Wednesday, May 23, 2007

ถึงคราวกำแพงพัง


ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข่าวทุกข่าวบนหน้าสื่อทุกแขนง ดูจะเป็นข่าวใหญ่ไปเสียหมด เรียกได้ว่าไม่เห็นจะมีข่าวเล็กๆ ให้อ่านกันบ้างเลย

แต่ข่าวที่ผมเลือกที่จะเขียนถึงในวันนี้คือ ข่าวการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) กรัณฑ์ อรชร นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่สอง ซึ่งเกิดจากการ “ซ่อม” หรือที่เรียกงามๆว่า “ปรับปรุงวินัย” จากรุ่นพี่ซึ่งเป็นนักเรียนบังคับบัญชาชั้นปีที่สาม

แท้จริงแล้ว ดินแดน “จักรดาว” แห่งนี้ ถือเป็นสถานศึกษาอันเป็นความใฝ่ฝันของผมเลยทีเดียว ด้วยความที่ผมมีพื้นเพมาจากครอบครัวราชการ ทำให้ความฝันในวัยเด็กของผม เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการเดินตามรอยเท้าพ่อและตา นั่นคือการเป็นตำรวจ

แต่อะไรที่เราตั้งใจหวังไว้ มักไม่ค่อยสำเร็จ ชีวิตของผมก็เช่นกัน จุดเปลี่ยนชีวิตของผมที่สำคัญครั้งหนึ่ง ก็คือการที่ผมสอบเข้า “เตรียมทหาร” ไม่ติด และเบนเข็มมาลงสนามเอนทรานซ์กะเค้า จนเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ถึงทุกวันนี้

นอกจากความเท่ห์ของเครื่องแบบแล้ว ความเข้มแข็งและมีระเบียบวินัย ตลอดจนถึงความรักและสามัคคีระหว่างบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น และระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เป็นสิ่งที่ดึงดูด หรือจะเรียกได้ว่าเป็น “เสน่ห์” ของบรรดานักเรียนเตรียมทหารและบรรดานักเรียนเหล่าทั้งหลาย ที่ทำให้ปีๆหนึ่ง เด็กชายวัยมัธยมกว่าหมื่นคนต้องแย่งชิงโควตาในโรงเรียนแห่งนี้ แน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่คุณสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ หากแต่มันเกิดจาก “ระบบ” และการ “ฝึกฝน” ตลอดจนถึง “การปลูกฝัง” ในโรงเรียนแห่งนี้ต่างหาก

แต่จะมีสักกี่คนครับ ที่ล่วงรู้ว่า สถานที่ผลิตบุคลากรระดับผู้นำหน่วย เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร ไปจนถึงโรงเรียนเหล่าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เค้าเรียน เค้าฝึก เค้ามีกระบวนการผลิตบุคลากรเหล่านี้อย่างไร แตกต่างจากสถาบันระดับอดุมศึกษาทั่วไปอย่างไร

ถ้าจะกล่าวว่าสถานที่ดังกล่าวเป็น “สังคมปิด” ก็เป็นได้

ปรากฏการ “ซ่อม” จน “เศร้า” ที่เกิดขึ้นนั้น ผมมองว่าเหมือนเป็นการเอา “ท่อนซุงยักษ์” กระทุ้ง “กำแพง” ที่ปิดกั้นสถาบันอันทรงเกียรติเหล่านี้ให้ทะลายลง และมันไม่ใช่กำแพงของโรงเรียนเตรียมทหารเท่านั้นหรอกครับ มันสะเทือนซางไปถึง เขาชะโงก ดอนเมือง สมุทรปราการ และสามพรานด้วย เมื่อสังคมเริ่มตั้งคำถามถึง “ระบบ” และ “มาตรฐาน” ในการผลิตบุคลาการระดับ “ผู้นำหน่วย” ในเหล่าทัพทั้งสามเหล่า (และอีกหนึ่งสำนักงาน)

