เมื่อแนวหน้าก่นด่าแนวหลัง
![]() |
หลายคนคงไม่ทราบว่าจริงๆแล้วผมมีสิทธิใช้คำนำหน้าชื่อว่า “ว่าที่ร้อยตรี” (ผู้หมวด) เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรนอกประจำการแห่งกองทัพบกไทย
ถูกต้องนะคร๊าบ ผมเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่บ้าพลังเรียน ร.ด. (นักศึกษาวิชาทหารนั่นแล) จนถึงชั้นปีที่ห้า ไม่ได้เรียนแค่ปีที่สามเพื่อให้ได้ สด. ๘ และไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารเท่านั้น
โดยมากพวกเรียน ร.ด. มักสังกัดกองทัพบกเหล่าทหารราบ (แม้ว่าตอนปีสี่และปีห้าผมจะเรียนวิชาทหารในกองพันทหารม้าที่ ๓ และ ๔ ตามลำดับ และรู้สึกถูกอกถูกใจคำขวัญของทหารม้าที่ว่า “ชักปืนช้า แก้ผ้าไว” เป็นอย่างยิ่ง ฮาๆๆๆ ก็ตาม ... กองทัพบกแบ่งออกเป็นหลายเหล่าครับ รู้สึกว่าจะ ๑๗ เหล่าเข้าไปโน่น) เขาถือกันว่า “ทหารราบนั้นคือราชินีแห่งสนามรบ” ส่วนราชาน่ะหรือครับ ทหารปืนใหญ่ครับ ที่ปืนใหญ่เขาเป็นราชาก็เพราะเขาไม่ต้องทำอะไร นั่งอยู่ ณ ที่ตั้ง รอทหารราบและทหารม้าที่ต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ออกไปทะลวงฟัน และส่งพิกัดมาให้ปืนใหญ่ยิงสนับสนุน ไอ้ที่ตายโหงตายห่าน่ะราบกับม้าทั้งนั้น (ส่วนใหญ่จะเป็นราบเพราะม้ามันยังมี “ยานเกราะ” จำพวกจีเอ็มซี หรือฮัมวี่ย์คอยกำบังให้ตายช้า ตายยากสักหน่อย)
ในหมู่ทหารบกด้วยกันจึงมักมีโจ๊กประจำกองทัพเกี่ยวกับฉายาดังกล่าวว่า ราชานั่งรอในวัง ปล่อยให้ราชินีกับม้าเร็วไปรบด้วยกัน สุดท้าย ราชินีกับม้าเร็วนี่แหล่ะที่ร่วมกันสวมเขาให้ราชา ฮาๆๆ
ตอนที่ผมไปเข้าค่ายประจำปี ณ เขาชนไก่ ยุทธวิธีการฝึกทั้งหลาย ล้วนเป็นกลยุทธ์ของทหารราบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการ “เข้าตี” “ตั้งรับ” หรือ “ร่นถอย” ก็ตาม
ก็ไอ้พวกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยวิถีโผ หมอบ คลานสูง คลานต่ำ นั่นแหล่ะ
การเข้าตีในฐานะแนวหน้าคือภารกิจหลักของเหล่าราชินีแห่งสนามรบ ไปเปิดพื้นที่ ไปยึดฐานฝ่ายตรงข้าม และไปตายก่อน (โปรดนึกภาพชายหาดนอร์มังดีในละครแบรนด์ ออฟ บราเธอร์ส หรือไอ้พวกทหารราบในเรื่อง สตาร์ชิพ ทรูปเปอร์)
จิตวิทยาในการรบจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในยามปฏิบัติภารกิจในฐานะแนวหน้า การปลุกเร้ากำลังใจ การเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ความองอาจห้าวหาญ การออกคำสั่งและการลงโทษผู้ขัดคำสั่งในสนามรบอย่างเด็ดขาด ซึ่งอาจหมายถึงการ “จำหน่าย” ออก จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
และไม่แปลกที่บรรดาแนวหน้ากล้าตายทั้งหลาย จะภาคภูมิใจในภารกิจของตนเป็นอย่างยิ่ง
เหรียญตรากล้าหาญ รวมไปถึงธงชาติที่คลุมบนโลงศพ การได้รับจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ ในนามวีรบุรุษ ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของคนกล้า
