Monday, November 28, 2005

ลมหวน

ราว ๒๕๐๐ ปีก่อน นักปราชญ์ชาวเอเฟซุส ในเอเชียไมเนอร์ นามว่า “เฮราคลิตัส” ได้กล่าวไว้ว่า “ทุกอย่างเลื่อนไหล ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถก้าวลงไปในแม่น้ำสายเดียวกันได้สองครั้ง เพราะเมื่อฉันเดินลงไปในแม่น้ำนั้นเป็นครั้งที่สอง ทั้งตัวฉันและแม่น้ำก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว”

นักปราชญ์ตัวเล็กๆชื่อเสียงน้อยๆคนนี้ อาจจะเทียบไม่ได้กับปราชญ์ในยุคภูมิปัญญากรีกอีกหลายต่อหลายคน อย่างน้อยก็ในแง่ความขจรขจายของชื่อเสียงที่ผ่านพ้นกาลเวลาและสถานที่ แต่เขาคนนี้พร้อมประโยคทองข้างต้น ได้ผ่านเข้ามาในหัวของผมและยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหายไป เป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว นับแต่วันที่ผมได้เรียนวิชาสหวิทยาการสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา ในชั้นปีที่หนึ่ง วิชาที่ใครต่อใครหลายคนเบือนหน้าหนี เพราะไม่เห็นว่ามันจะสร้างคุณูประโยชน์อะไรต่อการทำความเข้าใจในแขนงความรู้ที่ตนเองร่ำเรียนอยู่

สำหรับผมแล้ววิชานี้กลับเป็นวิชาที่ผมประทับใจที่สุด และคิดว่าคุ้มค่าที่สุดในชีวิตการเรียนชั้นปีที่หนึ่ง มันได้สร้างแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือ และได้นำพาให้พบเจอหนังสือเล่มโปรดเล่มแรกๆในชีวิตของผมด้วย นั่นคือ “โลกของโซฟี” ของ โยสไตน์ กอร์เดอร์ เล่มหนาปึ้ก

สายน้ำของเฮราคลิตัส ก็คงคล้าย “สายลม” ที่พัดผ่านเราไปวูบแล้ววูบเล่า

“เหมือนสายลมพัดผ่านมาหน้าบ้าน
พัดเพียงผ่านลมเย็นเย็นใบไม้ไหว
เพียงพัดโชยผ่านมาแล้วก็ไป
แต่หัวใจยังสัมผัสถึงสายลม”

ประมาณ “ผ่านพบไม่ผูกพัน” เหมือนที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ให้กำเนิดไว้

แต่ลมหนาวหนนี้ (แม้จะไม่มากและไม่นานเหมือนเคยตามประสากรุงเทพเมืองฟ้าอมร) ได้พัดผ่านมาพร้อมๆกับนำความทรงจำครั้งเก่าก่อนกลับมาปะทะผิวกายและหัวใจของผมอย่างพิเศษ แม้ระยะเวลาจะผ่านพ้นมาแล้วเนิ่นนาน และแม้ช่วงระยะเวลาการก่อกำเนิดเหตุการณ์แห่งความทรงจำมันจะสั้นเหลือเกิน แต่น่าประหลาดใจที่มันยังลอยเด่นอยู่ในกล่องบันทึกความทรงจำของผมอย่างไม่รู้ลืม

ลมเพียงวูบเดียวก็สามารถดึงย้อนภาพกลับมาให้ระลึกอีกครั้งอย่างชัดเจน

หากมีคนถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะยังยินยอมนำใบหน้าไปปะทะลมหนาววูบนั้นอยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อมันได้สร้างรอยแผลให้กับผิวกายและหัวใจของผมพอสมควร หรือผมจะเลือกหลบลมอยู่ในห้องอุดอู้พร้อมนอนคลุมโปงด้วยผ้าห่มอุ่นหนากันแน่

ผมก็คงจะตอบกลับไปว่า ผมยังยินดีที่จะนำใบหน้าไปรองรับลมหนาววูบนั้นอยู่ดี แม้จะรับรู้ผลแห่งความไม่เจียมที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำครานั้นแล้วก็ตาม ที่ผมตอบเช่นนี้ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่ามันไม่มีทางย้อนกลับไปได้หรอกครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

อย่างน้อยลมหนาววูบนั้นก็ได้สอนให้ผมเรียนรู้วิธีที่จะรับลมหนาววูบต่อๆไป โดยไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัว (มากเกินไปนัก) ทั้งนี้ยังไม่นับความเย็นเยียบเหยียบหัวใจของมัน ที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์หน้าหนาวอีกประการด้วยนะครับ

หนาวหนนี้ ลมวูบเดิมพัดหวนมาปะทะใบหน้าของผมอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปเนิ่นนานหลายปี แม้จะมีปริมาณและขนาดที่เล็กและเบากว่าเดิมมาก แต่ความทรงจำของผมยังสัมผัสมันได้ขึ้นใจ มาหนนี้ไม่ได้สร้างรอยแผลใหม่ อีกทั้งไม่มีทางเปิดรอยแผลเก่าที่จางหายแทบไม่เหลือรอยได้อีก กลับมีแต่รอยยิ้มและความทรงจำที่ดี ยามย้อนนึกถึงคราแรกที่ได้สัมผัส

