Friday, August 12, 2005

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆ ตอนที่ 2




"ฉี่กระด้างกระเดื่อง"

เรื่องเก่าๆในวันก่อนๆวันนี้ของผม ชื่ออาจไม่ค่อยน่าพิสมัยนัก และไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการอ่านไปด้วยและรับประทานอาหารหรือของว่างไปด้วย เพราะกลิ่นอาจโชยจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาแตะบริเวณนาสิกโสตของทุกท่านได้

เรื่องราวในวันนี้ ยังวนเวียนอยู่ในรั้วแดงขาว ชานกรุงของผมเช่นเคย

ใครจะเชื่อครับ ว่าการ “ฉี่” จะทำให้พวกผม เกือบไม่จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย?

ใครจะเชื่อครับ ว่าการ “ฉี่” จะทำให้พวกผมต้องโดนเฆี่ยน (โดยไม้เรียวนะครับ ไม่ใช่แส้ เพราะถ้าเป็นอย่างหลัง ต้องมีเทียนด้วย จะได้ครบสูตร)

ลำพังแค่ “ฉี่” เฉยๆ คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้หรอกครับ

ที่มันวุ่นวายจนเป็นเรื่องเป็นราว ก็เพราะ พวกผมมันดัน “ฉี่” ผิดกาละ (แต่ยังอยู่ในเทศะที่ควรจะอยู่นะครับ)

ตามปกติโรงเรียนของผมก็เริ่มเช้าวันใหม่ เหมือนๆกับที่อื่น นั่นคือ การเข้าแถวเคารพธงชาติ ตอนราวๆแปดโมง (แต่ถ้าจำไม่ผิด น่าจะราวแปดโมงสิบนาทีมากกว่า ช้ากว่าชาวบ้านเค้าสิบนาทีด้วยเหตุใดจำไม่ได้ แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่เพราะรอพวกผม กินข้าวแถวหน้าโรงเรียนให้เสร็จก่อนแน่ๆ) เมื่อร้องเพลงชาติเสร็จ ก็ต่อด้วยการสวดมนต์ แต่เป็นการสวดแบบสรรเสริญและขอพรพระเจ้า ตามลัทธิศาสนาของโรงเรียนที่เป็นคาทอลิก ประมาณว่า “พนมกร ไหว้พระผู้ปราณี ทรงรักเราทวี คุ้มครองสอดส่องเมตตา โปรดประทานสติปัญญา…” (จำได้แค่นี้แหล่ะครับ…เก่งวุ้ยกรู ยังอุตสาห์จำได้อีก)

จากนั้นก็จะมีการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์อะไรตามเรื่องตามราว ของบรรดามาสเซอร์ฝ่ายปกครอง และปล่อยแถวขึ้นชั้นเรียน เพื่อทำ home room อีกราวสิบถึงสิบห้านาที จึงได้เริ่มเรียนคาบแรก

ระหว่างปล่อยแถวเพื่อเดินขึ้นอาคารเรียน ช่วงเวลานั้น มักเป็นเวลาที่พวกผม ออกนอกลู่นอกทาง เลี้ยวไปเข้าห้องน้ำกันประจำสม่ำเสมอ ซึ่งเป็น สิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา จนไม่สามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่าใครเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมนี้คนแรก และไม่แน่ใจแล้วว่านานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเป็นประสาทสั่งการอัตโนมัติไปแล้วเรียบร้อย แถมวันไหนพลาดไม่ได้ทำ ก็ให้รู้สึกว่าชีวิตยามเช้าขาดอะไรไปสักอย่าง (ยังกับการเกิดขึ้นของยุคกฎหมายจารีตประเพณี (Customary Law) อย่างไรอย่างนั้น)

จากชนกลุ่มเล็กๆที่เดินทางไป “ฉี่” ก่อนขึ้นห้องทำ home room นานวันเข้าก็เริ่มขยับขยาย จากหลักหน่วย กลายเป็นหลักสิบ และลงท้ายด้วยหลายๆสิบ จากกลุ่มคนเล็กๆ กลายเป็นฝูงชนขนาดย่อม

