอบกับเกมส์สวนกลับเร็วของฝ่ายตรงข้ามเริ่มแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพทีละเล็กละน้อย


ความผิดพลาดอีกครั้งจากผู้รักษาประตูทีมผมที่รับเปิดยาวกระฉอกทำให้ทีมตกเป็นฝ่ายตามเป็นครั้งแรกของเกมส์ด้วยสกอร์สองประตูต่อสาม


การต่อบอลเริ่มสะเปะสะปะ พร้อมกับการนั่งตูดด้านบนม้านั่งสำรองของผมอยู่เช่นเดิม


พลันผมกระโดดตัวลอยวิ่งดีใจเสียเหงื่อไปหลายเม็ด เมื่อฝ่ายตรงข้ามทำบอลออกข้าง และเพื่อนร่วมทีมผมจับบอลเล่นแล้วคิกอินจังหวะเดียวส่งบอลเสียบตาข่าย


ดีใจเก้อครับ


ลูกออกข้างมันต้องส่งบอลสองจังหวะ ไม่สามารถเล่นจังหวะเดียวแล้วเป็นประตูได้


ก่อนที่น้องรักจะยิงชนเสาและชนคาน แถมประตูทีมโน่นผีเข้าเซฟอุตลุด


ระหว่างบุกเพลินๆ เกมส์โต้กลับของสีแดงก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง หลังจากได้ลูกโทษบริเวณห่างไกลประตูเยื้องไปทางขวามือ ลูกเปิดเข้ากลางทำท่าไม่มีอะไร เล็ดลอดผู้เล่นทั้งสองทีมคนแล้วคนเล่า จนทำท่าจะพุ่งออกหลังไปอย่างไม่น่าห่วง พลัน มีตีนข้างหนึ่ง แหย่ไปเปลี่ยนทิศการวิ่งของลูก กระโดนเสียบตาข่าย สร้างความตะลึง ตะลึง ตะลึง ตึ๊ง ตึง ตึง ตึ่ง ให้กับผมและทีมอย่างบอกไม่ถูกเหมือนชะโดโดนทุบเข้าที่กบาลด้วยไม้ตีพริกอันเขื่อง


สองต่อสี่


เหลืออีกสามนาที


จบกัน


ทีมผมได้เหรียญเงิน ซึ่งถือเป็นเหรียญสีเงินเหรียญที่สองของผมในการแข่งกีฬา ส.ต.ง. สัมพันธ์ครั้งแรกนี้ แต่เหรียญนี้ไม่ยักกะมีกลิ่นเหงื่อของผมเลย ไม่เหมือนเหรียญแรกที่ฉุนกึก


เป็นการแข่งฟุตซอล (หมายรวมถึงฟุตบอลด้วย) ที่ผมเสียเหงื่อน้อยที่สุด (สักสองสามหยดยามวอร์มร่างกาย) แต่กลับภูมิใจน้อยที่สุด ในนาม “สำรองไม่ได้ใช้” แต่เอาเถอะผมเชื่อว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคนพยายามกันอย่างเต็มที่แล้ว และแท้จริงแล้ว กีฬาให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด


หลังจบเกมส์พิธีปิดก็เริ่มขึ้น การร่วมจับมือกันคล้องเป็นวงร้องเพลงสามัคคีชุมนุมของเหล่านักกีฬา และบรรดากองเชียร์ สร้างบรรยากาศชื่นมื่นได้มากมายนัก


ร้องเพลงเสร็จ บรรดาคนตรวจเงินแผ่นดินก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่หอประชุมนภากาศ บริเวณ โรงเรียนนายเรือ เพื่อร่วมงานสังสรรค์ตอนกลางคืน อันมีการแสดงหฤหรรษ์ (แต่ไม่มีบทอัศจรรย์) บนเวทีมากมาย ก่อนจะเลิกราและแยกย้ายกับกลับนิวาสถานในราวสี่ทุ่ม


จากมหกรรมครั้งนี้ทำให้ผมทราบว่า…


คน ส.ต.ง. นี่บ้ากิจกรรมชิหาย พอๆกับบ้ากีฬา หลายคนรอแค่โอกาสที่จะแสดงฝีมือเท่านั้น หลายคนเล่นกีฬาได้ดีจนผมประหลาดใจทีเดียว


