Sunday, December 31, 2006

อาลัย...แม่แก่


ในบรรดาหลานและเหลนทั้งหมด คงจะมีแต่ “ต้อง” ซึ่งเป็นหลานชายคนที่สองคนเดียวที่เรียก “ยายจำเรียง” ว่า “แม่แก่”

แม่แก่น่าจะเป็นภาษาถิ่นทางภาคใต้ มีความหมายว่า “ยาย” เหตุที่เรียก “ยายจำเรียง” ว่า “แม่แก่” นั้น เป็นเพราะช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของต้องเติบโตมาพร้อมกับสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ เรียกได้ว่าเป็นเด็กขี้โรค แม่แก่จึงรับเป็นแม่ทูนหัว เพื่อแก้เคล็ดตามความเชื่อของคนโบราณ โดยเชื่อว่าจะทำให้เด็กขี้โรคมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ดังนั้นนอกจากแม่ศรี ซึ่งเป็นแม่แท้ๆของต้องแล้ว ยายจำเรียง จึงถือได้ว่าเป็นแม่คนที่สองของต้องด้วย

แม่แก่เป็นคนแก่ใจดี มีอารมณ์ขัน และขี้เหงา แม่แก่ชอบให้ลูกๆหลานๆ รวมทั้งเหลน มาเยี่ยมเยียนแม่แก่ตามโอกาสวันสำคัญในแต่ละปี ดังนั้นบ้านของน้าเล็กอันเป็นที่พำนักของแม่แก่จึงไม่เคยเงียบเหงา

ในยามบั้นปลายของชีวิต แม่แก่จึงได้แรงใจจากลูกหลานและเหลนคอยเป็นเสมือนน้ำทิพย์โชลมชีวิตของแม่แก่ ให้สดชื่น สดใส อยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน ลูกหลานและเหลนทุกคนก็ได้พลังความรักและความอบอุ่นจากแม่แก่ด้วยเช่นกัน

หลังจากที่เสียคุณตาไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แม่แก่ก็กลายเป็นศูนย์รวมใจของลูกหลาน การอบรมเลี้ยงดูลูกทั้งสิบสามให้เติบใหญ่ มีชีวิตที่มีคุณภาพ และทั้งสิบสามชีวิตต่างก็เจริญงอกงาม แตกหน่อเชื้อแห่งความสำเร็จ สืบทอดต่อไป จากรุ่นสู่รุ่น ย่อมเป็นหลักฐานอันแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง และเด็ดเดียวของแม่แก่ในฐานะ “แม่” ได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้บรรดา “แม่ดีเด่น” คนใดในโลกนี้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานใด เพราะความสำเร็จของแม่แก่ดังกล่าว ได้ประจักษ์ชัดเจนอยู่แล้วในใจลูกหลานทุกคน

แม้แม่แก่จะมีอายุล่วงเลยกว่าแปดทศวรรษแล้ว แต่ด้วยจิตใจที่แจ่มใส เบิกบาน ประกอบกับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีของลูกหลาน ทำให้ทุกคนเชื่อว่าแม่แก่จะยังอยู่เป็นร่มโพธิ์และร่มไทร รวมทั้งเป็นศูนย์รวมใจของลูกหลานได้อีกนาน

แต่สัจจะความจริงแห่งธรรมชาติ หาได้ยืนอยู่ข้างเดียวกับความเชื่อของลูกหลานไม่ เมื่อแม่แก่เริ่มมีปัญหาการเดินและทรงตัว ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะสังขารตามวัยที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

อาการของแม่แก่ทรุดหนักรวดเร็วอย่างไม่มีใครคาดคิด

ในราวเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม่แก่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่แม้จะอยู่ในความดูแลใกล้ชิดของคุณหมอและพยาบาล แต่ลูกหลานทุกคนกลับสังเกตได้ว่า แม่แก่อาการทรุดหนักขึ้นทุกที จากเพียงแค่มีอาการขาไม่มีแรง ยืน เดิน และทรงตัวไม่ได้ ก็ลุกลามไปจนถึงแขน และมือ