และจากที่ไม่เป็นที่น่าสังเกตจากมาสเซอร์ฝ่ายปกครอง ก็กลายเป็นจุดสังเกตทิ่มตาจนได้

วันนั้นที่เป็นวันเกิดเหตุ ยามเช้าก็เริ่มปกติเช่นทุกวัน ไม่มีลางอะไรเลย เสร็จกิจกรรมยามเช้าที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ประเพณีปฏิบัติในการไป “ฉี่” พวกเราก็ดำเนินตามครรลองของมัน ตามธรรมดา แต่ไอ้ที่ไม่ปกติก็เห็นจะเป็นแค่สิ่งเดียว

การยืนจ้องปรากฏการณ์ธรรมชาติของพวกผม โดยมาสเซอร์หัวหน้าฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเรียนทุกชั้น และทุกห้อง ที่ปกติ แกจะไม่มายืนสังเกตการณ์อะไรขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ป๊อป ที่แกสอยดาวได้จากงานประจำโรงเรียน (คันที่ถูกโจษจัน ว่าแกเป็นคนล็อกรางวัล เหมือนหวยรัฐบาล) ออกตรวจตราบรรดาตามถนนรนแคมในโรงเรียนเท่านั้น

แกยังใจดีนะครับ รอให้พวกผม “ฉี่” เสร็จเรียบร้อยและกำลังเดินกลับขึ้นห้องเรียนเสียก่อน ที่จะตั้งด่านดักจับ (หรือว่ารอให้เรากระทำผิดสำเร็จก่อนวะเนี่ย…ยุทธวิธีเหมือนหัวปิงปองบ้านเราแฮะ)

ครานั้น แกกวาดจับได้จำนวนร่วมสามสิบคนได้มั๊งครับ (เป็นห้องผมเกือบครึ่งห้อง ที่เหลือเป็นทีมผสมจากบรรดาห้องอื่นๆด้วย) จากนั้น ก็มีการให้ถอดเสื้อและมัดไพล่หลัง…

ล้อเล่นน่า ไม่ใช่นักเรียนตีกัน หรือจับรถซิ่งที่ไหน

แกก็ให้มาตั้งแถวแล้วนั่งรอรับโทษทัณฑ์ …

และแกก็เริ่มร่ายโศลก ก่อนที่จะพิพากษา ด้วยการอบรมจริยธรรม คุณธรรม และน่าจะรวมถึง จรรยาบรรณ ของกาลเทศะในการ “ฉี่” นัยว่า “พวกเอ็งโตจนเลียตูดหมาไม่ถึงแล้ว ยังไม่รู้เหรอไงวะ ว่าเวลาไหนควรฉี่ เวลาไหนไม่ควรฉี่” (ถามบ้าๆ มาสเซอร์ เวลาควรฉี่ ก็เวลาปวดดิวะ เอ๊ย ครับ)

พวกผมก็ตอบแกไปแบบสุภาพว่า “เอ้ามาสเซอร์ ก็มันปวดฉี่พร้อมกันจะให้ทำไง ขึ้นไปก็เรียนไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ต้องขออนุญาตลงมาใหม่ แถมยัง โฮมรูมอยู่ ยังไม่เริ่มสอนหรอก”

แกก็ยังยืนยันตามคู่มือการฉี่ที่ถูกต้องว่า ต้องขออนุญาตจากครูประจำชั้น หรือ ครูประจำวิชาให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะตีตั๋ว ทำวีซ่า ลงมาฉี่ในขณะปฏิบัติหน้าที่นักเรียนได้

ไอ้ที่แสบมันไม่ใช่แค่ไล่ไปขออนุญาตดิครับ ก็แกเล่นต้องให้ครูประจำชั้น หรือประจำคาบ เซ็นอนุญาตให้ไปฉี่โดยเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยนี่ดิ แต่มันก็มีเพื่อนผมบางคนประชด วิ่งไปให้ครูประจำชั้นเซ็นใบอนุญาตฉี่ (เยี่ยว และหมายความรวมถึงปัสสาวะ) โดยชอบด้วยกฎหมาย มายืนยันความชอบธรรมในการไปฉี่ด้วยแฮะ เอากะมัน (แต่มาสเซอร์แม่งก็บ้า ดูเสร็จแล้วดันอนุญาตอีก ไม่เอาความและไล่ขึ้นห้อง โห รู้งี้กูขึ้นไปขอมั่งดีกว่า คิดว่าล้อเล่น)