เพราะผมรู้ว่าไม่นานมันก็จะพัดผ่านไป และที่สำคัญ

มันไม่ใช่ลมวูบเดิมอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับตัวผมที่ไม่ใช่คนเดิมเช่นกัน

Sunday, November 27, 2005

เคล็ดลับหน้าหนาว

เมื่อย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว หลายท่านอาจประสบปัญหาหลากประการ ไม่ว่าจะปากแตก ผิวแห้ง นอนไม่อยากลุก และที่สำคัญ

ไม่อยากอาบน้ำ

โดยเฉพาะท่านที่ยังใช้บริการ "อาบขัน" ไม่มีฝักบัว ไม่มีอ่างอาบน้ำ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นใดๆ

เขาว่ากันว่า "น้ำที่ตักมาอาบขันแรกมักจะสร้างความเหน็บหนาวมากกว่าขันอื่นๆเสมอ" ลองมากับตัวก็เชื่อว่าจริงครับ

ความเย็นเยียบที่โดยสารมากับสายน้ำ แวะมาเยี่ยมเยียน อาบลาบไล้ บนผิวหนัง ในเพลาเช้าตรู่ในหน้าหนาวนั้น แสนสะท้านยิ่งหนัก

ผมมีเคล็ดลับในการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ท่านครับ

ไม่ยากครับ

วิธีของผมก็คือ

ในเมื่อน้ำขันแรกมันสร้างความเหน็บหนาวผิวกายให้ท่านมากที่สุดแล้ว ทางแก้ก็คือ ท่านควรบรรจงตักน้ำขันแรกขึ้นมา พร้อมกับ

เทมันทิ้งไปซะ จากนั้นท่านก็ค่อยๆบรรจงตักขันที่สองมาราดใส่ตัวท่าน

เพียงเท่านี้ ท่านก็สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้อย่างชะงัด

ลองไปทำดูครับ

ไม่พอใจยินดีให้ทำใหม่ จนกว่าจะพอใจ

Thursday, November 24, 2005

เด็กน้อยในโรงงานใหญ่


เด็กน้อยคนหนึ่งมีโอกาสในชีวิตได้ก้าวย่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานใหญ่ แม้จะไม่ใหญ่โตมากมาย แต่ถ้าเทียบกับที่ที่เด็กน้อยเคยอยู่ มันก็นับว่าใหญ่ทีเดียว

โดยโรงงานแห่งนี้มีอายุยาวนานกว่าปู่ของเด็กน้อยเสียอีก ซึ่งก็นับว่าเป็นโรงงานที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของหมู่บ้านทีเดียว

ผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งที่อยู่มาก่อนนมนาน และเพิ่งทยอยเข้ามาพร้อมๆกันบ้างยิ้มแย้ม บ้างเคร่งขรึม

เด็กน้อยค้นพบว่าตัวเองยิ่งดูตัวเล็กลงกว่าที่เคยเป็น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่เลย

หมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิดของเด็กน้อยนั้น เด็กๆทุกคนต้องทำงานกันหมดใครไม่มีงานทำหรือนั่งนอนอยู่เฉยๆมักถูกต่อว่าจากบรรดาผู้ใหญ่

ดังนั้นเด็กเกือบทุกคนในหมู่บ้าน จึงเร่งที่จะขวนขวายหางานทำทันทีหลังจากที่เริ่มอ่านออกเขียนได้ และเรียนรู้พอสมควรกับสิ่งที่เรียกว่า “เงิน”

อาจจะเป็นเพราะเด็กหลายคนอยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ

และการทำงานนั้นก็แสดงออกถึงความเป็นผู้ใหญ่

ทำไมถึงอยากเป็นผู้ใหญ่กันนักนะ

เด็กน้อยก็เหมือนกับเพื่อนๆ แม้ว่าก่อนหน้านั้น เขายังมีความสุขอยู่กับการนั่งเรียนรู้ อ่านหนังสือ และหัดเขียน หัดอ่านอยู่ที่บ้านก็ตาม แต่เมื่อเวลามาถึง เด็กน้อยก็รู้ว่า เขาไม่อาจทำในสิ่งที่อยากทำได้ตลอดไป

แต่การตัดสินใจทิ้งวิถีเดิมๆ ด้วยสติปัญญาในวัยเพียงเท่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

แล้วเด็กน้อยก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานใหญ่แห่งนี้อาจจะด้วยโชคชะตาหรือความบังเอิญก็ได้ เพราะเขาจะไม่มีวันรู้ว่าโรงงานแห่งนี้เปิดรับสมัครคนงานใหม่ หากพี่คนหนึ่งในหมู่บ้านไม่นำข่าวมาบอก

ในวันที่มาสมัคร เด็กน้อยจำได้ว่า เป็นวันที่ฟ้าครึ้ม และมีฝนตกเกือบทั้งวันด้วยจำนวนคนเรือนแสนทำให้เด็กน้อย เริ่มประหวั่นและถอดใจ แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยอัธยาศัยและความมีน้ำใจของบรรดาพี่ๆคนงานที่มาทำหน้าที่รับสมัคร ทำให้เด็กน้อยเกิดความประทับใจในโรงงานแห่งนี้