คุณหมอแจ้งแก่ญาติว่า โรคที่กำลังรุมเร้าแม่แก่อยู่นั้น เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่เรียกว่า Chronic inflammatory demyelinating polyneuropathy (CIDP) ซึ่งมีเพียงหนึ่งในแสนคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ เจ้าโรคประหลาดนี้นอกจากจะทำให้แขน ขา ของผู้ป่วยหมดแรงแล้ว ยังทำให้ระบบการหายใจล้มเหลวอีกด้วย ดังนั้นในระยะเวลาไม่นานหลังจากเข้ารับการรักษา คุณหมอจึงต้องตัดสินใจเจาะคอของแม่แก่เพื่อ ปั๊มออกซิเจนเข้าไปช่วยระบบการหายใจ เนื่องจากแม่แก่เริ่มหายใจเองไม่ได้ และหลังจากนั้น ดูเหมือนอาการของแม่แก่จะทรุดลงเรื่อยๆ

เช้ามืดวันหนึ่งแม่แก่หยุดหายใจ แต่คุณหมอเข้ามาช่วยปั๊มหัวใจให้เต้นต่อไปได้ แต่การหยุดหายใจในวันนั้น ทำให้สมองส่วนหนึ่งของแม่แก่ได้สูญเสียการทำงานไป จากที่เคยโต้ตอบ และรับรู้การมาเยี่ยมเยียนของลูกหลานได้ แม่แก่เริ่มหลับสนิทไม่รับรู้โลกภายนอก ป้าแอ๋ว ป้าดา แม่ศรี น้าเล็กเฝ้าภาวนาสวดมนต์ข้างเตียง น้ากรีก็พยายามชวนแม่แก่พูดคุยบ่อยๆ ด้วยหวังว่า แม่แก่จะกลับมารับรู้และพูดคุยกับลูกหลานได้อย่างปกติ

จากอาการที่ทรุดหนักขึ้นทำให้คุณหมอต้องเรียกประชุมญาติเกี่ยวกับแนวทางการรักษาอาการของแม่แก่บ่อยครั้ง แต่คำตอบทุกครั้งของลูกหลานคือ ให้คุณหมอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป นัยหนึ่งของคำตอบดังกล่าว อาจเกิดจากความหวังของลูกหลานเองว่า แม่แก่ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นแม่แก่คนเดิมที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้อีก แต่อีกนัยหนึ่งคือ ความไม่พร้อมที่จะยอมรับการจากไปของแม่แก่ในช่วงเวลานี้ และดูเหมือนแม่แก่เองก็จะรับรู้ถึงข้อห่วงใยของลูกหลานนี้เช่นกัน

ความเข้มแข็งและความอดทนของแม่แก่ รวมทั้งลูกหลานเอง ได้ปรากฏให้เห็นอีกครั้งในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ สำหรับแม่แก่ เหมือนท่านจะรับรู้ว่าลูกหลานยังยอมรับการจากไปของท่านในช่วงนี้ไม่ได้ ท่านพยายามอดทนที่จะมีชีวิตอยู่ และหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจของลูกหลานทุกคนได้ สำหรับลูกหลานเอง เวลาแห่งความทุกข์ใจเหล่านี้กลับแสดงให้เห็นถึงพลังความรักของทุกคนที่มีต่อแม่แก่ ป้าแอ๋ว ลุงหมึก ป้าดา แม่ศรี น้ากรี รวมทั้งลุง ป้า น้า คนอื่นๆ ต่างแวะเวียนไปเยี่ยมและให้กำลังใจแม่แก่อยู่เสมอไม่เคยขาด ไม่ว่าจะอ่อนล้าหรือเหนื่อยล้าเพียงใด

แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานความจริงตามธรรมชาติได้ เมื่อกลางดึกของวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา แม่แก่ก็จากพวกเราไปอย่างสงบ

หนาวหนนี้ดูเหมือนจะโหดร้ายกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับลูกหลานของแม่แก่ทุกคนที่หนาวเหน็บหัวใจเพราะไร้ไออุ่นจากแม่แก่เช่นเคย