และไม่น่าแปลกใจที่จะมีเสียงก่นด่าจากบรรดาผู้กล้าทั้งหลายต่อบรรดาทหารเหล่าอื่นซึ่งอยู่ในฐานะหน่วยสนับสนุน หรือเป็นกองหนุน รวมไปถึงฝ่ายเสนาธิการผู้วางแผนการรบ แม้กระทั่งกำลังพลในกองทัพอื่นที่ปฏิบัติภารกิจแตกต่างไปจากตน ซึ่งดูเหมือนจะเสี่ยง(ชีวิต) และเสียสละ (ชีวิต)น้อยกว่า (เห็นในหนังบ่อยๆที่ทหารราบแนวหน้า ก่นด่าบรรดานักบินในกองทัพอากาศทำนองแค่โฉบไปโฉบมาทิ้งระเบิดตูมๆแล้วก็เปิดตูดหนี ดีไม่ดีทิ้งใส่กบาลพวกเดียวกันอีก)
ในยามนั้นผมเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาแนวหน้าก่นด่าแนวหลังข้างต้นเหมือนกันนั่นแหล่ะ พาลสำคัญตนไปเสียไกลด้วยว่า เป็นผู้กล้า ผู้เสียสละอย่างแท้จริง เป็นผู้กุมชะตาแพ้ชนะทั้งหมดของการรบ หรือเป็นศูนย์กลางของการรบทำนองนั้น
อาจจะเพราะช่วงนั้น ภารกิจของทหารราบดังกล่าวค่อนข้างจะถูกจริตของผมที่เป็นพวกดื้อด้าน ใจร้อนด่วนเร็ว และเจ้าอารมณ์ (ขี้โมโห) กอรปกับเป็นพวกนิยมแนวถึงไหนถึงกัน การซื้อใจกัน ความเป็นพี่น้องกอดคอร่วมเป็นร่วมตาย (ซึ้งใจวัยรุ่นจริงๆ) ด้วยนั่นเอง
เอาเป็นว่าถ้าให้มีหมายเรียกรวมพลให้ไปร่วมรบในกรณีฉุกเฉิน ณ นาทีนั้นผมคงรีบยกมือแนบหูเพื่อขอเข้าร่วมเป็นนายทหารในเหล่าราบ เพื่อวิ่งตะบัน เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ในแนวรบด้านหน้าเป็นแน่ พร้อมกับตะโกนก้องฟ้าว่า “ตายในสนามรบ...เป็นศพของทหาร” เอ๊ยยยยไม่ใช่ “ตายในสนามรบ เป็นเกียรติสูงสุดของทหาร” ต่างหาก
แต่พอกาลเวลาผ่านไป พร้อมกับการเติบโตขึ้นทั้งภายในและภายนอกของตัวผมเอง ทำให้ผมรู้ว่าผมมีข้อจำกัดมากมายในการปฏิบัติภารกิจในนาม “แนวหน้า” ผมไม่มีความกล้าบ้าบิ่นขนาดหิ้วปืนประจำกายกระบอกเดียววิ่งฝ่าฝูงข้าศึก ผมไม่มีความกล้าขนาดจะยิงอาวุธประจำกายเด็ดหัวฆ่าศึกในระยะประชิด แล้วไม่ยินดียินร้ายกับภาพอันสยดสยองขมองระเบิดที่เกิดตรงหน้า ผมไม่กล้าขนาดจะเด็ดหัวผู้หญิงและเด็กยามล่วงรู้ว่าคนเหล่านี้คือไส้ศึกของฝ่ายตรงข้ามมาล้วงความลับ
ผมไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะทิ้งทุกอย่างอยู่ ณ เบื้องหลัง พ่อ แม่ ครอบครัว และคนที่รัก เพื่อแลกกับเกียรติยศ เหรียญตรากล้าหาญ และธงไตรรงค์คลุมโลงศพ พร้อมกองทหารเกียรติยศที่เป่าแตรรอรับร่างอันไร้วิญญาณของผมคืนสู่มาตุภูมิ
หากผมจะเข้าประจำการในกองทัพ ผมคงเลือกเป็นนายทหารพระธรรมนูญตามวิชาที่ผมถนัด หรือไม่ก็ไปเป็นอาจารย์สอนกฎหมายในโรงเรียนนายร้อยซะ
ผมเริ่มรับรู้ในภายหลังมานี้ว่าผมชอบนั่งโต๊ะ อยู่กับกองเอกสาร มากกว่าลงพื้นที่ห้ำหั่น ซึ่งถึงทำได้ก็คงไม่ดี
จริงๆจะให้เป็นเสนาธิการทหารวางแผนการรบก็ใช่ที่ เพราะผมเองก็ขาดสิ่งที่เรียกว่าไหวพริบ และกลยุทธ์อย่างแรง กว่าจะวางแผนเสร็จคงตายห่ะ กันทั้งกองทัพแล้ว (ตกลงแล้วเป็นไรดีวะเนี่ย เหลือบกองทัพนี่หว่า ฮาๆๆ)
