Thursday, July 14, 2005

ผมกับลูกกลมๆ



หากใครรู้จักผมดีและนาน จะรู้ว่าผมเป็นพวกบ้ากีฬาพอสมควร แม้จะไม่ถึงขั้นแฟนพันธุ์แท้ แต่ผมก็ทั้งเล่นและติดตามทุกครั้งที่โอกาสอำนวย

พูดถึงในฐานะผู้เล่น ผมมักจะถูกโฉลกกับกีฬาประเภทที่ต้องใช้อุปกรณ์ลูกกลมๆ เว้นแต่ บาสเกตบอล และวอลเล่ย์บอล ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ ความสูงของผมมักเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงเสมอ

ฟุตบอล แน่ล่ะคือกีฬาอันดับหนึ่งที่รักทั้งดูและเล่นเอง

ความสามารถในเชิงลูกหนังของผม อยู่ในระดับ "เล่นได้" ไม่ถึงกับเป็นนักกีฬาโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย เต็มที่ก็แค่นักบอลคณะสมัยเล่นกีฬาเฟรชชี่ตอนหนุ่มๆอยู่ปีหนึ่ง นอกจากนั้น ก็มักออกลูกบอลวัดเสียมากกว่า ประเภทเอารองเท้าวางเป็นเสาประตู หรือที่เรามักเรียกกันว่า "รูหนู"

สมัยมัธยมผมเป็นพวกบ้าเตะบอลมาก เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มีโอกาส จะมาโรงเรียนแต่เช้า เพื่อเตะบอลก่อนเคารพธงชาติ พร้อมกับเข้าห้องเรียนในสภาพเหงื่อโทรมกาย เมื่อเรียนได้สองคาบ ก็จะถึงเวลาพักเบรคระหว่างชั่วโมง พวกผมก็จะรีบแจ้นลงมาหาของกินกันก่อน เพื่อที่ตอนกลางวันเราจะได้มีเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆในการเตะบอลด้วยกัน ไม่ต้องเสียเวลากินข้าว ไม่รวมช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ที่พวกผมจะเตะจนกว่าแสงอาทิตย์จะหมด

กระทั่งมิสและมาสเตอร์เริ่มสงสัย จึงได้ออกมาตรการ "ห้าม" กินอาหารกลางวันก่อนเวลาเที่ยง!! ซึ่งก็ห้ามเรามิได้หรอกครับ จนกระทั่งนั่นแหล่ะ ทางโรงเรียนออกกฎเหล็กกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายในโรงเรียน ว่าห้ามขายอาหารก่อนเวลาเที่ยง เอากะเค้าสิ

แต่เราก็ไม่ลดละหรอกครับ เพราะเพียงแค่ปีนรั้วโรงเรียน ชะเง้อหน้าไปนอกรั้วเราก็สามารถสั่งข้าวกล่องมานั่งกินกันอย่างอิ่มหนำกันแล้ว พร้อมสำหรับการวิ่งปุเลงๆไล่เตะลูกหนังกันต่อไป ปล่อยให้มิสและมาสเตอร์เกากบาลแกรกๆ

ในยามที่สนามฟุตบอลปิดซ่อม เราจำเป็นต้องหาสังเวียนแข้งแห่งใหม่ ซึ่งเราได้ลองกันทั่วพื้นที่โรงเรียนกว่า 80 ไร่แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นระเบียงหน้าชั้นเรียน พร้อมกับอุปกรณ์แทนลูกฟุตบอล อันได้แก่ กระดาษขยำหนาเส้นผ่าศูนย์กลางราว 15-20 เซนติเมตร และพันด้วยเทปกาว ประตูก็ได้แก่ขาเก้าอี้เลคเชอร์นั่นแหล่ะครับ

เมื่อระเบียงมันโจ๋งครึ่มเกินไป เราก็ย้ายไปเตะในห้องเรียน ห้องเรียนของพวกพี่มอหกที่เค้าปิดเทอมเพื่อเตรียมตัวเอนทรานซ์กันไปก่อนหน้าพวกผมประมาณสองเดือน เราจัดแจงให้มันเป็นสนามบอลที่มีกำแพงทั้งสี่ด้าน สนุกสนานกันมากครับ สังเวียนฟุตบอลติดแอร์เนี่ย