ผมได้รู้จักเพื่อนร่วมงานอีกมากมายจากการแข่งกีฬา พี่ น้องๆ เพื่อนๆที่น่ารัก มีน้ำใจเป็นนักกีฬาอย่างเต็มเปี่ยม เรียกได้ว่าในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ผมได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ทำงานอยู่ตึกเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ยังไม่เคยเดินเจอกันเลย หรือไม่ก็เพียงผ่านแล้วจากไปเท่านั้น


ผมเชื่อจริงๆครับ ว่ากีฬาสร้างความสามัคคีจริงๆ


และผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับทราบมาว่า จากความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้ บรรดาผู้บริหารทั้งหลาย มีดำริที่จะจัดการแข่งขันทำนองนี้อีก โดยไม่จำเป็นต้องรอโอกาสในการครบรอบปีไหนๆอีกแล้ว แต่จะจัดเป็นประเพณีทุกๆปี


นอกจากนั้นงานนี้ยังทำให้บรรดาชมรมกีฬาทั้งหลายที่ปิดตัวไป ต่างงัวเงีย โงหัวเพื่อฟื้นฟูใหม่ในเร็ววัน รวมทั้งชมรมกีฬาใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น อีกมากมายด้วย


นอกจากกีฬาจะเป็นยาวิเศษแล้ว ยังเป็นยาบำรุงสร้าง “ชีวิตชีวา” ให้กับคนตรวจเงินแผ่นดินอย่างพวกผมได้อย่างจับใจจริงๆ


หน้าตาสองเหรียญเงินของผมครับ

Monday, September 05, 2005

การเดินทางที่ไม่ธรรมดาของผม

วันนี้ขอยืมหัวเรื่องคอลัมน์ของอาทิตย์หนุ่มเซอ (คนที่ผมรู้สึกชื่นชอบในวิธีคิด และแผนการในอนาคตของเค้าจริงๆ หลังจากการพบปะและพูดคุยในงาน meet the bloggers ที่ผ่านมา) สักกะหน่อย

ชีวิตการเดินทางประจำวันของผมก็คงเหมือนใครหลายคนที่ต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนเป็นหลัก ผมคุ้นเคยรถเมล์ ตั้งแต่ราวอายุสิบสี่สิบห้า ก่อนหน้านั้นก็แค่รู้จักบ้าง ใช้บริการบางครั้ง (ส่วนใหญ่นั่งรถโรงเรียน ตั้งแต่ประถมจนกระทั่งมัธยมต้น)

เมื่อขึ้นมัธยมปลาย ผมก็ตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่กับระบบขนส่งมวลชนที่จะช่วยพาร่าง (อันบอบบาง) ของผมไปไหนต่อไหนในมหานครแห่งนี้ และทำให้ผมพบพานเรื่องราวต่างๆมากมาย ตั้งแต่นักเรียน นักเลงตีกัน (เล่าไปแล้วเมื่อสองสามตอนก่อน) คนโรคจิตลวนลามสาวๆ กระเป๋ารถเมล์และโชเฟอร์สุดโหด ตีนผี นั่งรถหลงไปมา ลงเลยป้าย ลงไม่ถึงป้าย ลงรถผิด ต้องเดินวนแถวจักรวรรดิร่วมสองชั่วโมง ปากหนักไม่ยอมถามใคร ทั้งๆที่ถ้าเลี้ยวขวาแยกเดียว ผมจะพบโรงเรียนสวนกุหลาบ และพบป้ายรถเมล์ที่จะนำผมกลับสู่นิวาสถานของผมได้อย่างที่คุ้นเคยเป็นประจำ

ชีวิตผมได้เริ่มห่างหาย จนกระทั่งถึงเลิกรากับระบบขนส่งมวลชนไปเลย เมื่อพ้นก้าวพ้นรั้วเหลืองแดงได้ ประมาณปีกว่าๆ ด้วยภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการเดินทางในชีวิตประจำวันที่เริ่มไม่คงที่ ต้องไปโน่นทีนี่ที เอาแน่เอานอนไม่ได้ รวมทั้งเวลากลับบ้าน และเวลาออกจากบ้านด้วย ผมเลยมีความจำเป็นต้องมียานพาหนะส่วนตัว ซึ่งทำให้ชีวิตการเดินทางของผมเปลี่ยนไป