ยิ่งเมื่อเด็กน้อยรู้จากผู้ใหญ่ในหมู่บ้านว่าโรงงานแห่งนี้กำลังมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีการแปรรูปกิจการที่น่าจะทำให้โรงงานมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น ก็ทำให้เด็กน้อยยอมอดทนยืนรอคิวต่อไป กระทั่งได้สมัคร และนั่งรอผลด้วยใจจดจ่อ

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกเหมือนกันที่เห็นคนแห่กันมาสมัครงานเป็นคนงานในโรงงานแห่งนี้ เนื่องจากหากจะพิจารณาขนาดของโรงงานก็ไม่ใช่ว่าจะใหญ่โต หรูหราทันสมัย และยิ่งเมื่อดูจากค่าตอบแทนแล้วล่ะก็มันน้อยนิดเหลือเกินถ้าเทียบกับ บรรดาโรงงานที่ตั้งอยู่อีกฟากของหมู่บ้าน

คนงานของโรงงานพวกนั้น แต่งตัวดี พูดจาฟังยาก โดยเฉพาะโรงงานที่มีเจ้าของหน้าตา สีผม และสีผิวที่แตกต่างจากคนในหมู่บ้าน

อีกอย่าง โรงงานแห่งนี้เป็นแค่เพียงสาขาย่อยๆ ในบรรดาเครือข่ายที่ไพศาล และไม่เป็นที่รู้จักนัก เพราะอยู่ในซอกหลืบที่คับแคบและแออัด

บรรดาเครื่องจักรก็คร่ำครึ ตึกรามอาคารก็เก่าร้าว

แต่ด้วยอนาคตที่โรงงานแห่งนี้จะเป็นไป ประกอบกับสถานะของโรงงานที่เปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนเจ้าของโรงงานใหม่ พร้อมทั้งแผนในการปรับปรุงการทำงานของคนงาน แน่นอนรวมทั้งเงินเดือนค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นด้วย (แต่ถ้าจะเทียบกับโรงงานฟากโน้นก็ยังน้อยนิดอยู่ดี) ก็เป็นสิ่งจูงใจให้เด็กน้อย (และเชื่อว่าคนอื่นๆด้วย) อยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าที่โรงงานแห่งนี้ผลิต มันช่างแปลกตาเหลือเกิน คนในโรงงานล้วนเรียกมันว่า “เม็ดอมแห่งความประหยัด” ใครก็ตามที่อมเม็ดอมนี้แล้ว จะรู้คุณค่าของเงินและทรัพย์สิน และจะใช้มันอย่างอดออมและคุ้มค่า

แน่นอนชาวบ้านหลายคนชื่นชอบกับผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ แต่หลายคนกลับไม่ โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารหมู่บ้าน ผู้กุมอำนาจในการใช้จ่ายเงินกองกลางของหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่โรงงานแห่งนี้จะถูกทิ้งขว้างและไม่ได้รับการพัฒนา เหมือนสาขาอื่นๆ

ไม่ง่ายเลยกว่าคนในหมู่บ้านจะร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารหมู่บ้านยอมรับ และยินยอมให้ตั้งโรงงานผลิตเม็ดอมแห่งความประหยัดขึ้น ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเล็งเห็นแล้วว่าเงินกองกลางที่ทุกคนร่วมกันลงขันเก็บออมให้คณะกรรมการบริหารหมู่บ้านนั้นไม่ได้ถูกใช้จ่ายอย่างที่ถูกที่ควรและประหยัด ไม่นับรวมการฉ้อโกง มุบมิบนำไปใช้สอยส่วนตัวของกรรมการบริหารหมู่บ้านบางคน รวมไปถึงญาติพี่น้องของหมอนั่นด้วย

วันแรกของเด็กน้อยในฐานะคนงานใหม่ ยังเงอะงะ และไม่รู้งานดีนัก เด็กน้อยต้องเรียนรู้อีกมากหากจะผลิตเม็ดอมแห่งความประหยัดที่มีคุณภาพสักเม็ดหนึ่ง

เด็กน้อยเพิ่งรู้ว่า ในการผลิตเม็ดอมแห่งความประหยัดเม็ดเล็กๆนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระบวนการผลิตมีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนยุ่งยาก และต้องอาศัยคนงานหลายคนแบ่งเป็นหลากหลายหน้าที่

สูตรในการผลิตแต่ละเม็ดนั้นก็มีความแตกต่างกันอีกต่างหาก

ใช่ แต่ละเม็ดรสชาติไม่เหมือนกัน แม้จะคล้ายกัน ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ผลิตไม่เหมือนกันนั่นเอง บางเม็ดก็ผลิตยาก บางเม็ดก็ง่าย วัตถุดิบบางอย่างก็หายาก บางอย่างก็หาง่าย อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของพี่คนงานที่รับผิดชอบในการแสวงหาวัตถุดิบนั้นๆด้วย

