Wednesday, May 31, 2006

คดีกระเป๋าเล็ก กระเป๋าใหญ่

เครียดกันพอสมควรกับคดีความการเมืองที่ฟ้องกันพัลวัลในปัจจุบัน

พอดีได้รับอีเมลกลอนคดีความเป๋าเล็ก เป๋าใหญ่นี้มา ฮาดีเหมือนกัน (ผมเคยได้รับก่อนหน้านี้มานานแล้ว แต่ก็เลยผ่านไป คาดว่าหลายคนคงมีโอกาสได้อ่านแล้วเช่นกัน)

ประกอบกับ ว่าจะทิ้งร้างบล็อกนี้ไปสักพัก แต่ก็ไม่อยากจะให้ตอนล่าสุดมันปรากฏหราหน้าไอ้แท่งหรรษาข้างล่าง สาวๆหลายคนหลงมาอ่าน พลางเข้ามาบ่นให้ผมฟังหาว่าผมสัปปะดน ฮ่าๆๆ สันดานส่วนตัวน่ะครับ

เลยขออนุญาตเอากลอนฮาๆ (ใครจะอ่านแล้วได้แง่คิดใดๆก็อนุโมทนาด้วย) มาแปะไว้

เตรียมตัวฮา

-------

เกิดคดี ความฟ้อง ร้องต่อศาล
ชายเฮี้ยมหาญ ฮึกสยบ ตบผู้หญิง
สอบปากคำ โจทก์จำเลย เผยเรื่องจริง
เหตุผลติง สำนวนต่อ น่าพอใจ

พิจารณา สรุปความ ข้อสุดท้าย
จำเลยชาย ต้องตอบ คำถามใหม่
คุณเป็นชาย แล้วไปตบ หล่อนทำไม
เหตุผลใด ให้การมา อย่าโมเม

ชายเหลือบมอง คู่กรณี เห็นทีหยิ่ง
แล้วให้การ ตามจริง ไม่หันเห
ผมเจอหล่อน ที่ป้าย จอดรถเมล์
ยืนหน้าเบ้ บุญไม่รับ อับประมาณ

ขึ้นรถเมล์ คันเดียวกัน มันงี่เง่า
พอกระเป๋า เขามาเก็บ ค่าโดยสาร
เธอสำแดง เหตุบอก ออกอาการ
สุดทนทาน นั่งข้างเธอ ผมเผลอไป

เธอเปิด กระเป๋าใหญ่ หยิบกระเป๋าเล็ก
เปิดกระเป๋าเล็ก แล้วปิด กระเป๋าใหญ่
หยิบแบงค์จาก กระเป๋าเล็ก ในทันใด
แล้วเปิด กระเป๋าใหญ่ ในทันที

เธอปิดกระเป๋า เล็กแล้วใส่ ลงกระเป๋าใหญ่
ส่งเงินให้ เด็กกระเป๋า ขมันขมี
พลางปิด กระเป๋าใหญ่ ไม่รอรี
ครั้นรับตั๋ว ทันที เธอฉับไว

ปิดกระเป๋าใหญ่ แล้วหยิบ กระเป๋าเล็ก
เปิดกระเป๋าเล็ก แล้วปิด กระเป๋าใหญ่
เอาตั๋วใส่ กระเป๋าเล็ก อย่างเร็วไว
แล้วเธอเปิด กระเป๋าใหญ่ ไม่รอช้า

ปิดกระเป๋าเล็ก แล้วใส่ลง กระเป๋าใหญ่
แล้วก็ปิด กระเป๋าใหญ่ อย่างแน่นหนา
รับตังค์ทอน จากกระเป๋า แล้วกานดา
เปิดกระเป๋าใหญ่ แล้วหยิบหา กระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็ก แล้วปิด กระเป๋าใหญ่
ตังค์ทอนใส่ กระเป๋าเล็ก แล้วปิดเหล็ก
หยิบกระเป๋าใหญ่ แล้วเปิดใส่ กระเป๋าเล็ก
ปิดกระเป๋าใหญ่ แล้วตรวจเช็ค เหมือนเช่นเคย

ครั้นนายตรวจ ขึ้นมา หาช้าไม่
เธอเปิดกระเป๋าใหญ่ หยิบกระเป๋าเล็ก หน้าตาเฉย
ปิดกระเป๋าใหญ่ เปิดกระเป๋าเล็ก ไม่ช้าเลย
หยิบตั๋วเผย ให้นายตรวจ ได้ตรวจตรา

แล้วปิดกระเป๋าเล็ก ก่อนเปิด กระเป๋าใหญ่
ใส่กระเป๋าเล็ก ลงไป ไม่กังขา
แล้วเธอปิด กระเป๋าใหญ่ ไม่รอรา
พอรับตั๋ว กลับมา มิช้าไย