ผมเริ่มลืมเลือนเส้นทางเดินรถของรถเมล์ เริ่มเหินห่างจากการห้อยโหน นั่งมองข้างทาง นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย (ซึ่งไอเดียหลายๆเรื่องของผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือไม่ นอกจากห้องส้วมและเตียงนอน ก็คลอดบนรถเมล์นี่แหล่ะครับ) รวมทั้งนั่งอ่านหนังสือ (กิจกรรมหลักของผมในระหว่างเดินทางบนรถเมล์เลยนะครับ)

และเริ่มคุ้นชินกับการใช้สมอง สมาธิ (และเท้าและมือทั้งสองข้าง) การเร่งรีบ รวมทั้งการขับรถบนถนนในมหานครแห่งนี้ในชั่วโมงที่เร่งด่วน ซึ่งเหมือนนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เล่นเกมส์รถแข่งอย่างไรอย่างนั้น ปาดซ้าย ป่ายขวา ช่วงชิงจังหวะ มุดรูนั้น ออกรูนี้ พร้อมกับแบกรับความเสี่ยงอันเกิดจากอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับยานพาหนะส่วนตัว

สายตาเริ่มมองสองข้างทางน้อยลง และจับจ้องอยู่แต่ถนนสีเทามากขึ้น สมองที่เคยคิดอะไรได้เรื่อยเปื่อย ก็ต้องมานั่งคำนวณ กะเกณฑ์ระยะรถ และเดาใจไอ้รถคันข้างๆว่ามันจะทะลึ่งออกจากเลน มาเบียดรถเราเมื่อไหร่ เพราะหลายคันไม่ยอมขอไฟเลี้ยวยามเมื่อเอารถออกจากโชว์รูมมาด้วย

แม้จะมีความสะดวกสบายมากขึ้น ย่นระยะเวลาการเดินทางจากบ้านสู่ที่ทำงานของผมได้มากขึ้น แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสูญเสียไปเพราะการขับรถ (ไม่นับค่าทางด่วนและค่าน้ำมันที่พุ่งเอาๆ จนผมแทบจะเอาเงินเดือนข้าราชการระดับต้นของผมทั้งหมดมาแบกรับค่าใช้จ่ายสองอย่างนี้แล้วล่ะครับ)

หลายปีผ่านไปกับการเดินทางด้วยรถส่วนตัว ความทรงจำและความรู้สึกของผมต่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนเริ่มเลือนลางห่างหายไปทุกทีๆ…

กระทั่งช่วงสามสี่วันนี้แหล่ะครับ

ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี

โชคร้ายที่แม่ผมบังเอิญเพลินไปกับจังหวะรถไหลไปหน่อย เอากันชนไปจูบท้ายรถคันข้างหน้า ก่อให้เกิดบาดแผลเล็กน้อย ซึ่งส่งผลให้ยานพาหนะของแม่ต้องย้ายที่อยู่ไปสถิต ณ อู่ซ่อมรถชั่วคราว ผมในฐานะลูกที่ดีจะปล่อยให้แม่ห้อยโหนรถเมล์ด้วยวัยกว่าห้าสิบก็ใช่ที่ จะให้ไปใช้ของน้องก็เกรงใจมัน เพราะนอกจากการทำงาน และการเรียนตอนเย็นของมันแล้ว มันยังต้องไปเผ้าตอกบัตรเข้างาน แถวพระประแดง อันเป็นที่อยู่ของแม่ทูนหัวของมันอีก