และปีใหม่หนนี้คงเป็นปีแรก ที่ไม่มีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของแม่แก่ ยามเมื่อถูกห้อมล้อมด้วยลูกหลาน เช่นทุกปีที่ผ่านมา

หลับให้สบายเถิดครับ ... แม่แก่

Monday, December 18, 2006

หนาวนี้ ที่แม่สาย

ปี 2549 ที่ผ่านมาถือว่า ดวงผมถูกโฉลกกับเมืองเหนือเป็นอย่างมาก

ปกติแล้ว ชีวิตของผมค่อนข้างจะเวียนวนกับทางภาคใต้มากกว่า เนื่องจากผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ มักจะได้รับการโยกย้ายไปประจำอยู่ตามหัวเมืองทางใต้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น สุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส ระนอง อาจจะมีไล่มาแถบตะวันออกและตะวันตก อย่าง มาบตาพุด - ระยอง หรือ สังขละบุรี - กาญจนบุรี บ้าง แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่

ว่าไปหัวเมืองทางเหนือที่สุดที่คุณพ่อของผมเคยไปประจำอยู่ก็เห็นจะเป็นแค่เพียง จังหวัดพิษณุโลก ที่อำเภอบางระกำเมื่อประมาณสักยี่สิบปีก่อนเท่านั้นเอง

ดังนั้น ครอบครัวของผมจึงไม่ค่อยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนจังหวัดทางเหนือ (รวมถึงอีสานด้วย) มากนัก ส่วนตัวผมเอง ผมเคยขึ้นเชียงใหม่แค่หนึ่งครั้งก่อนหน้านี้ และเป็นการเดินทางไปทำงานด้วย เรียกได้ว่า อยู่แต่ในโรงแรม จึงไม่ถือว่าถึงเชียงใหม่แต่อย่างใด

แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้ไปเหนือแบบถือว่า "ถึง" เหนือ สักกะที

ช่วงกลางปีที่ผ่านคุณพ่อเดินทางไปงานเลี้ยงสังสรรค์ รวมรุ่นเก๋ากึ้ก ที่เชียงใหม ผมและแม่เลยได้ทีติดสอยห้อยตามไปด้วย โดยอ้างเหตุผลว่า ผมจะช่วยพ่อขับรถนั่นเอง ครั้งนั้น ผมได้ขึ้นไปไหว้ “ครูบาศรีวิชัย” นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา พร้อมกับการบนบานศาลกล่าวท่านเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องกระทำในช่วงนั้น จากนั้นผมก็ได้ขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ สถานที่ที่ผมเคยได้ยินและเห็นภาพตามทีวีและสื่ออื่นเท่านั้น ... สวยชะมัดยาด

หลังจากนอนที่เชียงใหม่หนึ่งคืน รุ่งขึ้นเราก็ต้องขับรถกลับลงมาที่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อมาร่วมงานแต่งงานของลูกสาวเพื่อนพ่อสมัยที่รับราชการที่จังหวัดพิษณุโลก แต่ก่อนที่จะลงมาพิษณุโลก เราได้แวะสักการะพระธาตุหริภุญไชย ของดีประจำเมืองลำพูนกันก่อน แม้จะดูไม่อลังการ มะลังมะเลือง เท่าพระธาตุดอยสุเทพ แต่ก็คงความขลัง และสวยงามแบบขรึมๆดีทีเดียวครับ

แม้จะได้กราบนมัสการพระธาตุสำคัญๆของภาคเหนือ แต่ก็เหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง

อากาศหนาวๆไงครับ

ช่วงที่ผมไปนี่ไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น อันเป็นเอกลักษณ์ของทางภาคเหนือเลย แถมยังร้อนไม่ต่างจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรอีกตะหาก

และแล้ว ชะตาก็พาลมเหนือหอบผมขึ้นไปอีกครั้ง เมื่อสามวันที่ผ่านมา

เมื่อภารกิจที่บนบานศาลกล่าวครูบาศรีวิชัย สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ผมก็ได้แต่ตั้งไว้ในใจว่าจะหาโอกาสขึ้นไปแก้บนท่าน โดยไม่ได้วางกำหนดการที่แน่นอนว่าจะเมื่อไหร่ อย่างไร