ซึ่งนั่นเป็นงานที่เกินความสามารถของเด็กน้อยคนนี้ไปสักหน่อย เพราะต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญสูง

เด็กน้อยจึงถูกส่งไปเริ่มเรียนรู้งานในแผนกประดิษฐ์เครื่องมือค้นหาวัตถุดิบแทน โดยเริ่มงานเป็นผู้ช่วยพี่ๆในการค้นคว้าและประดิษฐ์เครื่องมือที่จะทำให้การค้นหาวัตถุดิบมีประสิทธิภาพมากขึ้นในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นที่เข้ามาพร้อมกัน ได้กระจายไปอยู่ตามแผนกต่างๆของโรงงาน บ้างก็เป็นลูกมือ ช่วยพี่ๆออกหาวัตถุดิบ บ้างก็เป็นลูกมือช่วยพี่ๆซ่อมแซมเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิต โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของคนใหม่ต้องการปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยมากขึ้น รวมไปถึงการค้นคว้า ค้นหาวัตถุดิบใหม่ๆด้วย

แต่ก็นั่นอีกแหล่ะ ด้วยความอ่อนด้อยในประสบการณ์และความไม่เคยลงสนามค้นหาวัตถุดิบกับเขา เด็กน้อยก็ยังมองภาพเครื่องมือในฝันไม่ออก ก็ได้แต่หยิบจับชิ้นส่วนอะไหล่ตามแต่พี่ๆจะสั่ง

แม้โรงงานแห่งนี้จะมีแผนในการพัฒนารูปแบบการผลิตใหม่ๆ จัดวางแผนกใหม่ รวมทั้งฝึกอบรมคนงานเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถในการผลิตมากขึ้น แต่วัฒนธรรมการทำงานเก่าๆ วิธีคิดวิธีมองปัญหาแบบเก่าๆสมัยอดีตยังฝักแน่นหยั่งรากลึกในตัวคนงานของโรงงานแห่งนี้อยู่มาก จนบางครั้งเด็กน้อยก็ไม่เข้าใจ

หลายคนวิจารณ์การทำงานของโรงงานแห่งนี้ (น่าจะรวมถึงสาขาอื่นๆด้วยนะ) ว่าเชื่องช้า อืดอาดไม่ทันใจ และน่าเบื่อ เมื่อเด็กน้อยเริ่มงานใหม่ๆ ก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันแต่เมื่อเวลาผ่านไปเด็กน้อยก็เริ่มเรียนรู้อะไรมากขึ้น

ของบางอย่างต้องใช้เวลา กำหนดเวลาในแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญไม่น้อยต่อคุณภาพของเม็ดอมอันแสนวิเศษนั้น การทำอะไรเร็วไปก็ไม่ใช่ว่าจะส่งผลดีเสมอไป แน่นอนหมายถึงช้าด้วยนั่นแหล่ะ

ความละเอียดรอบคอบมีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตอย่างยิ่ง เม็ดอมที่ไร้คุณภาพนอกจากจะไม่ส่งผลตามที่ควรจะเป็นแล้ว อาจมีผลข้างเคียงต่อความปลอดภัยของร่างกายผู้บริโภคด้วย

และการทำงานที่เร็วไป มากไป ในแผนกหนึ่ง อาจส่งผลข้างเคียงที่เลวร้ายต่องานในอีกแผนกหนึ่งก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมองภาพโครงข่ายอันสลับซับซ้อนหลากหลายที่โรงงานแห่งนี้เป็นส่วนเล็กๆประกอบอยู่ด้วย

แม้ว่าวิถีดังกล่าวอาจจะลดความอยากรู้อยากเห็นและความกระตือรือร้นของเด็กน้อยลงไปบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีคุณค่าทดแทนกัน

เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะทำงานกับคนอื่นมากขึ้น (และนับเป็นโชคดีของเด็กน้อยอย่างแท้จริงที่พี่ๆในแผนกล้วนแต่ใจดี พร้อมจะช่วยเหลือสั่งสอน ตักเตือน บางครั้งก็ซื้อขนมและของเล่นมาฝากเด็กน้อยอยู่บ่อยๆ รวมถึงเพื่อนๆที่เข้ามาพร้อมๆกันด้วย มิตรจิตมิตรใจยังเป็นสิ่งที่เด็กน้อยเก็บเกี่ยวได้เสมอในโรงงานแห่งนี้ โดยเฉพาะแผนกที่เด็กน้อยทำงานอยู่)

เด็กน้อยเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า “ลำดับขั้นตอน” รวมทั้งการเคารพ เชื่อฟังคำสั่งสอนของพี่ๆ ซึ่งบางคนอายุคราวลุงและป้าของเด็กน้อยแล้ว แต่ก็ยังพึงพอใจที่จะให้เด็กน้อยเรียกตัวเองว่าพี่อยู่