ไอ้พวกที่เหลืออย่างพวกผม ก็นั่งฟังโศลกแกต่อไป

นอกจากความน่าเบื่อแล้ว ในใจพวกเราก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะร้ายแรงอะไร เต็มที่ก็แค่นั่งฟังอีกสักพัก พอแกเจ็บคอ ก็คงปล่อยขึ้นห้องตามปกติ และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น หากเพื่อนผมคนหนึ่งมันไม่ยกมือใช้สิทธิอภิปราย

ปกติไอ้เบียร์เพื่อนผมคนนี้ จัดได้ว่าเป็นนักเรียนดีเด่นคนหนึ่ง แม้จะเป็นพวกเฮฮา รักสนุก แต่ก็ไม่เคยเกินขอบเขต หรือมีประวัติในทางเสียหาย เมื่อมันยกมือขอใช้สิทธิอภิปราย เลยทำให้เพื่อนๆฉงนไม่น้อย

“ผมไม่ทราบว่าผมผิดตรงไหน” ประโยคนี้เป็นคำถามจากไอ้เบียร์เพื่อนผม

“นี่เรียนมาจนถึงป่านนี้ เอ็งยังไม่รู้เหรอวะ ว่าผิดตรงไหน” คำตอบจากหัวหน้าฝ่ายปกครอง

“ก็คนมันปวดฉี่” ไอ้เบียร์ไม่ลดละ

“ฉี่ได้ แต่มันก็ต้องเป็นเวลา…ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยขออนุญาตลงมา” ฝ่ายปราบปราม เอ๊ย ฝ่ายปกครองสวนคำกลับ

“ก็มันเสียเวลาเรียน ตอนนี้โฮมรูมอยู่ ยังไม่เริ่มคาบแรก” เบียร์พยายามหักล้างด้วยเหตุผลของมัน

จริงๆ จะว่ากันตามหลักการปัสสาวะในเวลาเรียนที่ถูกต้อง พวกผมมันผิดเต็มประตูอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มาสเซอร์แกหงุดหงิดน่าจะมาจาก การที่พวกเราไม่ยอมรับผลการตัดสินของแกง่ายๆ และเมื่อมีไอ้เบียร์มาพูดแทนเพื่อน และได้รับการสนับสนุนด้วยเสียงโห่ฮา และตบมือบ้างประปราย ก็เลยยิ่งเพิ่มดีกรีความหงุดหงิดให้กับ เฮียเนียง (ชื่อมาสเซอร์ฝ่ายปกครองคู่กรณีคนนี้แหล่ะครับ…เราให้เกียรติยกแกเป็นพี่ด้วยการใส่คำนำหน้าชื่อว่า “เฮีย” ออกเสียงดีๆนะครับ) จนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ (สังเกตได้จากไฝแกเริ่มกระดิกแล้ว)

แกเริ่มใช้พระเดช (ตั้งแต่ต้นก็ไม่เคยใช้พระคุณนี่หว่าเนี่ย) ด้วยการขู่สารพัด

“นี่พวกเอ็งไม่อยากเรียนจบกันใช่มั๊ย” ขู่คำแรก

“อ๋อ มันมีไอ้พวกสองปีด้วยนี่หว่า ถ้าอย่างนั้น สงสัยต้องระงับใบ ร.บ.” ขู่คำที่สอง

ไอ้เบียร์พูดลอยลมสวนออกไปความว่า “พ่อกะแม่ผมคงภูมิใจแหล่ะ ที่ลูกเรียนไม่จบ เพราะฉี่ผิดเวลา” เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย…หมัดนี้เพิ่มดีกรีความหงุดหงิดของเฮียเนียงได้เกือบเต็มปรอท เสมือนเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอย่างยิ่ง ปล่อยไม่ได้เดี๋ยวเป็นเยี่ยงอย่าง ต้องปราบปรามให้แดดิ้น แกคงนึกในใจ