ในระหว่างที่ผมกำลังหาทางเบี้ยวบนครูบาอยู่ ก็เหมือนท่านจะหยั่งจิตรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของผม ท่านจึงดลบันดาลให้คุณพ่อผม ซึ่งก็นั่งเกาพุงอยู่ที่มาบตาพุดดีๆ มีอันต้องไปประจำการที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายซะงั้น ผมจึงรู้ตัวทันทีว่า ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องแก้บนเสียแล้ว ... คงเบี้ยวไม่ได้ล่ะ ทวงถึงที่แล้ว

กำหนดการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ของผมและครอบครัว ต้องร่นและเลื่อนมาหลายครั้ง ด้วยเหตุที่แม่แก่ของผมอาการไม่สู้ดีนัก กระทั่งมาลงตัวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้จะมีเวลาน้อยมาก (ออกเดินทางเย็นศุกร์ กลับเย็นอาทิตย์) แต่พวกเราก็ตัดสินใจไป

การเดินทางขาไปของผมและครอบครัวนั้น ใช้ยานพาหนะขับเคลื่อนสี่ล้อ (สองล้อบ้างเป็นครั้งคราว) ส่วนขากลับด้วยเวลาที่มีเท่านี้ ก็ต้องพึ่งยานพาหนะ...ล้อ (มีล้อ แหล่ะ แต่ไม่เคยนับ) และสองปีก

........................ ควับ .......................

ผมถึงเชียงใหม่แล้วครับ

เพื่อความสบายใจ ผมและครอบครัวตัดสินใจ เดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อไปแก้บนครูบาท่านโดยเฉพาะ



ของแก้บนของผมครับ ช้างเผือก (ช้างขาวนี่แหล่ะ) 1 คู่

เมื่อเสร็จภารกิจ เราก็เดินทางไปจังหวัดเชียงรายทันทีครับ แต่ก่อนจะถึงแม่สาย อันเป็นสถานที่ทำการของคุณพ่อ เราแวะชมความงดงามของศิลปแบบไทยร่วมสมัยของ "วัดร่องขุ่น" ก่อน จะเรียกว่าบังเอิญก็ได้นะครับ เพราะตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะแวะเยี่ยมวัดของอาจารย์เฉลิมชัยแห่งนี้ ดวงคงสมพงศ์กันน่ะครับ

งามแต้ๆ







สาบานได้ครับ ว่านี่คือห้องน้ำ!

เมื่อจากวันร่องขุ่นมาแล้ว ก่อนเข้าแม่สาย กิจกรรมการแวะชมก็ยังคงดำเนินต่อไป คราวนี้เราแวะชมสวนสมเด็จย่าบนดอยตุงกันครับ

ด้วยอากาศที่กำลังเย็น และดอกไม้สวยๆ ผมลืมกรุงเทพไปเลยครับ











ไม่ทราบว่างานราชพฤกษ์ 2549 ที่เชียงใหม่จะสวยเพียงไร แต่เมื่อผมอยู่บนดอยตุง ผมลืมความเสียดายที่ขับผ่านงานนั้นมาโดยไม่มีเวลาที่จะเยี่ยมเยือนมันเลยครับ

เมื่อลงจากดอยตุงแล้ว คราวนี้เราก็มุ่งหน้าจุดหมายสุดท้าย และเป็นจุดหมายหลักของการเดินทาง

อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย



อำเภอเล็กๆ แต่คึกคักเหลือเกิน เพราะมีด่านศุลาการและด่านตรวจคนเข้าเมือง อันเป็นช่องทางทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า (ผมขอเรียกว่าพม่านะครับ ขี้เกียจเขียนเมียนมาร์)









วินมอไซค์ครับพี่น้อง เหมือนบ้านเราเปี๊ยบ

ผมเองก็มีโอกาสข้ามไปยังฝั่งพม่า (นี่ถือเป็นครั้งที่สองของการเหยียบแผ่นดินพม่าของผม โดยครั้งแรกสมัยที่คุณพ่อผมรับราชการที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แต่ความเจริญทางฝั่งนั้นเทียบแม่สายไม่ได้เลยครับ)