เด็กน้อยเรียนรู้ถึงคุณประโยชน์ของการใช้จ่ายเงินที่ถูกต้อง และเหมาะสมมากขึ้น โดยเฉพาะเงินกองกลางของหมู่บ้าน โดยเชื่อว่าหากเงินกองกลางของหมู่บ้านถูกใช้จ่ายด้วยความประหยัดและฉลาดแล้วล่ะก็ หมู่บ้านของเด็กน้อยคงเจริญไม่แพ้หมู่บ้านอื่นๆอย่างแน่นอน และชาวบ้านในหมู่บ้านคงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องนั่งงอมืองอเท้า รอรับเศษเงินและของบริจาคที่คณะกรรมการบริหารหมู่บ้านจะแจกในงานโรงทานประจำปี (หลังๆเริ่มแจกเป็นรายเดือนรายวันแล้ว)

และแม้จะมีหลายคนวิจารณ์โรงงานแห่งนี้ว่า จ่ายค่าตอบแทนให้คนงานน้อยเหลือเกิน แต่เมื่อเทียบกับสาขาอื่นๆ รายได้เท่านี้ก็นับว่างามอยู่เหมือนกัน อีกทั้งถ้าใช้อย่างประหยัดแล้ว ก็พออยู่ได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพทีเดียวล่ะ และมากกว่านั้น งานที่ไม่หนักจนเกินไปนักของโรงงานแห่งนี้ ยังพอทำให้เด็กน้อยใช้เวลาหลังเลิกงานหรือวันหยุดทำงาน ไปอ่านหนังสือ วิ่งเล่นกับเพื่อน และเรียนรู้สิ่งรอบตัว ทำสิ่งที่อยากทำได้อีก ถ้าตีค่าสิ่งเหล่านี้เป็นเงินได้ล่ะก็ รายได้ต่อเดือนของเด็กน้อยก็คงไม่แพ้พวกคนงานฟากโน้นเลยทีเดียว

จากวันแรกจนถึงวันนี้ นับได้เป็นเวลาสองปีเต็มที่เด็กน้อยได้เข้ามาเป็นคนงานในโรงงานแห่งนี้ เขาเติบโตขึ้นพร้อมวันเวลา และประสบการณ์ในโรงงานที่มีมากขึ้น ณ วันนี้เขาจึงไม่ใช่คนงานใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังต้องเรียนรู้ต่อไป อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยที่จะออกไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบมาผลิตเม็ดอมวิเศษกับเขาสักที

แม้เด็กน้อยจะรู้สึกว่า โรงงานแห่งนี้คงไม่ใช่ที่สุดท้ายในชีวิตการทำงานของเขา และคาดว่าอีกไม่นานเขาอาจจะต้องเดินจากโรงงานแห่งนี้ไป แล้วเก็บทุกอย่างไว้ในความทรงจำ แต่อย่างน้อยการมีโอกาสทำงานในโรงงานแห่งนี้ คงจะทำให้ก้าวต่อไปของเด็กน้อย มั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น

ในวันข้างหน้าเด็กน้อยคาดหวังว่า โรงงานแห่งนี้จะเติบโต ขยายกิจการต่อไป ในแบบที่มันควรจะเป็น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในวันหนึ่งเด็กน้อยหวังว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน จะตระหนักและมีนิสัยแห่งความประหยัดได้เองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดอมแห่งความประหยัดอีกต่อไป โดยเฉพาะบรรดากรรมการบริหารหมู่บ้านทั้งหลาย

และเชื่อว่าถ้าเป็นได้อย่างที่ฝัน แม้จะทำให้คนงานในโรงงานนี้มีงานทำน้อยลง หรือถึงขนาดต้องปิดกิจการไปเลย ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีไ

ม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เด็กน้อยคนนี้จะคอยเฝ้ามองความเจริญก้าวหน้าและความเป็นไปของโรงงานแห่งนี้เสมอ ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนตำบลใด

ในโอกาสครบรอบสองปีในชีวิตราชการ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

Sunday, November 13, 2005

ข้อจำกัด


ผมเชื่อเสมอว่าเราทุกคนต่างมีข้อจำกัดในตัวเอง จะแตกต่างกันก็เพียงรูปแบบและปริมาณมากน้อยเท่านั้น

ความสามารถหรือศักยภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้าค้นหาและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นทำให้หลายคนละเลยที่จะเรียนรู้จุดอ่อน หรือข้อจำกัดของตัวเอง

นอกจากศักยภาพในตัวเองแล้ว การจัดการข้อจำกัดของตัวเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ เพราะบางคนแม้มีศักยภาพในการเรียนรู้ในตัวเองสูง แต่กลับมีข้อจำกัดมากมาย หรือไม่รู้จักวิธีการที่จะนำเอาศักยภาพนั้นออกมาใช้ได้ทั้งหมด ก็ย่อมไม่ต่างจากบางคนที่มีศักยภาพในตัวเองน้อยสักหน่อย แต่กลับเรียนรู้วิธีการนำสิ่งที่ตนเองออกมาใช้ได้เป็นอย่างดี