เปิดกระเป๋าใหญ่ แล้วหยิบ กระเป๋าเล็ก
เปิดกระเป๋าเล็ก แล้วปิด กระเป๋าใหญ่
เอาตั๋วใส่ กระเป๋าเล็ก แล้วปิดไว
เปิดกระเป๋าใหญ่ ใบเล็กใส่ จนเนียนัว

ตุลาการ นั่งฟังความ ตามคดี
บอกหยุดที ฟังแล้ว น่าเวียนหัว
กระเป๋าเล็ก กระเป๋าใหญ่ ดูพันพัว
น่าเวียนหัว พัลวัน พอกันที

จำเลยชายได้จังหวะจึงฉะฉาน
ข้าแต่ศาลที่เคารพคิดดูถี
ท่านเพียงฟังยังเวียนหัวถึงเพียงนี้
แล้วผมนี่นั่งข้างหล่อนจะทนไย

ตุลาการ พินิจผล ถึงต้นเหตุ
พิจารณาพิเศษ เห็นสมควร จะตบได้

จึงยกฟ้อง ปลดปล่อย จำเลยไป
กระเป๋าเล็ก กระเป๋าใหญ่ พอกันที

-----------

ไม่รู้ว่าคดีเป๋าเล็ก เป๋าใหญ่นี้จะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้ตุลาการผู้พิจารณาคดีได้เท่ากับคดีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก ยักษ์ใหญ่ไย่ยักเย็ก หรือเปล่า

โปรดติดตามด้วยความระทึกในหทัยพลัน!

Tuesday, May 23, 2006

มันมาเป็นแท่ง

ช่วงนี้ผมอยู่ในสภาพคลุกฝุ่นอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่ามันจะย้อนกลับมาไวเหลือเกิน

อันนี้เชื่อว่าเกิดจาก "กรรม" ปัจจุบันของผมเอง ไม่ใช่อย่างอื่น จึงทำให้พายุฝุ่นลูกใหม่กลับมาได้รวดเร็วปานนี้

แม้จะมีเวลาน้อยลง แต่เมื่อเจอแท่งหรรษาชิ้นนี้เข้า ยังไงก็ต้องมาอัพบล็อกเผยแพร่ความสัปปะดี้ สัปปะดนกันหน่อย

ไอ้แท่งคล้ำหรรษานี้ มาพร้อมกับพรรคพวกเพื่อนผมที่เพิ่งกลับมาจากแดนปลาดิบและกิมจิ คล้ายๆจะมาเพื่อเป็นของฝาก

ลองดูมันจากสภาพนอกที่ยังมีสิ่งห่อหุ้มก่อนครับ ข้างล่างนี้เลย




อันนี้มันเริ่มจะโผล่โฉม แย้มหน้ามาให้ยลกันแล้ว เอ้า ช่วยกันพินิจหน่อย ... หวัดดีครับ



แอ่น แอน แอ้นนนนนน



อันนี้จากมุมบน ... รู้แล้วใช่ม้า ว่ามันคืออะไร



มันคือ ... ชอคโกแลตรูป "เห็ด" ครับ ... บนซองห่อหุ้มมัน บอกว่าเป็นรูปเห็ดครับ แต่แกะออกมาแล้ว ไม่คล้ายว่าจะเป็นเห็ดนะครับ จะว่าเห็ดโคนตอนตูมๆ หรือเห็ดหอมดอกบานๆ ก็ไม่น่าจะใช่

พยายามดูข้างใต้ เผื่อจะเจอสายไฟ ... ฮๆๆๆ ก็ไม่มี

เชื่อเถอะครับ ว่าชอคโกแลต

ถ้าไม่ติดรูปร่างสัปปะดนอย่างนี้ จะว่าไป รสชาติมันใช้ได้เลยนะครับ

Saturday, May 13, 2006

จากหอใหญ่ท่าพระจันทร์ สู่มิลเลเนี่ยม คาร์ดิฟ



แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบฟังเพลงอยู่เหมือนกัน แต่การฟังเพลงของผมก็คงจะเหมือนกับที่ผมอ่านหนังสือ นั่นคือ ผมเป็นพวกที่ไม่ค่อยมีแนวในการเสพย์สิ่งเหล่านี้เท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าไม่สามารถจัดได้เป็น “แฟนพันธุ์แท้” อะไรกับเค้าได้ หรือจัดว่าเป็นพวก “ขาจร” มากกว่า “ขาประจำ”

ฉะนั้นแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ในชีวิตผมจึงไม่ค่อยเสียเงินไปกับการดูคอนเสิร์ต หรือบรรดาการแสดงดนตรีสดบ่อยครั้งนัก แม้ว่าจะเป็นการแสดงของศิลปินที่ผมชื่นชอบขนาดไหนก็ตาม

ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่เป็นแบบนี้เพราะนิสัยโหมดใดของผมกันแน่ ระหว่างความขลาดในการริเริ่มเดินทางใหม่ๆ หรือลองทำอะไรใหม่ๆ กับความไม่สม่ำเสมอ (กรณีนี้คือการ “ไร้” แนวทางในการเสพย์สิ่งบรรเทิงเริงรมย์เหล่านี้) ผมว่ามันน่าจะปนๆกันไปแหล่ะ

แต่พักหลังผมได้เริ่มที่จะก้าวย่างเข้าไปมีส่วนร่วมในการรับฟังดนตรีแบบ “แสดงสด” หลายครั้งเหมือนกัน

เริ่มตั้งแต่ช่วงที่ผมกำลังจะจบการศึกษา ไอ้เพื่อนประธานรุ่นของผมดันไอเดียบรรเจิดอยากจัดคอนเสิร์ตหาเงินเข้ารุ่น ซึ่งสุดท้ายแล้ว ลำพังแค่พยุงตัวไม่ให้เงินติดลบต้องควักเนื้อจ่ายกันเองก็ถือว่าบุญโขแล้ว (แต่ก็ต้องปรบมือให้มันครับ มันทำจนได้ เริ่มตั้งแต่ติดต่อศิลปิน ค่ายเทป หาสถานที่ หาฝ่ายเวที พิธีกร ฯลฯ เก่งจริงๆ แต่คราวหลังอย่าทำ ฮาๆๆ)

ครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะผู้ชม ในบรรยากาศแห่งการแสดงดนตรีสด จำได้ว่าศิลปินที่ขึ้นเวทีวันนั้น ขวัญใจผมทั้งนั้น เช่น คุณก้อง สหรัถ คุณโจ้ วง Pause (ซึ่งคอนเสิร์ตในวันนั้น ถือได้ว่าเป็นครั้งท้ายๆในชีวิตของโจ้ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยการตัดสินใจทำอัตตวินิบาตตัวเอง) วิยะดา โกมารกุล และ … น้องเชอร์รี่ ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ ด้วยครับ (ได้ข่าวว่าวันนั้นทั้งปลัดสมชาย และเจ๊แดง เยาวภา มาฟังเสียงใสมากกกกกกกก ของลูกสาวสุดเลิฟด้วยนะครับ)

ครั้งที่สองของสำหรับการชมคอนเสิร์ตของผม มาโผล่เอาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก ของปีนี้เองครับ ถ้าผมจำไม่ผิด พี่ๆน้องๆที่ทำงานชักชวนผมไปชมคอนเสิร์ตกึ่งการกุศล หัวเรี่ยวหัวแรงรู้สึกจะเป็นคลื่นวิทยุคลื่นหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าคลื่นไหน มีศิลปินหลายต่อหลายคนขึ้นเวทีวันนั้น ไม่ว่าจะเป็น คุณสุริยะใส คุณพิภพ คุณสนธิ และคุณจำลอง ……..

ว้ากกก ไม่ใช่ นั่นมันเวทีใกล้ๆกันอยู่ที่สนามหลวง แต่ผมชมอยู่ในหอใหญ่ธรรมศาสตร์ เสียงมันปนๆกัน ความจำเลยสับสนไปหน่อย

เอาใหม่ รู้สึกจะมี คุณเบน ชลาธิศ คุณบุรินทร์ กู๊ฟไรเดอร์ และศิลปินแนวเดียวกันอีกประมาณสี่ห้าคน รวมทั้งคุณผู้หญิง (ผมจำชื่อไม่ได้อีกแล้วดูสิ) แห่งวงเดอะพีชแบนด์ ด้วย

สนุกดีครับ รู้สึกว่าคุ้มเงินจริงๆ (ก็ไม่คุ้มได้ไง ค่าบัตรมัน 99 บาททุกที่นั่งอ่ะ)

จริงๆผมวางแผนกับก๊วนที่ทำงานจะไปชมคอนเสิร์ตอีกครั้งราวปลายเดือนนี้ คอนเสิร์ตของคู่หูเบิร์ดกับฮาร์ท ครับ นี่ก็ศิลปินคนโปรดของผมเหมือนกันนะเนี่ย แต่ด้วยความที่ผมยังชีพจรลงเท้าไม่สิ้นเสร็จ โดยต้องเดินทางไปหัวหินเป็นคำรบสองในรอบสองเดือนนี้ จึงทำให้ผมต้องอดชมคอนเสิร์ตครั้งที่สามไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ใครจะรู้ครับ ว่าครั้งที่สาม (ชมคอนเสิร์ตนะครับ) ของผมมันจะมาให้แก้ตัวไวขนาดนี้ เมื่อสองวันก่อนขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่หน้าคอม อันเป็นภารกิจประจำวันของผม รุ่นน้องที่คณะคนหนึ่งก็ได้ทักทายเข้ามาพร้อมกับชวนไปดูคอนเสิร์ต ในวันนี้ (เสาร์ที่ 13 พฤษภาคม) ที่หอใหญ่ ธรรมศาสตร์เช่นเคย