และแล้วที่มาของหัวเรื่องวันนี้ก็บังเกิดขึ้น เมื่อปรอทแตะจุดสูงสุด เฮียเนียงก็ หล่นประโยคทองมาว่า “พวกเอ็งนี่มันกระด้างกระเดื่อง”

หลังจบประโยคนั้น ปฏิบัติการเอาคืนก็เริ่มดำเนินการขึ้น

แกสั่งให้ทุกคน เก็บขยะรอบอาคารเรียนมอปลาย ให้สะอาด ยกเว้นแต่

ไอ้เบียร์…ที่ไม่ถูกร่วมเก็บสิ่งปฏิกูล แต่ให้ย้ายก้นตามแกไปที่ห้องฝ่ายปกครองเอง

เรามองตามหลังไอ้เบียร์ด้วยความหวั่นใจ เพราะไม่รู้ว่า ความหงุดหงิดของเฮียเนียง จะสร้างอุปสรรคในชีวิตการเรียนให้เพื่อนผมได้มากน้อยแค่ไหน

เมื่อเก็บขยะเรียบร้อย เราก็เดินทางขึ้นห้องเรียน เพื่อปฏิบัติหน้าที่นักเรียนตามปกติ พร้อมกับรอฟังข่าวของไอ้เบียร์

เมื่อเดินทางถึงหน้าห้อง มิสกาญจนา ครูประจำชั้นสุดที่รักของเราก็ยืนต้อนรับเราด้วยรอยยิ้ม และ…

ไม้เรียว

คนละสอง ฟึ่บ นั่นคือ ของขวัญยามเช้าก่อนเริ่มเรียน (แม้จะเจ็บ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงของมิสนะ ไม่รู้ดิอาจคิดไปเอง เพราะหลังจากลงไม้เรียวกับตูดงามๆของพวกเราแล้ว มิสกาญจนา ก็มานั่งคุย ถามไถ่ถึงเหตุการณ์อย่างเป็นห่วง และเตือนพวกเราให้รู้จักกาลเทศะ และการให้เกียรติผู้ใหญ่หน่อย ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรก็ตาม แต่ความเป็นศิษย์อาจารย์ ก็ยังครอบหัว ครอบตัวเราอยู่)

เราเรียนกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับวันนั้น พะวงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไอ้เบียร์น่ะ

เวลาผ่านไปประมาณร่วมชั่วโมงได้มั๊งครับ ไอ้เบียร์ก็โผล่หน้ามาที่ห้อง พร้อมรอยยิ้ม ซึ่งสร้างความแปลกใจให้พวกเราอย่างแรง เพราะเราคิดกันว่าอย่างน้อยมันต้องเจอเรียกผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมแน่ๆ

เมื่อพักเบรคสิบห้านาทีระหว่างคาบ พวกเราก็กรูกันไปถามถึงเหตุการณ์ในห้องปกครองระหว่างมันกับเฮียเนียง มันเล่าว่างี้ครับ

“ไม่เห็นมีไร ก็แค่เรียกกูเข้าไปดุว่า เธอทำแบบนี้ไม่ดีนะ มาสเซอร์เสียหน้าหมด เธอเล่นพูดหักหน้ามาสเซอร์ต่อหน้าเพื่อนๆ”

“พวกเธอน่ะมันยังเด็กๆ สมัยมาสเซอร์เป็นนักเรียนนะ เคยโดดเรียนไปเตะบอล ครูมาเจอ วิ่งหนีกันแตกฮือ ตกน้ำตกท่า” ดูมาสเซอร์จะเล่าด้วยความภูมิใจ

“ห่า หนีไงวะให้ตกน้ำตกท่า” ไอ้เบียร์นึกในใจ

อบรมอีกพัก ไอ้เบียร์ก็ถูกปล่อยตัวออกมาโดยไม่ต้องมีใครไปประกัน พร้อมกับมานั่งทำหน้ากวนซ่งตีง และเล่าเหตุการณ์ด้วยรอยยิ้มให้พวกผมฟังอยู่เนี่ย

สรุปว่า ไม่มีอะไรร้ายแรง ก็ถือว่าเป็นโชคดีนะครับ ที่แกไม่บ้าจี้ทำตามที่แกขู่ไว้ ไม่งั้นพวกผมอาจเสียหลักทางการศึกษากันไม่มากก็น้อย อันนี้ต้องกราบขอบพระคุณแกไว้ ณ ตรงนี้ ขอบคุณครับเฮียเนียง