หลายคนเริ่มอยากรู้อยากเห็น ระบบการปกครองระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง การเรียน การกิน การอยู่ และเบื้องหลังการถ่ายทำของ “สุภาพบุรุษ” แสนเท่ห์ของเค้ามากกว่าที่เคยรู้เคยเห็นซะแล้ว จากสังคมปิด กำลังจะถูกเปิด ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

ผมไม่คิดว่าวิธีซ่อมพิเรนทร์ๆ เช่น การให้ดื่มน้ำจนร่างกายรับไม่ไหวก่อนจะช็อคตายในครั้งนี้ รุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารทั้งหกคนจะเพิ่งคิดได้สดๆ แล้วใช้กับ นตท.กรัณฑ์ ผู้โชคร้ายเป็นครั้งแรก ผมเชื่อว่ามันทำกันมานานแล้ว แต่ไม่เคยหนักมือจนถึงตายมากกว่า แม้แต่ผู้บัญชาการโรงเรียน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่เพียงพูดว่า “ยืนยันว่าการทำโทษด้วยวิธีดื่มน้ำดังกล่าวไม่มีอยู่ในระเบียบหรือข้อบังคับของโรงเรียน” ก็แหงแซะ ใครจะเขียนวิธีการลงโทษพิเรนทร์ๆแบบนี้ไว้โต้งๆในระเบียบล่ะครับท่าน

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเขียนหรือไม่เขียนไว้ในระเบียบ แต่มันอยู่ที่ มันมีจริงหรือเปล่า ถ้ามีนั่นหมายความว่า “หวย” มันออก ที่นักเรียนเตรียมฯ รุ่นพี่ทั้ง 6 คน และแม้ถ้าคราวนี้โชคดีรุ่นน้องไม่ตาย ไม่ว่าจะเพราะรุ่นพี่ยั้งมือทัน หรือรุ่นน้องอึดเกินพิกัด ก็เชื่อว่าหวยมันก็ต้องไปออกกับรุ่นพี่รายอื่นๆ ในปีต่อๆไปอยู่ดีล่ะครับ เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิดแค่นั้นแหล่ะ แล้วอย่างนี้ถ้าผมจะบอกว่า นอกจาก นตท.กรัณฑ์ ผู้ตายแล้ว นักเรียนเตรียมทหารอีก 6 คน ที่เป็นผู้ก่อเหตุ ก็เป็น “เหยื่อ” ของ “ระบบ” ด้วย จะเกินไปหรือไม่

นักเรียนเตรียมทหาร แม้จะถูกฝึกให้เข้มแข็งสักเพียงใด แต่อย่าลืมว่าพวกเค้าก็ยังเป็น “เยาวชน” อยู่ เกือบทั้งหมดอายุยังไม่เกิน 20 ทั้งนั้น (รับเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมฯ 2 ปี อายุเฉลี่ยก็น่าจะอยู่ราวๆ 16 ไม่เกิน 18 พวกรุ่นพี่อย่างเก่งก็ไม่น่าจะเกิน 19 หรือ 20) ระเบียบวินัย ความเข้มแข็งทางวุฒิภาวะ ยังเป็นเรื่องที่ปล่อยหรือวางใจไม่ได้ ยิ่งเป็นโรงเรียนทหาร ระบบรุ่นเข้มแข็ง มีการฝึกที่กระทบต่อร่างกายและจิตใจเช่นนี้ ยิ่งควรต้องจับตาดู

บรรดานายทหารปกครอง ผู้มีหน้าที่ดูแล นักเรียนเตรียมทหารในกองร้อย กองพัน ตลอดจนท่านผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในเหตุการณ์ดังกล่าวได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงกรณีนี้เท่านั้น แต่มันเป็นความบกพร่องหรือผิดพลาดในเชิง “ระบบ” อีกด้วย การฟ้องร้องให้บาปเคราะห์ตกอยู่กับนักเรียนเตรียมฯรุ่นพี่ทั้งหกคนถือว่าโหดร้ายเกินไป