เมื่อสอบถามแนวของดนตรี ก็พบความงง ฮ่าๆ เพราะจำไม่ได้เลยว่าน้องเค้าบอกว่ามันเป็นแนวไหน เอาว่าแปลกๆใหม่ๆก็แล้วกัน คุยไปคุยมาก็รู้ว่าเธอเป็นหนึ่งในสตาฟฟ์ (เมื่อการแสดงเริ่มขึ้นจึงได้รู้ว่าเธอเป็นผู้ดำเนินรายการของคอนเสิร์ตครั้งนี้นี่เอง) ของงานนี้ด้วย ชักชวนกันขนาดนี้แล้ว ก็ต้องไปลองดูหน่อยว่าดีจริงดังพูดหรือเปล่า

วันนี้ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปชมคอนเสิร์ตที่ธรรมศาสตร์ด้วยความกล้า เพราะเป็นการไปดูคอนเสิร์ตแบบปัจจุบันทันด่วน ไปคนเดียว และไม่รู้จักศิลปินและแนวเพลงเลย (กล้าสุดๆมั๊ยล่ะ)

ไปถึงหน้างาน โทรหาผู้ชักชวน ก็รู้สึกงงๆ เมื่อผมรายงานตัวว่า “พี่อยู่หน้าหอใหญ่แล้วนะ” เธอกลับตอบว่า “เฮ้ย มาด้วยเหรอ” ฮ่าๆ เพิ่งรู้ครับ ว่าเธอชวนเล่นๆ แต่ผมดันเสือกมาจริงๆ

เมื่อเดินไปซื้อบัตรเข้าชมด้วยความเก้ๆกังๆเรียบร้อย ผมก็มานั่งทำความเข้าใจกับงานครั้งนี้ พร้อมกับแนวดนตรีตามเอกสารที่ได้จากหน้างาน ก็รู้เลาๆว่า ดนตรีแนวนี้มันเรียกว่า “ดรัม แอนด์ คอร์” ( ชื่อเต็มๆคือ ดรัม แอนด์ บิวเกอ คอร์ (Drum and Bugle Corps) จากความรู้สึกของผมมันคล้ายกับเราไปนั่งชมการแสดงของวงโยธวาทิตของโรงเรียนมัธยมน่ะครับ แต่ออกแนวคอนเสิร์ตและการแสดงบนเวทีมากหน่อย เพราะบรรดาเครื่องดนตรีก็คุ้นตากันตามวงโยฯ นั่นแหล่ะ

ความเป็นมาของวงดนตรีวงนี้น่าสนใจมากนะครับ ดนตรีแนวนี้เพิ่งเริ่มเป็นที่สนใจโดยทั่วไปในสังคมไทยในราวปี 2542 และได้มีการฟอร์มวงกันขึ้นมา ในปี 2545 โดยตั้งเป็น “สมาคมวงดนตรีเยาวชนสยามมิตร ดรัม แอนด์ บิวเกอ คอร์” อย่างเป็นทางการในราวเดือนสิงหาคม

ที่มาที่ไปของชื่อ “สยามมิตร” นี่ก็น่าสนใจนะครับ เพราะปรากฏว่ามันมาจาก “Myth of Siam” หรือ “ตำนานเรื่องเล่าของประเทศไทย” นั่นเอง

จึงไม่น่าแปลกใจครับที่แขกเหรื่อที่มาร่วมชมกับผมในค่ำคืนนี้ จะเป็นเหล่านักเรียนกระโปรงบานขาสั้น รวมทั้งบรรดาผู้ปกครองของเหล่านักดนตรีด้วย

เป็นที่น่าเสียดายที่ผมอยู่ร่วมชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้แค่เพียงสององก์ หรือเพียงครึ่งทางเท่านั้น เหตุเพราะผมติดนัดสำคัญตอนสามทุ่มครับ เลยต้องระเห็จออกมาก่อน แต่โดยรวมถือว่าน่าประทับใจครับ เพราะเด็กพวกนี้มีความสามารถจริงๆ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างล้นเหลือจนสัมผัสได้ ต้องใช้คำว่าทึ่งครับ โดยเฉพาะการโชว์ทักษะการรัวกลองที่เราเรียกกันว่า “กลองแต๊ก” ในตอนเริ่มต้นของโชว์ น่าทึ่งจริงๆกับลีลาของทั้งสองนักดนตรี ที่ผลัดกันเล่น รับส่ง และรุกรับกันอย่างเนียนตาเนียนหู และที่สำคัญเป็นการโชว์แบบ Funny Duet ที่เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ครืนๆ