เมื่อยามมิสหรือมาสเตอร์เดินผ่าน เราจะมีพวก "ต้นหน" คอยดูต้นทาง ส่งสัญญาณเตือนภัย เมื่อภัยใกล้เข้ามาแล้วเราก็จะจัดแจงเอาเก้าอี้มานั่งกันครบคน แล้วเปิดทีวีในห้องทำทีเป็นติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างเอาใจใส่ หากมิสหรือมาสเตอร์ไม่ใส่ใจก็จะเดินเลยไป แต่บางท่านไม่ครับ เพราะอาจจะได้กลิ่นแปลกๆจากไอ้ทะโมนที่ทำทีเป็นผู้ทรงศีล ซึ่งปิดไงก็ไม่มิด ก็เล่นนั่งหอบกันแฮ่กๆ แถมเหงื่อท่วม ฝุ่นฟุ้งกันเยี่ยงนั้น จับได้ก็อาจจะโดนคาดโทษกันด้วยสายตา หรือวาจา แค่นั้นแหล่ะครับ ไม่มีมากกว่านั้น น่ารักจริงๆ

เมื่อครั้งพ้นรั้วแดงขาวแถบฝั่งธน ก้าวสู่รั้วเหลืองแดงสาขารังสิต ผมคิดว่าชีวิตคงเงียบเหงาและต้องห่างหายจากการวิ่งไล่เตะลูกกลมๆเสียแล้ว เพราะไม่รู้ว่าบรรยากาศในมหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร จะมีใครบ้ามานั่งเตะบอลกับผมอย่างหามรุ่งหามค่ำแบบนี้อีกหรือไม่ หรือจะนั่งคร่ำเคร่งอ่านตำหรับตำรากันหน้านิ่ว

ผิดคาดครับ เด็กธรรมศาสตร์โดยเฉพาะคณะผม แม่งบ้าเตะบอลมาก แม้ว่าสมัยตอนที่ผมอยู่รังสิตจะไม่มีพื้นที่สำหรับการเล่นกีฬามากนัก แต่พวกผมก็ยึดเอาบริเวณสนามหญ้าข้างตึกบรรยายรวมหนึ่ง อันเป็นนิวาสถานของโต๊ะเด็กคณะนิติที่รายล้อมกันอยู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นสังเวียนผืนหญ้า ทั้งๆที่จริงๆแล้ว แถบนั้นเค้าจัดวางให้เป็นสวนสาธารณะ ไว้พักผ่อนหย่อนใจสำหรับนักศึกษา ซึ่งในช่วงนั้นหากมีใครทะลึ่งมานั่งใกล้ๆอาจเกิดโรควูบแบบไม่ทันตั้งตัว ก็เพราะไอ้ลูกกลมๆจากปลายเกือกของพวกผมนี่แหล่ะ

วีรเวรอันไม่อาจลืมได้ของผม ในการเตะบอลตอนอยู่ปีหนึ่ง นอกจากการยิงจุดโทษพลาดทำให้ทีมได้แค่รองแชมป์ ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเฟรชชี่ ซึ่งจะว่าไปแล้วพวกผมถือว่าเป็นเจ้าบ้านเพราะว่านัดชิงจัดที่ท่าพระจันทร์ (ซึ่งสาบานได้ว่า ณ เวลานั้นสนามฟุตบอลที่ท่าพระจันทร์มีพื้นสนามที่มีคุณภาพมาก เรียกได้ว่าคลิ้นซ์มันสามารถมาถลาได้โดยไม่ต้องเกรงสวัสดิภาพของปอดแต่อย่างใด) ในขณะที่คู่ชิงของผมนั้นคือคณะวิทยาศาสตร์...ก็เห็นจะเป็นเรื่องนี้ครับ