จากนั้นมาพวกผมก็ได้ฉายา รุ่น “ฉี่กระด้างกระเดื่อง” ดำเนินตามรอยเท้ารุ่นพี่ๆ ที่ทำไว้ เพราะทุกรุ่นมักมีฉายาที่ได้รับจากวีรเวร ทำนองเดียวกันอย่างนี้เสมอ อย่างก่อนรุ่นผมรู้สึกจะรุ่น “ราวบันได” คลับคล้ายคลับคลาว่า เพราะทะโมนไปเล่นลื่นจากราวบันได ลงมาชนมิสกระเด็นกระดอน หรืออย่างไรทำนองนี้

ไม่รู้ว่าไอ้รุ่นหลังพวกผม มันมีชื่อรุ่นแบบนี้อีกหรือเปล่า ไม่แน่นะครับ อาจจะมี “ส้วมกบฏ” หรือ “ลูกบอลไม่รักดี” ทำนองนี้ให้ได้ยิน
ด้วยความที่รู้สึกถูกชะตากับชื่อรุ่นของตัวเองอย่างยิ่ง พวกผมลงทุนกันคนละ 150 บาท ซื้อเสื้อยืด มาทำบล็อกสกรีนกันเอง เป็นรูป พวกเราขาสั้นยืนฉี่ พร้อมชื่อรุ่น และกิตติกรรมประกาศ เป็นที่ระลึกคนละตัว (ทุกวันนี้ผมยังเก็บไว้ ไม่กล้าใส่)

วีรกรรมเหล่านี้ แม้จะอยู่ในความทรงจำและเรียกรอยยิ้มจากพวกเราได้เสมอ ยามได้มาย้อนรำลึกร่วมกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ควรเอาเยี่ยงเอาอย่าง หรือควรยึดเป็นแบบปฏิบัติแต่อย่างใดนะครับ มันเป็นความคะนองส่วนตัว ในสมัยที่ฮอร์โมนวัยรุ่นมันกำลังพลุ่งพล่าน

หนูๆน้องๆ ท่านใดหลงมาอ่าน กรุณาตามคุณพ่อ คุณแม่มาช่วยกันอ่านด้วยนะครับ

แล้วแต่ดุลยพินิจและวิจารณญาณของทุกท่านครับ (จบแบบเดอะป๋อง กพล ทองพลับอีกแล้ว)

ไว้มีโอกาสกลับไปเยือนถิ่นเก่า ผมจะไปเก็บภาพโรงเรียนแสนรักของผมมาให้ดูกันครับ ว่าแต่ละเหตุการณ์นั้น มีภูมิสถานอย่างไร

4 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ตามมาอ่านต่อจากภาคแรกค่ะ ... ชื่อรุ่นนี่ - -' อืมค่ะ เอิ้กๆ

นั่งนึกย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยมแล้วสนุกดีเหมือนกันเนอะคะ

เอ๊ะ! นี่แก่กันแล้วหรอเนี่ยมานั่งย้อนความหลัง ฮ่าๆๆๆ

12:37 PM

 
Blogger ratioscripta said...

โห

เขียนแค่สองตอน โดนหลายคนแซวว่าแก่ซะแล้ว

นี่แค่ย้อนไปประมาณไม่ถึงสิบปีเองนะครับ

ตัวเลขบนบัตรประชาชนไม่เคยหลอกใครครับ

555

เอกสารราชการเลยนะเนี่ย

12:45 PM

 
Blogger sweetnefertari said...

เรื่องอะ ไม่เท่าไรหรอก ฮาตรงคนเขียนนี่แหละ เรื่องฉี่ยังขำได้ แต่ก็หนุกดี รู้งี๊ไปเรียนโรงเรียนชายล้วนดีกว่า ไม่เรียนหญิงล้วนหรอก ฮาๆ

12:33 AM

 
Anonymous Anonymous said...

มึงเอาชื่อกูมาใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาต ระวังกูจะฟ้องมึงนะเฟ่ย

9:47 AM

 

Post a Comment

<< Home