ผมยังคงเชื่อเสมอว่า แม้ภารกิจในแนวรบส่วนใหญ่จะผูกพันและตั้งความหวังไว้ที่เหล่าผู้กล้าทหารราบ “ราชินี” แห่งสนามรบ แต่หากขาดไร้การวางแผนและการสนับสนุนที่ดีของบรรดาเหล่าอื่น ไม่ว่าจะเป็น เหล่าแพทย์ สื่อสาร ปืนใหญ่ ม้า เสนาธิการ หรือแม้แต่พระธรรมนูญ การรบให้ชนะก็คงยากเย็นหรืออาจเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพอื่นไม่ว่าจะเป็น เรือ อากาศ แม้แต่ตำรวจ (โดยเฉพาะต.ช.ด หรือ ตำรวจตระเวนคอนโด เอ๊ย...ตำรวจตระเวนชายแดน) หรือแนวหลังอย่างประชาชน ญาติพี่น้อง พ่อค้า นักธุรกิจ นักการเมือง (ซึ่งทุกคนก็พร้อมจะกลายเป็นกองหนุนจับปืนวิ่งเข้าสนามรบยามถึงคราวจำเป็นเมื่อแนวหน้าลาโลกไปหมด)
ในชีวิตจริงมันไม่มีหรอกครับ ไอ้ทหารเดนตายพวกแรมโบ้ หรือคนเหล็ก คนเดียวตะลุยเดี่ยวถล่มข้าศึกฝ่ายตรงข้ามเป็นร้อยเป็นพัน พร้อมกับเก็บเกี่ยวอารมณ์เป็นปมข้างในทำนองน้อยใจ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครเห็นถึงความสำคัญและความเสียสละที่ตนมีต่อบ้านเมือง ขอกำลังสนับสนุนมันก็ไม่ให้ ขอเครื่องบินมันก็เงียบ ขอปืนใหญ่มันก็ให้หล่อเอง ชะเอิงเงิงเงย
ไอ้พวกนั่งห้องแอร์ สั่งคนให้ไปตาย ตัวเองไม่เคยคิดจะเสี่ยง ไอ้ชาตินก ไอ้ fly a kite ทางปัญญา ไอ้หน้าตั่วเฮีย ไอ้พวกเห็นแก่ตัว ไอ้ ฯลฯ
ผมเชื่อว่าในการรบสมรภูมิหนึ่ง ชัยชนะหาใช่พึ่งพาแต่การปฏิบัติภารกิจของเหล่าทหารราบ ผู้เสียเลือดเสียเนื้อในแนวหน้าไม่
ต่างคนต่างมีบทบาท มีภาระหน้าที่เพื่อนำพากองทัพไปสู่ชัยชนะต่างกัน เสนาธิการนั่งห้องแอร์ยันไอ้เณรพลขับก็มีส่วนรับผิดชอบในการแพ้และชนะในสนามรบเช่นกัน และใช่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีความกล้าหาญ และความสามารถน้อยไปกว่าทหารราบผู้เสี่ยงชีวิตในแนวหน้าแต่อย่างใด
ความแตกต่างในธรรมชาติของการทำหน้าที่จึงมิใช่ข้ออ้างในการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน ในสนามรบ จะเรียกร้องให้ทหารราบที่ต้องพบเห็นและต้องทักทายความตายอยู่ตลอดวินาที ต้องกระทำตนอย่างสุภาพ เวลาสั่งการอย่าตะโกนอย่าตะคอก อย่าดุด่า อย่าออกคำสั่ง ให้ขอความร่วมมือก็คงเป็นไปไม่ได้
การรู้จักบทบาทหน้าที่ และกาลเทศะ จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะอยู่ในสนามรบหรือสนามรัก (แหว่ะ อ้วก)
ผมเชื่อว่าในจุดมุ่งหมายเดียวกัน หลายคนมีแนวคิด มีวิถีทางที่ต่างกัน
และในความเป็น “ทหาร” และ “เลือด” “ชีวิต” “จิตใจ” แห่งความเป็นทหาร แม้จะอยู่เหล่าไหน แต่หากจำเป็นและถึงเวลาทุกคนก็พร้อมแปลงสภาพ จากหมอ นักกฎหมาย นักสื่อสาร นักยิงปืนใหญ่ นักบิน กัปตันเรือ ก็กลายเป็นทหารราบจับปืนวิ่งสู่แนวหน้าเช่นได้เช่นกันครับ
หนทางสู่ชัยชนะในสนามรบ หาใช่จำกัดอยู่เพียงภารกิจของทหารราบฉันใด
เส้นทางสู่ความรักชาติ ก็หาใช่ผูกขาดเพียงเส้นทางเดียวฉันนั้น