ใครอยู่รังสิตในช่วงเดียวกับผม หรืออาจจะหย่อนบวกลบไปไม่มาก จะนึกภาพออกว่าด้านหน้าอาคารบรรยายรวมหนึ่ง (บร.1) จะเป็นสนามหญ้าซึ่งมีคูระบายน้ำล้อมรอบ ในเย็นวันหนึ่งหลังเปิดเทอมไม่นาน พวกผมได้ยึดที่แห่งนั้น (ก่อนจะย้ายฟากไปสนามหญ้าหลังอาคารแทน ซึ่ก็อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นนี่แหล่ะครับ) เป็นสังเวียนแข้ง ประมาณว่าจะเตะโชว์หญิงด้วย เพราะมันติดถนน และใกล้อาคารโรงอาหารคนพลุกพล่านมากมาย ปัญหาที่พวกผมประสบบ่อยๆสำหรับการใช้บริการสนามแห่งนี้คือ การที่ลูกชอบตกไปในคูระบายน้ำทำให้ต้องตามเก็บ เสียอารมณ์หลายครั้งหลายคราว ดังนั้นพวกเราจึงมักทำทุกวิถีทางเพื่อตามวิถีบอลให้ทันก่อนที่มันจะตกน้ำ

ขณะกำลังบรรเลงเพลงเข้งอย่างเมามัน ลูกฟุตบอลเจ้ากรรมดันไม่วิ่งไปในทิศทางที่ควร มันมุ่งหน้าสู่คูระบายน้ำ ในฐานะนักบอลมีจรรยาบรรณอย่างผม แน่ครับ อยู่ใกล้สุดก็ต้องวิ่งตามลูกเพื่อทำยังไงก็ได้ไม่ให้มันตกคู ในหุ่นเพรียวลมน้ำหนักห้าสิบต้นๆตอนนั้น ผมยังมีความเร็วพอที่จะวิ่งทันและหยุดลูกไว้ได้ก่อนที่มันจะตกคูไป

ครับ...บอลหยุด แต่คนม่ายยยหยุด

ผมถลาลงคูระบายน้ำ แบบที่นักกระโดดน้ำยังต้องอายม้วน เพราะมันลงแบบสองขาคู่ ดังตูมสนั่น

แรกก็คิดว่ามันไม่ลึกหรอก เพราะขนาดมันก็แค่กว้างเมตรกว่าๆ

ครับ ทีแรกมันไม่ลึกครับ เพราะมันหยุดแค่ต้นขาของผม แต่ข้างล่างสิครับ มันเป็นเลน มันค่อยๆยวบ

ไอ้เพื่อนของผมมันน่ารัก ทุกคนแทนที่จะกุลีกุจอช่วยผม มันกลับช่วยกันยืนหัวเราะเหมือนกลัวจะไม่มีใครเห็น

มันยวบครับ มันยวบ ยิ่งพยายามก้าวขาตะกุยตะกาย มันยิ่งยวบครับ

ช่วยด้วย เลนดูด

มันเล่นดูดยันคางผมเลยครับ เรียกได้ว่าหากผมไม่เงยหน้านี่ เข้าปากเข้าจมูกแน่ๆ

สุดท้ายเมื่อพวกมันทนความอุบาทว์ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าไม่ไหว ก็ช่วยกันฉุดดึงผมให้พ้นจากโคลนตม (ซึ้งว่ะไอ้พวกเวรรรร) พอผมพ้นเปลือกตมขึ้นมาได้ ก็รีบหลบหลังพุ่มไม้ พร้อมกับถอดเสื้อ รองเท้าและถุงเท้า แต่ยังคงเหลือกางเกงกับกางเกงในไว้หน่อย

ผมพยามจะเรียกร้องให้เพื่อนที่พักอยู่หอใน ซึ่งใกล้กับจุดเกิดเหตุที่สุดพาผมไปล้างโคลนเลน ก่อนกลับมาโซ้ยกันต่อ แต่พวกมันกลับเฉยเมยและเล่นบอลกันต่อ แบบไม่สนใจใยดี

ผ่านไปสักสิบนาที เมื่อผมเห็นว่ามันไม่ช่วยผมแน่ๆ ผมก็เลย...

ผมไม่บ้าเดินกลับหอในสภาพนี้หรอกครับ แต่ตัดสินใจลงไปเล่นใหม่ทั้งอย่างนั้นแหล่ะครับ