บรรดานายทหารผู้ดูแล จนถึงผู้บัญชาการโรงเรียน ควรต้องมีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์น่าเศร้าในครั้งนี้ด้วย และความรับผิดชอบของท่านคงไม่ใช่แค่การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง หรือการรับผิดชอบโดยการขอโยกย้ายตัวเองไปดำรงตำแหน่งอื่น แต่ท่านคงต้องรับผิดชอบในการปรับปรุง “ซ่อม” แซม “ระบบ” การปกครอง รวมไปถึงมาตรฐานในการผลิตบุคลาการระดับผู้นำหน่วยเหล่านี้ เพื่อลดสายตาแห่งความเคลือบแคลงระแวงสงสัย และลดแรงกดดันอันเสมือน “ท่อนซุงยักษ์” ที่กำลังกระทุ้งกำแพงอันใหญ่โตของท่านลง และไม่ให้ใครตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย

สำหรับประเด็นในทางคดีนั้น ได้ข่าวล่าสุดว่า นักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ที่ก่อเหตุทั้ง 6 คน ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ และทางพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อหานักเรียนเตรียมทหารทั้ง 6 คน ไว้ โดย กล่าวหาว่า “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย” ตามข่าวบอกว่า โทษในความผิดฐานดังกล่าวนั้น กฎหมายมีระวางตั้งแต่ 3 ปี ถึง 5 ปี แต่แท้จริงแล้ว ข้อหานี้ค่อนข้างหนักเหมือนกันครับ กล่าวคือ ถ้าเป็นกรณีทั่วไป โทษจะอยู่ที่ 3 ปี ถึง 15 ปี ครับ แต่หากมีกรณีที่เป็นการทำร้ายอย่าง “ฉกรรจ์” เข้าตามกรณีมาตรา 289 ด้วยแล้ว โดยมาตรา 289 ดังกล่าว เป็นกรณีบท “ฉกรรจ์” ของข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาครับ เช่น การฆ่าบุพการี ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และที่สำคัญ “ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย”

สรุปให้เป็นภาษามนุษย์โลกก็คือ หากการ “ทำร้าย” จนถึงตายนั้น เป็นการ “ทำร้ายบุพการี” จนถึงตาย เป็นการทำร้ายผู้อื่น “โดยไตร่ตรองไว้ก่อน” จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย เช่นเดียวกัน ย่อมหมายถึง การทำร้าย “โดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย” จนผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วยนั่นเอง

และหากพิจารณาจากพฤติการณ์ การ “ซ่อม” โหด ของรุ่นพี่ทั้งหกแล้ว หากทางการสอบสวนได้ความดังที่สื่อทั้งหลายนำเสนอแล้ว หากจะกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ ทำร้ายโดย “ทรมาน” หรือ กระทำโดย “ทารุณโหดร้าย” นั้น ก็ไม่น่าจะห่างไกลนัก

โดยหากเป็นกรณีข้างต้นที่บอก โทษจำคุกจาก 3 ปี ถึง 15 ปี จะขยายตอนปลายออกเป็น 20 ปี นั่นหมายความว่า โทษตามกฎหมายที่นักเรียนเตรียมฯผู้โชคร้ายอาจจะต้องได้รับ ก็คือ จำคุกอย่างน้อย 3 ปี อย่างมากที่สุด 20 ปี ทีเดียว ไม่น้อยเลยครับ

แต่การตั้งข้อกล่าวหาข้างต้น ยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนเท่านั้น คงต้องรอดูดุลพินิจของพนักงานอัยการอีกครั้งว่า ท่านจะใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องในข้อหาใด และต้องสอบสวนเพิ่มเติมหรือไม่ หนังเรื่องยาวครับ เพราะคดีต่อชีวิตพวกนี้ มันเป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความกันไม่ได้ ก็ต้องดำเนินคดีจนสิ้นกระแสความนั่นแหล่ะครับ