นอกจากนั้นยังเป็นจริงดังค่ำน้องท่านว่า “ความสนุกของคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็คือการได้ดูการประชันกันของบรรดานักดนตรีที่มีฝีไม้ลายมือใกล้เคียงกันบนเวที ในเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน”

ผมได้แอบกลับตอนช่วงที่โชว์พักครึ่งเมื่อจบองก์ที่สอง รีบบึ่งรถมาให้ทันนัดสำคัญ

ไม่ให้รีบได้ไงครับ นัดน้องหงส์ไว้ทั้งคน คราวแรกว่าจะไปเจอที่คาร์ดิฟเลย แต่ไกลไปเลยขอต่อไปเจอแถวๆบางปะกอกแล้วกัน เธอก็ใจดีอนุญาต

ขอนำทุกท่านสู่สนามมิลเลเนียม สเตเดียม ณ กรุงคาร์ดิฟ ประเทศเวลส์ ผ่านทางจอตู้แถวๆบางปะกอกครับ

เกมส์นัดชิงชนะเลิศ ถ้วยเอฟเอคัฟ ประจำฤดูกาล 2005 – 2006 ระหว่างกระเด้าลมสีแดง กับ ขุนค้อนจอมทุบ

ก่อนเริ่มเกมส์ยอมรับตรงๆว่าผมหวั่นๆ หวั่นใจเพราะไอ้ความเป็น “บอลต่อ” นี่แหล่ะครับ ใครก็รู้ว่าน้องหงส์ของผมใจอ่อนทุกทีเวลาเจอทีมอ่อนกว่า หรือภาษาวิชาการเรียกว่า “ติดประมาท” ก็ดูอย่างนัดที่เจอลูตัน ทาวน์รอบสามสิครับ แหมบักเจิดยิงนำทำเฉยๆ ตอนหลังโดนหมูกัด 3-1 ตาเหลือกคางเหลืองกันเลย ก่อนจะเอาตัวรอดมาได้ในสกอร์ 5 – 3

นอกจากนั้นการผ่านด่านทั้งผีแดง และหอยทะเล (Shell - sea) มาได้ ก็นับว่าน้องหงส์ผมใช้สิทธิ์เบิกดวงเกินบัญชีมาใช้อีกแล้ว เหมือนๆกับปีที่แล้วในถนนสู่ถ้วยหูยาน รวมทั้งความห้าวของเหล่าขุนค้อนที่ประกาศตัวเป็น “The New Crazy Gang” เพื่อหวังจะตามรอยวิมเบิลดันที่เคยพลิกลอคล้มลิเวอร์พูลมาได้ในกาลก่อน

ดูไปก็เซ็งกับฟอร์มการเล่นไป ตั้งเกมส์ไม่ค่อยได้ เสียบอลกันในแดนตัวเองง่ายจริงๆ ทั้งรีเซ่ เจอร์ราร์ด อลอนโซ่ ซิสเซ่ มีให้เห็นกันหมด สุดท้ายต้องมาชดใช้ด้วยการเสียประตูถึงสามประตูแบบไม่น่าเสีย (คาร์ร่าปราการหลังที่ดีที่สุดในอังฤษ? สกัดบอลเข้าประตูตัวเองด้วยท่าพิสดารกวางเหลียวหลัง, เรน่าทำฟอร์มประตูน้ำ รับลูกยิงตรงตัวของเอเธอริงตันกระฉอกเข้าทางแอชตันซ้ำกลิ้งหลุนๆหมุดเสาไป, และไอ้ลูกโยนย้อยยยยเสียบสามเหลี่ยมบนของคอนเซสกี้) แต่หงส์แดงก็ Never say die ตามมาทันที่ 3 – 3 ด้วยลูกวอลเล่ย์สุดสวยของซิสเซ่ที่วันนี้มาพร้อมสตั๊ดสองสีในครึ่งแรกและสีเขียวสะท้อนแสงในครึ่งหลัง … ใครสั่งใครสอนฟะ

และสองลูกตอปิโดของกัปตันเจิด เป็นข้อพิสูจน์อย่างแท้จริงว่ามันแปนิ่มๆไม่เป็น ด้วยการซัดซะตาข่ายกระจายในระยะสัก 12 หลาตีเสมอครั้งแรก และซัดลูกเก็บตกเกือบๆ 40 หลาในการตีเสมอครั้งที่สอง

ภาพในการชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนส์ลิก แสนปาฏิหาริย์ ณ ค่ำคืนหนึ่งในอิสตันบูล ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเกมส์ต้องมาจบที่การดวลจุดโทษบีบหัวใจตัดสิน (ไม่ให้เหมือนได้อย่างไร ก็ตอนที่เรน่าปัดลูกโหม่งกระดอนด้วยปลายมือไปชนเสา หล่นมาเข้าทางแฮร์วูดวอลเล่ย์ด้วยซ้ายเบี้ยวออกข้างไปอย่างน่าเสียวไส้นั้น มันเหมือนกับภาพที่ดูเด็คเซฟลูกโหม่งของเชว่า แบบตัวเองยังไม่รู้ตัวอย่างกับแกะ และเป็นการเซฟครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหมดเวลาในการต่อเวลาพิเศษไม่กี่วินาทีเหมือนกัน เรียกว่าถ้าโดนลูกนั้นเข้าไปก็ปิ๊กแอนด์ฟิลด์มือเปล่าได้เลย … นอกจากนั้นภาพบรรดาผู้เล่นของทั้งสองทีม เขยกๆกันเดิน เขยกกันวิ่ง เพราะตระคริวถามหาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงค่ำคืนในอิสตันบูลด้วยเหมือนกัน )

งานนี้ต้องบอกว่าหงส์แดงได้เก๋าจริงๆ โดยยิงพลาดไปคนเดียว (ซามี่ ฮูเปีย เซนเตอร์เรือเกลือ … ที่ในเกมส์เกือบทำเซอร์ไพร์ซ ด้วยการล็อคหนีผู้เล่นเวสต์แฮมสองคน ก่อนลากตัดเข้ากลางแล้วซัดด้วยขวาข้างไม่ถนัดลูกไซด์ก้อยออกข้างไปอย่างได้ลุ้น ) ที่เหลือเก็บได้หมด ไม่ว่าจะเป็นฮามันน์ที่ยิงคนแรก น้าแกชัวร์จริงๆ เจอร์ราร์ด ที่ยิงอย่างกับในวินนิ่ง และไอ้ซ้ายตีนผี ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ เหมือนเคยครับ ผมไม่กล้าดูปิดตาทุกครั้งที่หงส์แดงเป็นฝ่ายยิง

และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์จริงๆว่า โฆเซ่ เรน่า นายทวารหน้าเด็กแต่ผมน้อย เลือดกระทิงคนนี้ เป็นเจ้าแห่งการเซฟจุดโทษจริงๆ ตามกิตติศัพท์และคำร่ำลือตั้งแต่สมัยค้าแข้งอยู่ในเมืองกระทิงดุ ทั้งกับบาร์เซโลน่าและบียารีล ด้วยการเซฟจุดโทษถึงสามครั้ง (บ๊อบบี้ ซาโมร่า พอล คอนเชสกี้ และแอนตอน เฟอร์ดินานด์ น้องชายถอดแบบของริโอ เฟอร์ดินานด์กองหลังพันล้านของแมนยู …เวสต์แฮมนี่ น้าหมี เท็ดดี้ เชอร์ริ่งแฮมยิงเข้าคนเดียว)




ใครว่าฟ้าไม่ผ่าลงที่เดียวกันสองหน

ตอนนี้ก็ผมขอแปลงร่างเป็นแฟนปืนชั่วคราวครับ อยากแบ่งให้ปืนใหญ่สักถ้วยในการเจอกับบาร์เซโลน่า นัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมป์เปี้ยนสลีก วันที่ 17 พฤษภาคมนี้

แหมเสียดายโบโร่ ไม่น่าดวงแตกนัดชิงยูฟ่า คัพเลย ไม่งั้นปีนี้อังกฤษอาจกวาดเรียบ เอาฤกษ์เอาชัยก่อนไปเยอรมัน

Thursday, May 11, 2006

๑๑ พฤษภาคม วันปรีดี



อาลัยอาจารย์ปรีดี

คือวิญญาณเสรี ชื่อปรีดี พนมยงศ์
คือดาวที่ดำรง อยู่คู่ฟ้าสถาวร
คือเทียนที่ลาร้าง แต่ส่องทางไว้สุนทร
คือเกียรติที่กำจร และจารใจผู้ใฝ่ธรรม
คือแสงธรรมที่นำฉาย คือความหมายที่เลิศล้ำ
คือผู้ประศาสน์คำ “ธรรมศาสตร์และการเมือง”
ผู้พลิกประวัติศาสตร์ ประชาราษฎร์ให้โลกเลื่อง
คือเสรีรองเรือง ระยับอยู่คู่ฟ้าดิน
อาลัยท่านอำลา จากประชาทั่วธานินทร์
แต่เจตนาจินต์ จักสืบล่วงเป็นพลัง
คือหรีดและมาลัย จากดวงใจชนรุ่นหลัง
สายใยไม่หยุดยั้ง แต่ยังอยู่อย่างยืนยง
แม่โดมจักผงาด ธรรมศาสตร์จักดำรง
ปรีดี พนมยงศ์ ประดับไว้ในใจชน