ทราบจากคุณพ่อว่า วันๆหนึ่งมีคนไทยข้ามไปเที่ยวยังฝั่งพม่าเป็นพันๆคน ยิ่งเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ นักขัตฤกษ์ หรือวันหยุดยาว ก็ดีดไปถึงหลักหมื่น

นั่นยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่าจะข้ามไปดูอะไรหนักหนา เพราะเมื่อผมข้ามไปดูด้วยตาตัวเองแล้ว สภาพตลาดที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าไปชมกันนั้น ไม่ต่างจากตลาดนัดคลองถม หรือจตุจักรเท่าไหร่

แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดคือ “สินค้า” ที่วางขายกันตามร้านรวงต่างๆ

มันเต็มไปด้วย สินค้าทุกชนิดที่ “ละเมิดลิขสิทธิ์” ไม่ว่าจะเป็น วีซีดี ดีวีดี หนัง เพลง (ผมพยายามเดินหาแผ่นเพลง หรือหนังของชาวพม่าแท้ๆ แต่ไม่พบเลยครับ พบแต่หน้าตี๋ๆของแดน บีม) กระเป๋า และเสื้อผ้าหลากยี่ห้อ เรียกได้ว่า ถนนในลอนดอน มิลานและปารีส มียี่ห้ออะไร ที่นี่ก็มีเหมือนกับครับ แถมราคาถูกกว่ากันเป็นร้อยเป็นพันเท่า ... ฮา

หากท่านเป็นผู้ชาย (จะหนุ่มจะแก่ไม่สำคัญ) ท่านจะได้พบโปรโมชั่นพิเศษ บรรดาพ่อค้าชาวหม่องสวมโสร่ง ที่เดินคล้องตระกร้าพลาสติคใส่สินค้า จะเดินรี่มาหาท่าน พร้อมกับกระซิบเสนอสินค้าให้ท่านว่า “หนา โป๊ะ มะ เพ่ ..แผ่ ละ ยี่ สิ” หากใครเผลอซื้อไปเพราะคิดว่าเดินแถวคลองถมละก็ ตอนกำลังจะเดินผ่านด่านพม่ากลับไปที่บ้านเกิดของเรา ก็อาจจะเจอพี่ตำรวจพม่า ขอตัวค้นดู เมื่อพบสิ่งของอนาจารดังกล่าวข้างต้น ก็จะมีการเรียกเงินค่าปรับ (คงไม่มีใครถามพี่เค้ามั๊งครับ ว่าปรับตัวกฎหมายไหน มาตราอะไร ทำไมไม่ขึ้นศาล ฯลฯ) ประมาณ 2000 บาท

สันนิษฐานว่าคนขายกับคนปรับ น่าจะไม่รู้กันหรอกครับ....

..................... ควับ ..............................



และแล้วก็ถึงบ่ายวันอาทิตย์ อันเป็นเวลาที่ผมจะต้องบอกลา อากาศหนาวบนแดนเหนือ เหินฟ้ากลับมากรุงเทพเมืองฟ้าอมรแล้ว



มุมสวยๆจากสนามบินสุวรรณภูมิครับ

เสียดายเมื่อรู้ว่า กรมอุตุฯแจ้งว่าหลังจากนี้อากาศจะหนาวลงอีก 1 – 3 องศา และโดยเฉพาะแม่สาย ดินแดนที่ผมเพิ่งจากมา อาจมีลงถึง 5 องศา

ไม่เป็นไรครับ นับจากนี้ไปผมน่าจะมีโอกาสได้ขึ้นเหนือบ่อยขึ้น

ไว้เจอกันใหม่นะน้องหนาว ... ตกลงใจไว้แล้วว่าจะขอเหยียบดอยแม่สลองสักครั้งในคราวหน้า

Saturday, December 09, 2006

"แม่แก่"




ผมถือว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง ที่เกิดมามีแม่ถึงสองคน