คราวนี้พอไปถึงชั้นศาล อันนี้มีอีกหลายปัจจัยครับ เพราะต้องดูว่าพนักงานอัยการสั่งฟ้องในข้อหาไหน ถ้าฟ้องข้อหาตามข่าว ก็ถือว่ายังโชคดีนะครับ แต่ถ้าฟ้องเข้าเหตุฉกรรจ์มาก็หนักหน่อย และหนักกว่านั้นคือ หากท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าว รุ่นพี่น่าจะเล็งเห็นผลได้ว่า มันน่าจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตด้วยนั้น มันจะบานปลายกลายเป็น ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” โดย มีพฤติการณ์ แห่ง การฆ่าโดย “ทรมาน” หรือ ฆ่าโดย “กระทำทารุณโหดร้าย” ล่ะก็ ตัวใครตัวมันครับ เพราะระวางโทษในข้อหาดังกล่าวมีสถานเดียวครับ “ประหารชีวิต”

แต่ผมคิดว่าคงไม่เล่นกันแรงขนาดนั้น เพราะอย่างที่บอก เด็กทั้งหกคนก็ถือว่าเป็นเหยื่อของระบบเหมือนกัน รุ่นพี่ก็ทำกันมาตั้งหลายรุ่น ไม่ยักกะตาย หวยมาออกที่พวกเค้า

ที่เขียนมานี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาขู่ หรือทำให้เหตุการณ์มันเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่หรอกนะครับ แค่อยากฝากเตือนเป็นอุทธาหรณ์ว่า ความพลาดพลั้ง บางอย่างเพียงเสี้ยวเดียว มันก่อให้เกิดผลเสียหายที่เกินคาดเดามากน้อยแค่ไหน และกฎหมายนั้นมันไม่จำกัดขอบเขตการใช้แค่เพียงขอบรั้วของพลเรือนเท่านั้น แม้ในค่ายทหารที่ปิดมิดชิดมันก็เข้าไปถึงได้ เหมือนแสงอาทิตย์แสงจันทร์นั่นแหล่ะครับ

ไม่ว่าทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมือง เช่นเดียวกับการต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์แสงจันทร์ล่ะครับ ไม่ใช่แค่อยู่ภายใต้ระเบียบวินัยทหารเพียงอย่างเดียว

7 Comments:

Blogger suthita said...

ห่างวงการไปนาน...(บอกตัวเองด้วย) แต่ท่าทางตอนนี้เครื่องเริ่มติดใหม่แล้ว

;)

8:52 AM

 
Anonymous Anonymous said...

ในความเห็นส่วนตัว ผบช. รร. เตรียมทหาร ยันผู้หมวดผู้กอง ที่ควบคุมบังคับบัญชา ย่อมมีส่วนรับผิดทั้งทางอาญา และทางแพ่งด้วย

โดยเฉพาะ หน้าที่รับผิดชอบทางศีลธรรม ... การจัดงานศพ และคำขอโทษ เป็นเพียงสิ่งที่มีชีวิต ที่เรียกว่า "คน" พึงกระทำ แต่มันคงไม่พอสำหรับกรณีนี้

นอกจากสมควรจะต้องดำเนินดดีอาญา และแพ่งทั้งหมดแล้ว เขาสมควร แสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชาย เป็นต้น ว่า ลาออกจากราชการทั้งหมด ... แล้วไปบวชตลอดชีวิตเสีย

8:19 AM

 
Anonymous Anonymous said...

เอาส่งไปลงโอเพ่นด้วยดิ คอลัมน์มึงจะได้มีความเคลื่อนไหวหน่อย

ส่วนที่มึงสันนิษฐานว่ากูเป็นตัวซวยของหงส์ที่เอเธนส์

กูอยากบอกมึงว่าถ้ากูไม่ไป ขี้คร้านจะโดนเยอะกว่าสองเม็ดว่ะ ๕๕๕

3:59 PM

 
Anonymous Anonymous said...