ดีเสียอีก ไม่มีใครกล้าแย่งบอลจากผมเลย 555 เละและเหม็นซะขนาดนั้นหนิ

ขากลับผมนั่งซ้อนจักรยาน ของผมซึ่งเพื่อนร่วมห้องผมเป็นคนขี่ ในสภาพท๊อปเลส มือขวาหิ้วรองเท้าอันแสนเละ (เสื้อถอดโยนทิ้งไว้หลังพุ่มไม้ เพราะมันเละเกินเยียวยา ซึ่งจากนั้นอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ผมยังคงเห็นมันสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นแหล่ะ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเก็บไปทิ้งเลยว่ะ) เหม็นก็เหม็น เหนื่อยก็เหนื่อย อยากจะกลับถึงห้องไวๆ ไอ้เพื่อนร่วมห้องเวรของผม กลับขี่แบบกินลมชมวิว อวดร่างเปลือยท่อนบนของผมต่อสายตาประชาชีโดยเฉพาะเพศตรงข้าม

หอพักของผมแยกระหว่างหอชายและหญิงโดยที่จะต้องผ่านหอหญิงซึ่งชั้นล่างจะเป็นโรงอาหารด้วย ก่อนที่จะถึงหอชาย นั่นหมายความว่า จะยังไง แม่งต้องขี่จักรยานผ่านหอหญิง และโรงอาหาร ขณะที่ผมอยู่ในสภาพนั้น พระเจ้าผมพยายามภาวนาให้มันขี่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด เพื่อให้อุจาดแก่สายตาผู้ที่กำลังรับมื้อเย็นกันอยู่น้อยที่สุด

แต่เหมือนมันรู้ ยิ่งใกล้หอหญิงมันยิ่งลดความเร็ว แถมที่เลวร้ายที่สุดคือมันเล่นจอดหน้าหอหญิง พร้อมกับกดกริ่งประจำยานพาหนะเสียอีก ได้ผลด้วยครับ สายตาหลายสิบคู่จ้องมองผมเป็นตาเดียว

ไอ้เพื่อนเวร

กว่าจะลากสังขารขึ้นห้องพร้อมกับต้องซักล้างคราบปฏิกูลทั้งหลาย ก็เพลียแทบแย่

ทั้งเหนื่อย ทั้งเหม็น ทั้งอายว่ะ

กลับมาถึงเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผมเกริ่นไว้เมื่อตะกี้นี่

เหตุการณ์อัปยศประจำตัวผมเลย

ผมขอนำทุกท่านสู่สนามฟุตบอลภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สาขาท่าพระจันทร์ ในปี 2540 เกมส์นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเฟรชชี่ ระหว่างคณะนิติศาสตร์เจ้าบ้าน และคณะวิทยาศาสตร์ผู้เปรียบเสมือนทีมเยือน

ขณะที่ในเวลาแข่งขันปกติ ทั้งสองทีมเสมอกันด้วยสกอร์สองศูนย์ (0-0) และต้องยิงจุดโทษหาแชมป์โดยไม่มีการต่อเวลาพิเศษไม่ว่าจะเป็นระบบโกลเด้นโกล หรือซิลเวอร์โกล

เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีเพื่อนร่วมทีมของผมยิงจุดโทษพลาดไปก่อนหน้าผมถึงสองคน แต่ไม่มีใครจำได้เลย ทุกคนในคณะจำได้แต่ว่า ผมยิงจุดโทษพลาดและทำให้ทีมแพ้ โอ้เศร้า ผมอยากจะแก้ผ้าเอ๊ยแก้ตัวว่า มันไม่ใช่เพราะผมแต่อย่างใดที่ทำให้ทีมแพ้ ผมคงยิงจุดโทษไม่พลาดหากไอ้เจน เพื่อนร่วมคณะที่มานั่งเชียร์ข้างสนาม ไม่วิ่งลงมากลางสนามเพื่อเอาตะกรุดมาให้ผมใส่ก่อนยิง ทำนองจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของผม ท่ามกลางความตะลึงแกมขบขันของผมชมรายล้อม

ผมถนัดการยิงมุมขวาของตัวเอง เนื่องจากเป็นการแปข้างเท้าด้านใน มุมฝืนของคนถนัดขวาเพราะ เมื่อยิงมุมฝืนแล้ว ลูกมักจะไม่หลุดกรอบ แต่พลันที่ลังเลใจอยู่ เสียงของรุ่นพี่สตาฟโค้ช ก็กลับก้องในหูว่า "ไอ้น้องเอ็งยิงมุมช้อนซ้ายมือ ยังไงโกลก็ไม่มีทางรับได้" ด้วยความเป็นคนเชื่อคนง่ายเสมอมา ผมจึงเปลี่ยนใจกระทันหัน