(ประพันธ์โดย “เฉินซัน” ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖)




"พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทย ไม่ต้องการ"

หากท่านปรีดียังคงมีลมหายใจอยู่ ในวันนี้จะเป็นวันที่ท่านมีอายุครบ ๑๐๖ ปี

ผมจำได้เลาๆว่า เมื่อย้อนไปสัก ๙ ปีก่อน ช่วงนี้เป็นเวลาที่ผมกำลังเนื้อเต้น กับสถานะ “เพื่อนใหม่” ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื้อเต้นจนจำไม่ได้ว่าได้ผ่านกิจกรรมอะไรมาบ้างในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็น่าจะรวมถึงงานรำลึกท่านปรีดี ผู้ประศาสน์การคนแรกและคนเดียวของ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ด้วย

อย่าว่าแต่ในห้วงเวลาของความเป็นเพื่อนใหม่เลยครับ แม้แต่ในสถานะของนักศึกษาเต็มตัวในปีต่อๆมา งานรำลึกท่านปรีดีทุกวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ของทุกปี ก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผมเลย กระทั่งเมื่อท่านได้รับการยกย่องจากจากองค์การยูเนสโก (โดยข้อมติที่ ๕๘ ของการประชุมใหญ่เรื่องการฉลองวันครบรอบ (Celebration of Anniversaries) ของบุคคลสำคัญและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของโลก) โดยประกาศให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก และทำการฉลองในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีแห่งชาตกาลของท่าน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓(นอกจากท่านปรีดีแล้ว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีก็ทรงได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในปีดังกล่าวด้วยเช่นกัน) นั่นล่ะ งานรำลึก “วันปรีดี” จึงได้กลับมาอยู่ในความทรงจำของผมอีกครั้ง

แต่หลังจากนั้นแล้ว เดือนพฤษภาคม ก็หลงเหลือแต่วันพืชมงคล และวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันหยุดนอนยาวราชการเท่านั้น ที่ผมคุ้นชิน

ปีนี้จึงถือเป็นโชคของผมจริงๆที่ได้กลับมาร่วมงานวันปรีดี เพื่อรำลึกถึงและ แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในตัวแทน (ด้วยวิธีสากลตามกฎหมาย คือ จับสลาก) ของสำนักงาน เพื่อมาร่วมงานดังกล่าว

รายละเอียดของงานในวันนี้ นอกจากจะมีการวางพานพุ่มเพื่อแสดงความรำลึกของหน่วยงานราชการต่างๆแล้ว ก็ยังมีไฮไลท์อยู่ที่การปาฐกถาพิเศษของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ วิพากษ์เกี่ยวกับทางเลือกทางรอด ของระบอบการปกครองไทย และความบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ก่อให้เกิดระบอบเผด็จการด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว รายละเอียดเกี่ยวกับปาฐกถาไปหาอ่านกันเอาเองครับ (ฮาๆ สารภาพว่าแอบสัปปะหงกครับ ไม่ปะติดปะต่อและไม่รู้เรื่องพอจะถ่ายทอด … หัวไม่ถึงครับ)

แต่ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ในส่วนตัวของผม สำหรับงานวันนี้มีอยู่ ๒ เรื่องครับ

๑. ผมได้ควักกระเป๋าตังค์ ซื้อโปสการ์ดรูปเก่าๆของธรรมศาสตร์ ของหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ที่เค้ารวบรวมเป็นเล่ม มาขายในสนนราคา เล่มละ ๑๕๐ บาท (วางขายทั่วไปตามศูนย์หนังสือจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ครับ) พร้อมกับแถมฟรีโปสการ์ด (ที่ไม่ได้เอารวมไว้ในเล่ม … ไม่รู้เพราะอะไร) อีก ๔ ใบ ใครอยากได้แบบไม่ตีตราไปรษณียากร ก็ไปหาซื้อเองตามแหล่งข้างต้น ส่วนใครอยากได้แบบตีตราไปรษณียากร พร้อมทั้งข้อความลายมือขยุกขยุย ของผม ก็ทิ้งที่อยู่ไว้ครับ (ฮาๆ)




สองสามัญชนผู้ยิ่งใหญ่ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และปรีดี พนมยงศ์ ที่อิมพีเรียล คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘


นอกจากโปสการ์ดแล้ว ผมยังได้เสื้อยืดคอกลม สกรีนภาพ “นกปรีดี” หรือ Chloropsis aurifrons pridii (เป็นชื่อนกชนิดย่อยหนึ่งของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง ที่สถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายปรีดี พนมยงศ์ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย) อีก ๒ หน่วย