- กำแพงไม่ควรจะพัง เพราะสถาบันที่มีหน้าที่ป้องกันประเทศควรจะมีระบบที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่อยู่หลังกำแพงไม่ควรจะแตกต่างพิสดารไปจากสิ่งที่อยู่นอกกำแพงจนเกินไปนัก

เพราะไม่ว่าในกำแพง หรือนอกกำแพง...ก็คนเหมือนกัน

- ก็ถึงเวลาแล้วล่ะที่ควรจะปรับปรุงสิ่งที่อยู่ภายในกำแพง (แต่ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกเข้าไปยุ่มย่ามในกำแพงนี่หน่า จริงไหม)

ด้วยความเคารพ

2:42 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ตามธรรมดาของสังคมปิด (แม้แต่ศาลก็ตามลองคิดดู) คนในไม่มีทางอยากให้คนนอกเข้ามายุ่มย่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เข้ามายุ่มย่ามในทำนอง "ตรวจสอบ"

ผมเชื่อว่าตราบใดที่เหตุการณ์ในรั้วกำแพงสูงไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีอะไรกระเด็นออกมาข้างนอก คนในก็อยู่เช่นนั้น คนนอกก็ไม่ใคร่รู้อะไร

แต่หากมีอะไรผิดปกติโยนออกมานอกรั้วเมื่อไหร่ จะปกปิดไม่ให้คนนอกสงสัยคงมิได้

แรกๆก็อาจจะปีนรั้วปีนกำแพงดู

ถ้าหนักข้อหน่อย ก็ต้องเอาซุงกระทุ้งกัน

กำแพงหินผามืดทึบ อีกหน่อย อาจจะต้องเป็นรั้วใส ให้คนนอกมองลอดเข้าไปได้

ถ้าไม่อยากให้คนนอกเข้าไปยุ่ง ทุบกำแพงแล้วสร้างกำแพงใหม่ ใสแจ๋ว

อย่าโยนอะไรออกมาให้คนข้างนอกเค้าตกใจอีกครับ

แล้วยิ่งเป็นสถาบันสำคัญ มีผลต่อการดำรงอยู่อย่างปกติสุขของคนนอกเช่นนี้ ไม่ผิดหรอกครับที่คนนอกทั้งหลายจะแสดงความสนใจใคร่รู้ ก็เค้าหวงของเค้านี่หน่า

เหมือนพระล่ะครับ ทำไมคนนอกใส่ใจใคร่รู้พฤติกรรมของพระมากมายนัก

เค้าหวงน่ะครับ

เค้าหวงสถาบันที่เค้ารัก

ไม่รักไม่หวงหรอกเธอ

3:32 AM

 
Blogger Unknown said...

อยากรู้ว่าสมัยก่อนมีอย่างนี้หรือเปล่า

โดยเฉพาะ รุ่น 10

5:52 AM

 
Blogger isua said...

ปัญหาของเด็กที่ถูกซ่อม จนตายนั้น มากกว่าที่ลงข่าว เยอะครับ

ระบบซ่อมเป็นระบบที่กำเนิดใน รร.ทหาร มานานแล้วครับ จนกลายมาเป็นระบบ sotus ของ ม.ทั้งหลาย

ถ้าระบบซ่อมของ รร.ทหาร ต้องปรับปรุง ผมว่าระบบรับน้้องของมหาวิทยาลัย ต่างหากเล่า ที่ควรปรับปรุงมากกว่า

ระบบทหาร ในรอบ สิบปี มีตายกี่คน ครับ เมื่อเทียบกับของ มหาวิทยาลัย


การซ่อมแบบนี้บอกให้ได้อย่างหนึ่ง่วา ตัวผู้่ตายเองก็ยอมรับ เนื่องจากไม่อยากให้เรื่องความผิดของตนไปถึงหู นายทหารปกครอง

จะถือได้ว่าเป็นการสมยอม หรือไม่

ความผิดเรื่องนี้ผมว่า โดยประมาทมากกว่า เนื่องจาก ตัว นักเรียนปกครอง เองก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน

10:05 AM

 

Post a Comment

<< Home