วินาทีที่สตั๊ดคู่ใจสัมผัสลูกฟุตบอล ผมรู้เลยว่า มันกินพื้นที่น้อยไป นั่นหมายความว่า แทนที่มันจะช้อนและโค้งเข้าสู่พื้นที่ที่ควรจะเป็น มันกลับพุ่งเลียดโค้งเข้าเสา ซึ่งผมได้แต่ลุ้นฉี่แทบราดให้มันมุดๆเสาไป แต่พระเจ้า มันโค้งไปอ่ะ หลุดเสาออกไปโดยที่ทวารฝ่ายนู้นไม่ได้ขยับ แม้แต่นิดเดียว

ผมลงไปนอนก้มหน้ากับฟอร์หญ้า

ก่อนที่สมาชิกคนต่อไปของอีกฝ่ายจะซัดนิ่มๆ เข้าไป แย่งแชมป์ไปจากมือ

ปวดร้าวนัก

ผมพยายามหาเหตุผลให้กับตัวเองว่าทำไมผมจึงเปลี่ยนใจ และยิงหลุดกรอบไป...

พลันผมคว้าตะกรุดขึ้นมาดู ผมก็ได้คำตอบ

ตะกรุดแม่งเอียงซ้าย

เพราะมึงคนเดียวเลย

ไอ้ห่าเจน

(อย่างน้ำขุ่นคลั่ก)

11 Comments:

Blogger ratioscripta said...

เนื่องด้วยสภาพร่างกายและความฟิตอันจำกัดจำเขี่ยของผมต่อการเล่นกีฬาที่ใช้พละกำลังทุกชนิดตอนนี้ของผม

การกลับลงสู่สนามฟุตบอลจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน คิดน่ะได้ แต่ขามันไม่ไป

ผมเลยหันมาเอาดีทางลูกกลมๆอีกประเภทที่ผมพอมีฝีมืออยู่บ้าง

ลูกเซลลูลอยด์ครับ...

ปิงปองนั่นแหล่ะครับ

ผมเริ่มตีปิงปองเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อครั้งเรียนอยู่มอต้น เป็นเรื่องเป็นราวขนาดเกือบ (อีกแล้ว) เป็นนักกีฬาโรงเรียน ถ้าไม่ติดว่ามีคนเก่งกว่าผมอีกมากมาย (ก็แน่ล่ะเนอะ)

หลังจากเข้ารั้วมหาวิทยาลัย นอกจากที่ผมจะโชคดีที่ไม่ต้องแขวนสตั๊ดแล้ว ผมยังไม่ต้องแขวนไม้ปิงปองด้วยครับ เพราะหอของผมในส่วนของหอชาย ชั้นล่างสุดติดกับห้องซักผ้า มีโต๊ะปิงปองขนาดมาตรฐานไว้คอยบริการ ซึ่งผมและเพื่อนร่วมห้องในฐานะ สิงห์ลูกเซลลูลอยด์ย่อมไม่พลาดอยู่แล้ว ที่จะต้องลงมาประมือกันทุกค่ำ (หลังโซ้ยแข้งกันมาแล้ว)

จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะโชว์เพลงตบกันสนั่นลั่นหอ เพื่อนผมมันอัดโฟร์แฮนด์เต็มแรง ลูกตกกระทบโต๊ะดินแดนของผมอย่างที่ผมได้แค่ป้องกันด้วยสายตา

ลูกยังแหวกอากาศไป กระทบลงพื้น และกระเด้ง

กระเด้ง

กระเด้ง

มุดเข้าไปในกระโปรงของเพื่อนนักศึกษาหญิงคนหนึ่งขณะเดินถือตระกร้าผ้ามาซัก ณ ห้องรับซักรีด อีกไม่กี่เมตร

ผมสังเกตใบหน้าของเธอ

ปุเลี่ยนๆน่ะครับ อธิบายไม่ถูก โกรธ ตกใจ อาย ขำ ฯลฯ

แล้วลูกเซลลูลอยด์เจ้ากรรมมันก็ไม่ออกมาด้วยครับ ครั้นเราจะยกให้เธอเป็นที่ระลึกก็กระไร เพราะนิจากุสามดาวลูกตั้งเกือบสี่สิบบาท

เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ ไม่ไปไหน นานเป็นนาที ในขณะที่พวกเราก็ทำตัวกันไม่ถูก จะระเบิดเสียงหัวเราะก็เสียกิริยาหมด จะเข้าไปช่วยหา ก็...เหอะๆ

กระทั่งเธอเริ่มได้สติสตัง พยายามเขย่าๆ และแล้ว ลูกเซลลูลอยด์เจ้ากรรมก็หล่นออกมา

ยังไงกันดีครับ เธอจ้ำอ้าวรีบเอาผ้าไปซัก แล้วก้มงุดๆๆๆ กลับไปหอหญิงทันที

พอเธอพ้นจากบริเวณนั้นไปแล้ว พวกเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เลวจริงๆ

พวกเราทำอย่างไรกับลูกเซลลูลอยด์ลูกนั้นเหรอครับ...เก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ ไม่ใช้งานอีกต่อไป ใครจะใช้ลงล่ะครับ ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น

หลังจากปีหนึ่งแล้วผมก็ไม่มีโอกาสเล่นปิงปองอย่างเป็นงานเป็นการอีกเลย กระทั่ง

ผมมาทำงานที่นี่ครับ

ผมเพิ่งรู้ว่าในสตง.มียอดฝีมือแห่งยุทธจักรลูกเซลลูลอยด์อยู่เต็มไปหมด

ในช่วงความฟิตอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ ปิงปองนี่แหล่ะครับ น่าจะเป็นกีฬาที่ผมเอาดีได้มากที่สุด

อย่างวันนี้ก่อนกลับบ้านผมล่อไปสี่ชั่วโมงแบบ นอนสต๊อป

เล่นเอาปวดหลังปวดปีกกันเลย

ก็ได้แต่หวังว่า

ไอ้ลูกเซลลูลอยด์ที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ จะไม่มุดกระโปรงสาวรายไหนอีกนะครับ

11:20 AM

 
Blogger pin poramet said...

ขำว่ะ มีแถมเครื่องเคียงต่อด้วย

2:05 PM

 
Anonymous Anonymous said...

สนุกจังค่ะ

^^

ตอนสมัย ม.ต้น
เคยต้องเรียนวิชาปิงปอง

เป็นกีฬาที่ยากมากๆ
ด้วยความที่มันเป็นลูกนิดเดียว

มองไม่ค่อยจะทัน

แค่เสริฟก็ยากแล้ว
อย่าว่าแต่ตีโต้เลย

8:11 PM

 
Anonymous Anonymous said...

ฮาระเบิด...
ถ้าคุณมาเรียนต่อที่นี่มั่ง รับรองหนังสือพวก "แฉชีวิตนักเรียนนอก" คงเจ๊ง

เจอดาวรุ่งเข้า

9:44 AM

 
Anonymous Anonymous said...

สนุกจัง สนุกจัง
รางวัลเขียนดีมีส่งถึงบ้าน
เหอ เหอ เหอ
อีกสิบวันก็รู้

1:07 PM

 
Blogger ratioscripta said...

ผมสามารถ "แฉ" ชีวิต "นักเรียนนอก" ได้ตั้งแต่ตอนที่ผมยังอยู่ที่นี่ ตอนนี้เลยครับ

เป็นชีวิต "นักเรียนนอก" ที่ตอนนี้มาใช้ชีวิตใน "เมืองไทย" เป็นระยะเวลาสั้นๆ

สนใจกันมั๊ยครับ

เดี๋ยวประทับทรงซ้อเจ็ดเขียนให้...

4:23 AM

 
Blogger Tanusz said...

อย่างนี้เข้าข่าย ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย แต่ขายเพื่อน

5:26 AM

 
Blogger pin poramet said...

รออ่านมาหลายวันแล้ว เมื่อไหร่จะแฉชีวิตนักเรียนนอกซักทีเล่า

7:36 PM

 
Anonymous Anonymous said...

ฮาดี เห็นภาพเลย

6:32 AM

 
Blogger crazycloud said...

ขอยืนยันว่ามันแตะบอลเก่งจริง แต่ชื่อทีมมันอุบาทว์ อาทิ น้ำว้าว ยูไนเต็ด อิ อิ

1:19 AM

 
Anonymous Anonymous said...

ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ

10:10 AM

 

Post a Comment

<< Home