หรืออาจกล่าวได้ว่าในฉากด้านหนึ่งของคำว่า “ศักยภาพ” ก็คือ “ข้อจำกัด” นั่นเอง
ถ้าวัดกันที่ศักยภาพแล้ว ผมไม่ใช่คนหัวดี หรือมีหน่วยความจำและประมวลผลเป็นเลิศ หยิบจับอะไรแล้วมองเห็นภาพทะลุปรุโปร่ง ซ้ำร้ายกว่านั้น ผมเป็นคนเฉื่อย เอื่อย ไร้จังหวะ เรียกกันง่ายๆว่าเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนทำอะไรได้ทีละอย่าง ไม่สามารถทำอะไรหลายๆอย่างหลายๆมือได้พร้อมกัน ถึงทำได้ผลที่ออกมาก็ไม่ดี ผมเป็นคนขาดไหวพริบ และปฏิภาณอย่างแรง ดังนั้นงานที่ต้องทำแข่งกับเวลา และต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงไม่ใช่สิ่งแรกที่ผมจะเลือกทำ

ผมเป็นคนไม่กล้า เรียกได้ว่าขี้ขลาดทางวิชาการ เป็นคนปากหนักขี้เกรงใจ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่คุ้นเคย และยิ่งหนักข้อหากบุคคลเหล่านั้นมีกำแพงทางสถานะทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิที่แตกต่างจากผมมาก เรียกได้ว่าเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เป็น

ผมเป็นคนไม่สม่ำเสมอ บทจะดีก็ดีใจหาย บทจะร้ายก็ร้ายขาดใจ จนบางครั้งก็รู้สึกสงสัยในตัวเองเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ค่อนข้างจะออกไปทางร้ายมากกว่าดี แสดงออกเป็นหลักฐานชัดเจนในงานที่ผมทำ ผมมักจะนั่งทอดรอเวลาจนกระทั่งจวนเจียนเสมอ เรียกได้ว่าเป็นพวกผลัดวันประกันพรุ่งชั้นยอดคนหนึ่งเลยทีเดียว

ผมเป็นคนทำอะไรซ้ำๆเดิมๆ ไม่ค่อยแสวงหาอะไรใหม่ๆ ไม่ทะเยอทะยาน เป็นคนคิดไม่กว้าง เรียกได้ว่าเป็นคนน่าเบื่อคนหนึ่ง หลายคนทำหน้าไม่เชื่อเพราะเห็นผมเป็นคนสนุกสนานพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ แต่ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเคยทำสถิติไม่ออกจากบ้านเลย แม้กระทั่งบริเวณรั้วบ้านได้สามถึงสี่วันโดยไม่อนาทรร้อนใจอันใด ไม่อยากแม้กระทั่งออกไปซื้ออาหารมาประทังชีวิต ยอมกลืนฝีมือห่วยๆของตัวเอง กับสิ่งที่แม้กระทั่งจะเรียกว่า “อาหาร” ก็ยังไม่สะดวกปากนัก และไอ้ที่ต้องออกจากบ้านทำให้สถิติผมไม่ทอดยาวต่อไปก็เพราะภาระหน้าที่บีบบังคับ มิฉะนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีอยู่ต่อไปอีกกี่วัน ส่วนที่อยู่กรรมบำเพ็ญพรตนี่ก็ไม่ใช่ว่ามีภาระหน้าที่หนักหนาอะไรนะครับ นอนครับ นอน นอนกับดูทีวี แค่นั้นจริงๆ

จังหวะการเรียนรู้ของผมยิ่งแล้วใหญ่ ผมเป็นคนมีจังหวะการเรียนรู้ที่ช้า ช้า ช้า ช้ามากๆ กว่าจะเข้าใจอะไรที ยากและนาน ก็อย่างที่ผมว่า ผมเป็นคนมีไหวพริบและปฏิภาณให้ใช้อย่างจำกัดนั่นแหล่ะ หากเห็นหากจับอะไรเพียงครึ่งๆกลางๆผมจะไม่มีวันต่อภาพมันได้ทั้งหมด แถมยังเรียนลัดข้ามขั้นตอนกับเขาไม่เป็นและไม่ได้ผล ไม่น่าแปลกใจที่วัยเยาว์ของผมแม้จะตระเวนเรียนโรงเรียนประเภทกวดวิชามาอย่างร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ผลที่ได้รับกลับมาเรียกได้ว่า “ขาดทุน” ย่อยยับ

แต่ถ้าวัดกันที่มุมของข้อจำกัด ผมจัดได้ว่าเป็นคนโชคดีคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เพราะว่าผมมีข้อจำกัดในตัวเองน้อยแต่อย่างใดนะครับ ตรงกันข้าม ข้อจำกัดในการเรียนรู้ของผมกลับมหาศาล ทั้งขนาดและปริมาณ(ก็ไอ้ห้าหกย่อหน้าข้างบนนั่นแหล่ะ) ผมโชคดีเพราะตั้งแต่เด็กยันโต ผมไม่เคยต้องเสียเวลา “ค้นหาตัวเอง” (ตามภาษาของเด็กแนวทุกวันนี้) หรือถ้าต้องเสียเวลาค้นหา ก็มักจะไม่ช้านานจนเกินแกง