คนแรกคือคนที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายกับคุณพ่อของผม และเป็นคนที่เบ่งผมออกมาลืมตาดูโลก ที่ผมเรียกว่า “แม่” เฉยๆ (แต่เท่าที่จำความได้ ตอนเด็กๆผมจะเรียกท่านว่า “แม่ศรี” เพื่อเป็นการแยกแยะกับ “แม่” ของผมอีกคนหนึ่ง)

อีกคนหนึ่ง ผมเรียกท่านว่า “แม่แก่” ไม่ใช่เป็นเพราะ ท่านมีอายุมากกว่าแม่แท้ๆของผมเท่านั้น ท่านยังเป็น “แม่ของแม่” ของผมด้วย

ในวัยเด็ก ผมค่อนข้างเป็นเด็กที่ขี้โรค

แม่เล่าให้ผมฟังว่า ผมมีอาการปอดบวมตั้งแต่อายุเพียงหกเดือน เนื่องจากพี่เลี้ยงอุ้มไปเล่นนอกบ้าน และตากฝนเปียกปอนมา

จากนั้นอาการปอดบวมมันก็พัฒนาไปเรื่อย กระทั่งมันทำให้ผมเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ หรือที่รู้จักกันในนาม “โรคหอบ” มาตลอดช่วงชีวิตวัยเด็กของผม

นอกจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมายของผมแล้ว โรงพยาบาลก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมอาศัยหลับนอน จนคุ้นชินเป็นบ้านหลังที่สอง

เหตุการณ์ความเจ็บป่วยในวัยเด็กของผมนี้เอง ที่ทำให้ผมเห็นและสัมผัสได้ถึงความ “เข้มแข็ง” ของผู้เป็นพ่อและแม่ของผม โดยเฉพาะท่านหลัง

การเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าลูกจะมีอาการหอบเมื่อไหร่ จึงทำให้แม่ของผมต้องจัดเตรียมเสื้อผ้า พร้อมของใช้ เพื่อที่จะสามารถค้างแรมที่โรงพยาบาลได้อย่างน้อยสองคืน เสมอๆ ในทุกๆช่วงเวลาของปีที่อากาศเริ่มเปลี่ยน นอกจากนั้นอาจมีการไปค้างแรมที่โรงพยาบาลนอกฤดูกาลด้วย หากผมดื้อไม่เชื่อฟังที่หมอห้าม แอบไปกินน้ำแข็งหรือไอศกรีม จนโก่งคอไอ หายใจไม่ทัน และเป็นหอบ

ด้วยปัจจัยความเจ็บป่วยข้างต้น ทำให้ญาติพี่น้องเป็นห่วง และพยายามหาคำแนะนำมาให้แม่เพื่อแก้เคล็ด ตามความเชื่อของคนโบราณ

ญาติๆแนะนำให้แม่ยกผมให้เป็นลูกอีกคนของยาย พิธีจะมีอยู่อย่างไร ผมจำไม่ถนัดนัก แต่น่าจะมีการผูกข้อมือ รับขวัญ และการให้ผมเรียกท่านว่า “แม่แก่”

ผมเลยกลายเป็นหลานคนเดียวที่มีศักดิ์เท่ากับ ลุง ป้า และน้าทั้ง 12 โดยปริยาย (ฮา) (มิได้ครับ แค่เป็นคำเรียกขานเท่านั้นแหล่ะครับ ไม่ได้มีศักดิ์ในทางตระกูลแตกต่างจากหลานยาย หลานย่า คนอื่นแต่อย่างใด)

เชื่อหรือไม่ครับ ผมเพิ่งได้ทราบความหมายของคำว่า “แม่แก่” จริงๆจังๆ เมื่อวันสองวันมานี้เอง โดยกดเข้าไปหาความหมายใน search engine ยอดนิยมอย่าง google จึงพบว่า คำว่า “แม่แก่” นั้นหมายถึง “ยาย” และน่าจะมีที่มาจากภาษาถิ่นทางภาคใต้ของเราด้วย (ไม่น่าแปลกใจ เพราะครอบครัวคุณแม่ของผม ท่านติดตามคุณตาซึ่งไปรับราชการอยู่ที่จังหวัดสงขลาเป็นเวลาหลายปีเหมือนกัน ลุง ป้า น้า และแม่ของผม ก็ล้วนแต่เคยอาศัย และเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองสงขลาเป็นเวลานนานด้วย)