และ หนังสือชื่อ “มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ” ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมข้อเขียนการเมืองในฐานะหนังสือพิมพ์ของ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ อีกหนึ่งหน่วย

“…นักศึกษาและบัณฑิตของ ม.ธ.ก. มีความรักในมหาวิทยาลัยของเขา
มิใช่เพราะเหตุแต่เพียงว่าเขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เขาได้วิชาความรู้ไปจากมหาวิทยาลัยนี้ เขารักมหาวิทยาลัยนี้
เพราะว่ามีธาตุบางอย่างของมหาวิทยาลัยนี้ที่สอนให้เขารู้จักรักคนอื่นๆ
รู้จักคิดถึงความทุกข์ยากของคนอื่น เพราะว่ามหาวิทยาลัยนี้ไม่กักกันเขาไว้ในอุปาทาน
และความคิดที่จะเอาแต่ตัวเองรอดเท่านั้น
ชาว ม.ธ.ก. รักมหาวิทยาลัยของเขา เพราะว่ามหาวิทยาลัยของเขารู้จักรักคนอื่นด้วย”

กุหลาบ สายประดิษฐ์

ข้อความจารึกบริเวณทางเข้าหอประชุม “ศรีบูรพา”
จากบทความ “ดู นักศึกษา ม.ธ.ก. ด้วยแว่นขาว”
พิมพ์ครั้งแรก วารสารธรรมจักร
สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๕

ข้อความข้างต้นปรากฏบนปกด้านหลังของหนังสือดังกล่าวครับ


๒. ผมได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชม “หอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” บริเวณชั้น ๓ ของอาคารโดม ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

หอประวัติศาสตร์ฯ นี้เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์และเกียรติยศของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยแบ่งออกเป็น ๘ พื้นที่ แต่ละพื้นที่นั้นได้บอกเล่าความเป็นธรรมศาสตร์ ผ่านเหตุการณ์ ห้วงเวลา ตั้งแต่อดีตยุคตลาดวิชา ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของมหาวิทยาลัย รวมไปถึงบรรดาศิษย์เก่าคนสำคัญๆของมหาวิทยาลัยด้วย

อ้อ บอกก่อนว่าหอประวัติศาสตร์ฯ นี้เปิดบริการให้ทุกท่านเข้าเยี่ยมชม ในวันอังคาร และ พฤหัสของแต่ละสัปดาห์ เวลา ตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น. โดยจะมีน้องๆนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์อาสาเป็นไกด์และปฏิคม นำชมและเล่าเรื่องราวของแต่ละพื้นที่ครับ

เป็นที่น่าเสียดายว่าวันนี้ด้วยความเหลวไหลของผม ทำให้ผมลืมกล้องไว้บนยานพาหนะ จนทำให้ไม่สามารถบันทึกภาพภายในหอประวัติศาสตร์ฯ มาให้ชมกันได้ ถ้ามีโอกาสในคราวหน้ารับรองว่าไม่พลาดครับ และนอกจากนั้นคงจะหาโอกาสเข้าไปบันทึกภาพในพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์ที่อยู่ใกล้ๆกันด้วย อยากได้ภาพรูปจำหลักครึ่งตัวของ โรแลงค์ ยัคแมงค์น่ะครับ (ส่วนตัวๆ)

นอกจากนั้นวันนี้ผมยังถือโอกาสแอบเก็บภาพมุมต่างๆของมหาวิทยาลัย ที่ ณ พ.ศ. นี้ภายใต้การนำของ อธิการบดีที่ชื่อ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ได้พยายามปรับปรุงภูมิทัศน์ภายใน และโดยรอบมหาวิทยาลัย จนกระทั่งบางมุมจำไม่ได้เลยครับ




ฟากฟ้าครามงามประกายเฉิดฉายโดม
รับแสงโสมส่องหล้ารุ่งราศี
เหนือลำน้ำเจ้าพระยาพาชีวี
เริงฤดีคลื่นขับกล่อมยิ่งน้อมใจ




“แม่โพธิ์ร่มห่มพื้นแผ่นดินธรรม
ร่มประจำธรรมศาสตร์ทุกสมัย
แม่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่าไร
เป็นแม่ใหญ่ร่มเหย้าเจ้าพระยา
หลายสิบปีธรรมศาสตร์ประกาศศักดิ์
ลูกแม่โดมประจักษ์ตระหนักค่า
คิดถึงร่มโพธิ์พสุธา
จะกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมลานโพธิ์”

ปล. ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของผมด้วยครับ ตอนนี้ต้องเรียกท่านว่า “ศาสตราจารย์ แสวง บุญเฉลิมวิภาส” แล้วครับ