นอกจากนั้น ชีวิตการเดินทางตามอนาคตของผมมักมีทางแยกให้ต้องเลือกเดินเสมอ และคงเหมือนใครหลายคน เบื้องแรกเราคงสับสนและไม่รู้จะเลือกทางไหน มองไปทางใดก็มักเห็นดีเห็นงามอยู่เสมอ ผมจึงค้นพบว่าการที่เรามีทางให้เลือกมากเกินไปก็ทำให้เราทุกข์พอๆกับเมื่อเราไม่มีทางให้เดินเหมือนกัน

แม้จะสับสนงุนงง เลือกไม่ถูก แต่เชื่อเถิดครับว่าเมื่อเวลาผ่านไป พร้อมๆกับระยะระหว่างเรากับทางแยกนั้นใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ ไอ้ทางที่จะต้องเลือกมันจะค่อยๆตีบตันไปเอง จนกระทั่งเหลือเพียงทางที่เราต้องเดิน ชีวิตผมเองก็เป็นเช่นนี้เสมอ จนผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วในชีวิตหนึ่งของเรา เราเป็นฝ่าย “เลือก” ได้มากน้อยสักแค่ไหน หรือแท้จริงแล้วเรามีหน้าที่แค่เดินไปตามทางที่เปิดไว้สำหรับเราเท่านั้น โดยไม่มีสิทธิที่จะเลือกกันแน่

ยามมองและคิดย้อนกลับไปอดสงสัยไม่ได้ว่า หากผมเลือกฝืนที่จะเดินอีกทางป่านนี้ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร แม้จะตอบไม่ได้ว่าจะดีหรือแย่กว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่ แต่ในเมื่อทุกวันนี้ผมมีความสุขตามสมควรแล้ว จะดีหรือแย่กว่าย่อมไม่สลักสำคัญอะไรอีกต่อไป

กลับมาที่ข้อจำกัดของผมเอง แม้ผมจะเป็นนิยามว่าตัวเองโชคดีที่ค่อนข้างเรียนรู้และรู้จักตัวเองดีพอสมควรทั้งในด้านของศักยภาพและข้อจำกัดก็ตาม แต่มันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โภคผลใดๆหากผมจะรู้และนอนกอดมันไว้อย่างนั้น แต่ครั้นจะให้ผมปีนกำแพงแห่งข้อจำกัดของตัวเองทีละด่านสองด่าน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งนั่นก็เพราะข้อจำกัดของผมเองอีกนั่นแหล่ะครับ งูกินหางอยู่อย่างนี้ สภาวะแวดล้อม ผู้คนรอบข้าง และสถานการณ์จึงจำเป็นสำหรับผมมากๆ ในการที่ผมจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง

หลายคนถามผมว่า เมื่อไหร่ผมจะศึกษาต่อระดับปริญญาเอก พุทโธ่ อยากใจจะขาดครับ เพราะผมมาค้นพบตัวเองอีกข้อหนึ่งคือ อาชีพที่ผมเหมาะที่จะประกอบที่สุดก็คือนักศึกษานี่แหล่ะครับ มีที่ไหนจ้างเรียนบอกผมทีครับ ทั้งนี้ก็ด้วยข้อจำกัดที่ผมไม่ใช่เป็นนักปฏิบัติที่ดีปฏิบัติที่ชอบนั่นเองครับ

แต่ผมตระหนักได้ว่า หากผมเริ่มเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่เมืองไหแลนด์แห่งนี้ ไม่มีวันที่ผมจะสำเร็จการศึกษาได้อย่างแน่แท้ครับ ไม่ใช่ที่ไหแลนด์มีมาตรฐานการศึกษาที่ไม่ดีนะครับ แต่เป็นเพราะสภาวะแวดล้อมของไหแลนด์ มันเอื้อต่อการเพาะเชื้อให้ข้อจำกัดของผมมันเจริญงอกงามยิ่งนักครับ (ลำพังปริญญาโทที่ได้มายังสาดกระจาย เลือดสาดกระจาย)

หลายคนตบเข่าฉาด งั้นผมก็ควรไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา แหงแซะครับ แต่การไปศึกษาต่อเมืองนอกหาใช่การไปลอยกระทงริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ มันไม่ได้อย่างใจคิดหรอกครับ ผมเชื่อว่าคนเรามันขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะ นอกเหนือจากความพร้อมและศักยภาพ (นัยหนึ่งคือข้อจำกัด) แล้วยิ่งมนุษย์พันธุ์อย่างผมที่แม้จะออกไปเดินนอกรั้วบ้านยังต้องเข็นต้องดันเสียขนาดนี้ ไม่ใช่ของง่ายเลยครับ

แต่ผมก็ยังเชื่อในย่อหน้าบนๆเช่นเดิม ว่าผมเป็นคนโชคดี (ฮ่าๆ ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง) ผมเชื่อว่าทางเดินมันมีอยู่ของมันอย่างนั้น สายตาและสมองเรานี่แหล่ะจะคิดจะมองเห็นมันหรือไม่ (แต่คนอย่างผมจะมองจะคิดได้ต้องอาศัยโชควาสนาและคนรอบข้างสนับสนุนอย่างแรง)