จำไม่ได้ว่าผมเรียก “แม่แก่” แทนคำว่า “ยาย” มาเป็นเวลานานเท่าไหร่ หลังจากนั้น รู้แต่ว่า พอผมเริ่มโต ผมไม่กล้าเรียก “ยาย” ว่า “แม่แก่” จะด้วยเหตุผลอะไร อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะ ความเขินอาย ที่เรียกแตกต่างจากบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหลาย

แต่ช่วงหลายปีหลังสุด ผมกลับมาเรียก “ยาย” ว่า “แม่แก่” อีกครั้ง อันนี้ก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน อาจเป็นเพราะผมรู้สึกว่าท่านอยากให้ผมเรียกอย่างนั้นก็ได้ เพราะเวลาไปเยี่ยมท่านทีไร ท่านมักแทนตัวเองว่า “แม่แก่” เสมอ ยามพูดคุยกับผม

แม่แก่ เป็นคนแก่อารมณ์ดี และขี้เหงา ท่านอยากให้ลูกหลาน มารวมตัวกันเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เวลาลูกหลานมารวมตัวกันทีไร แม่แก่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จะพูดจาหยอกเย้าและแซวลูกหลาน เป็นที่ครื้นเครงเสมอ

ถึงแม้แม่แก่ของผมท่านจะอายุ 87 แล้ว แต่ทั้งสมองและจิตใจของท่านยังสมบูรณ์แข็งแรงดี ทั้งนี้ผมคาดว่าน่าจะมาจากกิจกรรมที่ท่านและลูกๆได้ทำร่วมกันทุกครั้งเวลารวมตัว นั่นก็คือ การเล่นไพ่ เรียกได้ว่า ไม่มีลูกคนไหนสามารถรับประทานเงินจากแม่แก่ได้เลย แถมยังต้องเสียเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามธรรมจรรยาให้กับแม่แก่อยู่เนืองๆ

ท่านพยายามจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่บรรดาทายาทชั้นหลานย่า หลานยาย ให้กับพวกผม แต่ดูท่าทางรุ่นหลานจะไร้พรสวรรค์ทางด้านนี้กันเสียแล้ว

แม่แก่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบเดินทาง แต่ช่วงหลังๆ เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพท่านก็ได้เที่ยวน้อยลง

กระทั่งเมื่อช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แม่แก่มีอาการประหลาด คือ เริ่มชาที่มือและเท้า และขาไม่มีแรง แม่แก่เริ่มยืนและเดินไม่ได้

เมื่อพาแม่แก่ไปตรวจ ก็พบว่าแม่แก่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ที่เรียกยากๆ (และเข้าใจยากๆว่า) Chronic Inflammatory Demyelinating Polyneuropathy หรือ CIDP ผมและญาติๆ ก็ไม่ทราบว่า มันเป็นยังไง ไอ้โรคประหลาดนี่ รู้เพียงคุณหมอบอกว่า “แสนคนจะเป็นสักคน” หมอเอาเอกสารเกี่ยวกับโรคที่มีแต่ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์มาให้ผมดู ซึ่งก็จับความได้เพียงเลาๆว่า โรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ (แต่เคสต่างๆที่ปรากฏในเอกสารนั้นพบว่า ผู้ป่วยทั้งสี่ต่างอายุน้อยกว่าแม่แก่ของผมทั้งสิ้น) และอาการหลักๆที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคนี้ก็คือ การทำให้ระบบหายใจล้มเหลว

ซึ่งขณะนี้แม่แก่ของผมไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้แล้ว คุณหมอต้องเจาะบริเวณคอของแม่แก่ และให้เครื่องปั๊มออกซิเจน ปั๊มอากาศเข้าไป

หนักกว่านั้นคือแม่แก่ของผม ท่านเคยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นไปแล้วถึงสองครั้ง แต่คุณหมอปั๊มหัวใจขึ้นมาได้