ผมกับยานพาหนะของผมจึงต้องเหินห่างกันไปชั่วคราว โดยให้แม่ยืมไปใช้งานก่อนสักสามสี่วัน เมื่อรู้ข่าวผมก็พยายามศึกษาหาเส้นทางที่จะพาผมไปสู่ที่ทำงานได้ทันเวลา และไม่ลำบากมากนัก ซึ่งก่อนหน้านั้นผมเคยใช้บริการขนส่งมวลชนเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานดูแล้ว ด้วยการนั่งรถเมล์ปรับอากาศสาย 140 จากหน้าปากซอยบ้าน ข้ามทางด่วน ไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯ และต่อรถไฟฟ้าไปอีกสามสี่สถานี ลงปากซอยอารีย์ และนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าที่ทำงาน ปรากฏว่าเหนื่อยและไม่เวิร์คเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายก็ใช่จะประหยัดจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
คราวนี้ผมเลยต้องเปลี่ยนแผน ด้วยการใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ยังไงล่ะครับ เพราะมันหยุดที่สะพานตากสินโดยยังไม่ข้ามมาฝั่งธนฯของผม

ผมต้องนั่งรถเมล์จากหน้าบ้าน ไปข้ามเรือ ณ ท่าเรือใต้สะพานสาทร (หรือสะพานตากสินนั่นแหล่ะ) และเดินไปอีกนิดเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีสะพานตากสิน มุ่งหน้าสู่สถานีอารีย์ และนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไปเป็นต่อสุดท้าย

แต่เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้ดำเนินการตามแผน เนื่องจากต้องออกนอกเส้นทางไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการตีปิงปองของผมก่อน บริเวณ บางไผ่โน่น

แต่สำหรับขากลับผมได้ใช้เส้นทางที่อยู่ในหัวของผมจริงๆ

เป็นการเดินทางที่ทำให้ผมรู้สึกดีทีเดียวในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา

หลังจากการซ้อมตบลูกเซลลูลอยด์อันหนักหน่วง กว่าสามชั่วโมง ผมก็เดินทางออกจากสำนักงานฯ ด้วยยานพาหนะที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด “สองเท้า” นี่แหล่ะครับ เป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโล ใช้เวลาสักสิบห้านาทีได้ เดินคุยเพลินๆกับเพื่อนร่างยักษ์ที่ทำงาน ผ่านบาร์เกย์หน้าปากซอยอารีย์ ก็เกรงเหมือนกันว่าพวกผู้ชายนะยะ จะมองว่าผมกับมันเป็นคู่เกย์กันหรือเปล่า แต่รอดตัวไปครับ ผมไม่ใช่สเปคเกย์หรอกนะ
ถึงปากซอยอารีย์ฝั่งถนนพหลโยธิน ก็แยกย้ายกับมัน เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า มุ่งหน้าสู่สถานีปลายทางสะพานตากสิน

ด้วยแอร์ที่เย็น ประกอบกับนั่งคิดอะไรเพลินๆ ทำให้ผมลืมฟังเสียงตามอากาศที่พร่ำบอกสถานีต่อไป และลืมลงป้ายสยาม เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปยังสะพานตากสิน เลยเสียเวลาต้องนั่งรถย้อนกลับไปที่สถานีสยามใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับ ไม่ผิดก็ไม่ใช่ผมล่ะ

พอถึงสถานีปลายทางสะพานตากสิน ก็ลงเพื่อเดินไปนั่งเรือข้ามฟาก ณ ท่าเรือสาทรใต้สะพาน

พอเรือจอดเทียบท่า ณ ฝั่งธนฯแล้ว ก็ได้เวลาสองขาเดินออกสู่ถนนใหญ่ เพื่อต่อรถเมล์ วันนี้ผมนั่งสายตองหนึ่งครับ (111) มุ่งหน้าสู่ตลาดพลู (หลังจากเมื่ออาทิตย์ก่อนลองนั่งมินิบัสสาย 6 แล้ว ปรากฏว่าเสี่ยงตายเกินไปครับ ก็พี่แกเล่นขับแข่งกันซะจน ผมได้กลิ่นยางไหม้ฉุนจมูกกึก) ผมต้องลงเพื่อต่อรถเมล์อีกต่อ บริเวณป้ายรถเมล์ดาวคะนอง (ป้ายรถเมล์ประจำตัวนายนิติรัฐเช่นกัน)