เมื่อวานถือเป็นวาสนาอันลอยอยู่บนความบังเอิญของผมอีกครั้งหนึ่ง ปกติทุกวันเสาร์บิดรมารดาของผมต้องมีเวรเข้าเฝ้าคุณยายที่บ้านน้าสาวเป็นประจำสม่ำเสมอ และน้องสาว (ลูกลุง) ของผมมีธุระปะปังต้องนำของชิ้นหนึ่งมาให้ผม ซึ่งไอ้ผมก็อย่างเคยขี้เกียจออก จึงบอกให้เธอนำเอาของสิ่งนั้นฝากผ่านมาทางคุณพ่อคุณแม่ผมก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะทำตัวเป็นลูกที่ดีนอนรอรับอยู่ที่บ้าน แต่แล้วเมื่อถึงกำหนดนัด คุณแม่ของผมป่วยเป็นหวัดเนื่องจากอิทธิพลความปรวนแปรของอากาศเมืองไหแลนด์ ประกอบกับคุณพ่อก็ติดธุระอยู่ต่างจังหวัด ถึงคราวกระผมต้องแงะตัวเองออกไปรับลมรับแดดเองเสียแล้ว

ด้วยความเกรงใจเมื่อทราบว่าคุณน้องต้องไปทำธุระที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ผมเลยนัดเจอเธอที่โน่นเลยแล้วกัน ไม่ต้องให้เธอเดินทางย้อนไปย้อนมา เมื่อถึงหน้างานถึงเพิ่งทราบว่า ศูนย์ประชุมฯ วันนี้รับภาระหน้าเสื่อในการเป็นสถานที่จัดงาน EIGHT GERMAN TECHNOLOGY SYMPOSIUM & EXHIBITION ซึ่งดูตามวันปฏิทินวันที่ผมไปเหยียบนั่นเป็นวันสุดท้ายแล้ว ในงานนอกจากจะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรำลึก 140 ปีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเยอรมัน รวมทั้งการออกบูธแสดงความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว ยังมีนิทรรศการการศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมันอีกด้วย

ด้วยความสนใจในระบบกฎหมายและการศึกษากฎหมายของเยอรมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมจึงลากสังขารเดินเที่ยวชมพร้อมกับเก็บข้อมูลผ่านแผ่นพับและหนังสือแนะนำซึ่งก็ได้มาพอสมควร และนอกจากนั้นผมยังได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังบรรดาพี่ๆนักเรียนเก่าเยอรมันมาบอกเล่าประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้ชีวิตยู่ ณ เมืองเบียร์อีกด้วย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และได้มุมมองพร้อมกับกระพือไฟในตัวได้พอสมควรครับ

นอกจากนั้นยังนึกขอบคุณในโชคชะตาอีกต่างหาก (ทั้งที่ก่อนหน้านั้นนึกน้อยใจและโทษมันอยู่เนืองๆ) ที่ได้สร้างพันธะผูกพันตัวผมให้ไปไหนจากไหแลนด์ไม่ได้เป็นเวลาอย่างน้อยอีกเกือบสามปี เพราะผมตระหนักรู้ว่า หากผมบินเดี่ยวไปเรียนต่อตอนนี้ (ถ้าไปได้) ก็คงปีกหักบินกลับไหแลนด์ไม่ทัน เหมือนใครสักคนกำลังจะบอกผมว่า “ใจเย็นเถิดน้องชาย เร่งไปก็เท่านั้น เจ้ายังไม่ถึงฆาต ฮ่าๆ”

ในเมื่อดอกไม้ยังต้องอาศัยเวลาในการผลิบาน แล้วจะมีสิ่งใดในโลกไม่อาศัยเวลาในการงอกเงยบ้าง ความสำเร็จก็เช่นกัน

อย่างน้อยผมมีเป้าหมายและเส้นทางที่คิดว่าจะเดินแล้วครับ แต่ ณ วันนี้สิ่งที่ผมต้องทำไม่ใช่การก้าว หากแต่เป็นการเตรียมที่จะก้าวมากกว่า ผมมีเวลาอีกอย่างน้อยเกือบสามปี (ในมุมที่ไม่ใช่เพียงการรอคอยอย่างเปล่าปลี้) ในการเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งภาวะทางสติปัญญาและอารมณ์ มุมมองและวิธีคิด อีกหลายอย่างที่ผมต้องสะสมหยอดกระปุกทางจิตใจและทางปัญญาไปเรื่อยๆ รวมทั้งสะสางพันธะที่ผูกมัดตัวผมอยู่ หลายครั้งผมแก้ปัญหาด้วยการตัดมันทิ้ง แต่พันธะเหล่านี้ผมต้องแก้ครับ ตัดไม่ได้ ด้วยเหตุผลและข้อจำกัดหลายอย่าง

หากมีโอกาสได้ก้าวไป ผมจะไปเพื่อทลายข้อจำกัดของตัวเอง แม้ศักยภาพในตัวจะมีน้อย แต่ผมให้ความสำคัญกับการนำมันออกมาใช้ โดยสูญเสียให้กับแรงเสียดทานน้อยที่สุด มากกว่าครับ