ตอนนี้ท่านไม่ได้สติแล้วครับ

ไม่แน่ใจว่าสมองของท่านได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงไร จากการหยุดหายใจในครั้งนั้น แต่ที่รู้คือแกนสมองของท่านน่าจะยังดีอยู่ เพราะแม้จะหายใจด้วยตนเองไม่ได้ แต่ระบบหายใจยังทำงานอยู่

ร่างกายของแม่แก่ ยังสดใส ใบหน้ายังเอิบอิ่ม

ลูกหลาน ยังเฝ้ารอปาฏิหาริย์ให้แม่แก่ ลุกขึ้นมาพูดคุย หยอกล้อ และเล่นไพ่ กิจกรรมสุดโปรดของแม่แก่อีกครั้ง ทุกคนเฝ้ารอดูอาการที่ดีขึ้นของแม่แก่ ทุกครั้งที่แม่แก่ขยับแขนขา กระพริบตา หรือแม้แต่จะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ความหวังก็จะกระเพื่อมทุกครั้ง แม้จะรู้ดีอย่างลึกๆว่า มันอาจจะเป็นแค่อาการตอบสนองอัตโนมัติทั่วไปของร่างกายเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกตัวแต่อย่างใดก็ตาม

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งชีวิต แม่แก่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร และเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกหลาน (และเหลนตัวน้อย) เสมอมาหลังจากที่คุณตาเสียไปเมื่อ 21 ปีก่อน แม่แก่ทำให้ลูกทั้ง 13 คนของท่าน (รวมทั้งเขย สะใภ้ และหลานเหลน) กลับมารวมตัวกันได้ในโอกาสสำคัญของปี บ้านน้าสาวคนเล็กซึ่งแม่แก่ได้พักอยู่ด้วยจึงไม่เคยเหงา

แม้จะรู้ว่าโรคร้ายที่แม่แก่กำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ นั้นจะหนักหนาเพียงไร แต่ลูกหลานและเหลนทุกคน กำลังใจยังดีอยู่เสมอ เพราะพวกเรารับรู้ถึงความเข้มแข็งของแม่แก่ที่แสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์มาตลอดช่วงชีวิตของท่าน

บางครั้งความหวังของลูกหลานและญาติพี่น้องนั้น สูง กว้าง และหนักกว่า ความเห็นหรือความรู้ในทางการแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อเอาเกณฑ์ทางจิตใจมาวัด

นอกจากความเข้มแข็งของแม่แก่แล้ว ผู้หญิงอีกคนที่ผมต้องยกนิ้วให้ก็คือ คุณแม่ของผมเอง ตลอดเวลาที่แม่แก่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่าสองเดือน คุณแม่ของผมท่านไปเยี่ยมเยียนไม่เคยขาด โดยคุณแม่จะขับรถจากที่ทำงานไปเฝ้าแม่แก่ทุกวัน กว่าจะถึงบ้านก็ราวสามทุ่ม ในช่วงเวลาเช่นนี้ ประกอบกับคุณพ่อของผมเพิ่งย้ายไปรับราชการที่จังหวัดเชียงรายได้ไม่นาน ยังไม่มีเวลาที่จะกลับมาบ้าน ต้องยอมรับว่าคุณแม่ของผมน้ำจิตน้ำใจของท่าน เข้มแข็งเหลือเกิน

แต่บางครั้งผมก็อดเป็นห่วงท่านไม่ได้ เพราะผมรู้ดีว่าท่านอารมณ์อ่อนไหวแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ผมก็จะหาโอกาสไปเยี่ยมแม่แก่ของผมที่โรงพยาบาล พร้อมกับไปขับรถให้คุณแม่ด้วย เพราะผมไม่ค่อยสบายใจหากแม่ต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว ในช่วงสภาพจิตใจที่ว้าวุ่นเช่นนี้

แม้รู้ว่าสักวันเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นกับคนข้างกายที่เรารัก แต่การรู้เท่าทัน และทำใจยอมรับได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

และบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และกำลังเผชิญอยู่ มากกว่าการที่จะต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น

คุณตาครับ ขอให้สิ่งที่ดีที่สุดเกิดขึ้นกับ “แม่แก่” ทีเถิดครับ