Tuesday, July 04, 2006

กลับสู่โหมดปกติ


ห่างหายไปจากหน้าจอ และแป้นอักษรไปนานกว่าเดือน ตอนนี้ชีวิตผมกลับสู่โหมดปกติแล้วครับ

ช่วงเวลาที่ผ่านไปประมาณเดือนเศษๆ น่าจะถือว่าเป็นโค้งหักศอกอีกโค้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่รู้สึกว่าช่วงหลังๆจะมีทางตรงให้เดินให้วิ่งน้อยเหลือเกิน

ขอปรับจูนเครื่องอีกสักอาทิตย์ น่าจะกลับมาทำงานทำการได้อย่างปกติ เพราะตอนนี้ศูนย์ยังตั้งไม่ค่อยจะตรงเท่าไหร่

โค้งล่าสุดที่ผ่านมา เหมือนกับการที่ผมได้นั่งเครื่องไทม์แมชชีน ย้อนกลับไปเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว ขณะนั้นผมยังมีฐานะเป็นนักศึกษาอาชีพอยู่ ด้วยการรับสองจ๊อบ ทั้งโทที่ธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตที่สำนักอบรมฯของเนติ งานหลักของผมก็คือการอ่านหนังสือ การค้นหนังสือ และการเข้าห้องเรียน มิติในการใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่หลากหลาย ขอบเขตของงานชัดเจนและมั่นคง ก็ไอ้กองหนังสือที่อยู่ตรงหน้านั่นแหล่ะ ซึ่งอาชีพนี้น่าจะเหมาะแก่ผมที่สุดแล้วจะว่าไป

หลังจากที่ผมได้ละทิ้งอาชีพนั้นมา (ด้วยความโล่งอกโล่งใจ ... เสียที) ผมก็ห่างหายจากการอ่านหนังสือ รวมไปถึงการเตรียมตัวสอบ (จะมีก็คือการสอบแข่งขันเพื่อเข้ารับราชการในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน อู่ข้าวอู่น้ำในปัจจุบันเมื่อกลางปี 46 นั่นแหล่ะครับ ล่าสุด) สมรรถภาพในการอ่านหนังสือของผมก็ลดลงอย่างมาก รวมทั้งมิติในการใช้ชีวิตที่เพิ่มเติมหลากหลายมากขึ้น ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมรู้สึกตลอดเวลาว่าผมไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการเท่าไหร่ ระยะที่ผ่านมาของผม จึงไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบทุเรียน เอ๊ย กลีบกุหลาบนัก ต้องปรับตัว ปรับหัว ปรับใจ กันไม่น้อยทีเดียว

โค้งที่ผ่านมาล่าสุดของผม จึงเป็นเสมือนกับการย้อนชีวิตของผมให้กลับไปอยู่ในโลกแห่งการเป็นนักศึกษาอีกครั้ง ย้อนไปอยู่กับกองหนังสือและตำราเก่าๆ เลคเชอร์ตัวเองเก่าๆ และการอ่านหนังสือในเวลากลางวันอันไม่คุ้นชิน รวมไปถึงการถ่างตาต่อเนื่องไปหลังเที่ยงคืนด้วยความไม่ค่อยคุ้นเคย(มานาน)ด้วย

ที่สำคัญ ให้ตายเถอะโรบิ้น ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต ให้ระเบิดเถอะโรบินสัน ไอ้โค้งนี้ทะลึ่งมาตรงกับมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ฟีฟ่า เวิรลด์ คัฟ 2006 อีก พระเจ้าจ๊อดดด ทรมานเหลือเกินครับ ทรมานเหลือเกินกับการที่ต้องดูฟุตบอลไป อ่านหนังสือด้วยความเร่งรีบไป โดยเฉพาะคู่เยอรมันดับซ่าอาร์เจน และแมตช์สิงโตฟันหลอสำลักฝอยทอง โดยคู่ดึกผมไม่มีวาสนาได้อยู่ดูใจเซเลเซา แม้ว่าอยากขนาดไหนก็ตาม

ชีวิตรันทดจริงๆครับ

ผ่านโค้งนี้ไปแล้ว ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร อันนี้ไม่อาจหยั่งทราบได้ แต่เท่าที่จะทำได้และเท่าที่เหตุและปัจจัยที่เอื้ออำนวย ผมพยายามจะผ่านโค้งนี้ให้ดีที่สุดแล้ว ภาระหน้าที่ไม่ได้อยู่ในมือของผมอีกต่อไป

ผลจากโค้งนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะเข้าสู่ทางตรง หรือผมจะแหกโค้งลงไปนอนแอ้งแม้งในคูคลองข้างทาง ไม่อาจทราบได้

แต่อย่างน้อย โค้งนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่า

ผมยังอ่านหนังสือได้อยู่

(ถ้ามีเหตุการณ์บีบบังคับ ... อยู่ร่ำไป)