รถเมล์ต่อสุดท้ายพาผมมาสู่บริเวณหน้าวัดบางปะกอก ซึ่งฝั่งตรงข้ามคือซอยบ้านผมแล้วล่ะครับ หลังจากปีนสะพานลอย แล้ว สุดท้ายของผมจริงๆคือ นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อเดินทางสู่หน้าบ้านของผม

การเดินทางในวันนี้นำพาเอาความทรงจำและความรู้สึกของผมฟื้นคืนกลับมาได้โขอยู่

ผมได้สังเกตเห็นวิถีชีวิตของใครหลายคน ที่ใช้ชีวิตอันแสนเร่งรีบในมหานครแห่งนี้ หลายคนมีหน้าตาเคร่งเครียด สีหน้าแววตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย สงสัยจะงานหนัก เด็กนักเรียนหลายคนคุยกันจ่อกแจ่ก เหมือนพวกผมสมัยเรียนเลย ที่เกือบโดนกระเป๋ารถเมล์ไล่ลงจากรถเพราะส่งเสียงดังโวยวาย แถมไปอำว่าคนนั่งข้างๆตด ด้วยการทำท่าอุดจมูก พร้อมกับตะโกนโวยวาย ทำเสียงทำท่าจะสำรอกซะงั้น จนเค้าทนไม่ไหว ต้องรีบลงจากรถโดยแบกความอายซะหลังอาน (เวรกรรมจริงๆพวกกู)

ผมเห็นสองข้างทางที่เต็มไปด้วยชีวิต (บางช่วงก็มีชีวาด้วย) ทั้งๆที่ตอนขับรถแม้จะผ่านถนนเส้นเดียวกัน ผมไม่มีโอกาสได้เห็น

ผมเดินผ่านร้านอาหารมากมายบริเวณเจริญนครที่ยั่วกิเลสและน้ำลายผมยิ่งนัก ต้องพยายามข่มใจ เนื่องด้วยกำลังอยู่ในช่วงฟิตซ้อมแข่งกีฬาที่ควรจะต้องควบคุมน้ำหนัก (นี่ขนาดคุมแล้วนะเนี่ย)

ผมได้สัมผัสสายลมเย็นๆ ระหว่างเรือข้ามฟากแล่นด้วยความเอื่อยเฉื่อยพาผมกลับฝั่งธนฯ พร้อมกับนั่งมองตึกรามอันสวยงาม เมื่อยามต้องแสงไฟของบริเวณโรงแรมชื่อดังทั้งหลายริมฝั่งเจ้าพระยา

เมื่อถึงบ้านแม่แปลกใจที่ผมเดินผิวปากอมยิ้มเข้าบ้าน เพราะแม่กะว่าผมจะต้องโทรมเป็นลูกหมาคลานเข้าบ้านมาแน่ๆ (จริงๆแล้วผมกลับเป็นห่วงแม่มากกว่า เพราะอาจจะไม่คุ้นชินกับรถของผมซึ่งเป็นระบบเกียร์กระปุกต่างจากของแม่ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ) ผมเล่าให้แม่ฟังถึงชีวิตการเดินทางของผมในเย็นที่ผ่านมา แม่ก็พลอยสนุกกับผมไปด้วย พร้อมกับรำพึงว่า แม่ยังไม่เคยนั่งเลยไอ้รถไฟฟ้ง ไฟฟ้าเนี่ย สงสัยวันหลังผมต้องพาแม่ทัวร์รถไฟฟ้าหน่อยแล้ว จะขึ้นฟ้ามุดดินให้งงเลย

ผมยังเหลืออีกประมาณสามวัน หกเที่ยว สำหรับการเดินทางอันไม่ธรรมดาของผมครับ

ผมเชื่อว่าในทุกวัน ในทุกเที่ยวของการเดินทางของผม คงจะมีอะไรหลากหลายให้ผมเก็บเกี่ยวไม่มากก็น้อย

และผมเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่ง วันที่ราคาน้ำมันที่รถผมใช้เป็นอาหารหลัก ทะยานสู่เลขสามนำหน้า ผมจะจอดมันไว้บ้าน และกลับมาสู่การเดินทางที่ไม่ธรรมดาอย่างที่ผมได้สัมผัสในสามสี่วันนี้ครับ