ลมหวน
ราว ๒๕๐๐ ปีก่อน นักปราชญ์ชาวเอเฟซุส ในเอเชียไมเนอร์ นามว่า “เฮราคลิตัส” ได้กล่าวไว้ว่า “ทุกอย่างเลื่อนไหล ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถก้าวลงไปในแม่น้ำสายเดียวกันได้สองครั้ง เพราะเมื่อฉันเดินลงไปในแม่น้ำนั้นเป็นครั้งที่สอง ทั้งตัวฉันและแม่น้ำก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว”
นักปราชญ์ตัวเล็กๆชื่อเสียงน้อยๆคนนี้ อาจจะเทียบไม่ได้กับปราชญ์ในยุคภูมิปัญญากรีกอีกหลายต่อหลายคน อย่างน้อยก็ในแง่ความขจรขจายของชื่อเสียงที่ผ่านพ้นกาลเวลาและสถานที่ แต่เขาคนนี้พร้อมประโยคทองข้างต้น ได้ผ่านเข้ามาในหัวของผมและยังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหายไป เป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว นับแต่วันที่ผมได้เรียนวิชาสหวิทยาการสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา ในชั้นปีที่หนึ่ง วิชาที่ใครต่อใครหลายคนเบือนหน้าหนี เพราะไม่เห็นว่ามันจะสร้างคุณูประโยชน์อะไรต่อการทำความเข้าใจในแขนงความรู้ที่ตนเองร่ำเรียนอยู่
สำหรับผมแล้ววิชานี้กลับเป็นวิชาที่ผมประทับใจที่สุด และคิดว่าคุ้มค่าที่สุดในชีวิตการเรียนชั้นปีที่หนึ่ง มันได้สร้างแรงบันดาลใจในการอ่านหนังสือ และได้นำพาให้พบเจอหนังสือเล่มโปรดเล่มแรกๆในชีวิตของผมด้วย นั่นคือ “โลกของโซฟี” ของ โยสไตน์ กอร์เดอร์ เล่มหนาปึ้ก
สายน้ำของเฮราคลิตัส ก็คงคล้าย “สายลม” ที่พัดผ่านเราไปวูบแล้ววูบเล่า
“เหมือนสายลมพัดผ่านมาหน้าบ้าน
พัดเพียงผ่านลมเย็นเย็นใบไม้ไหว
เพียงพัดโชยผ่านมาแล้วก็ไป
แต่หัวใจยังสัมผัสถึงสายลม”
ประมาณ “ผ่านพบไม่ผูกพัน” เหมือนที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ให้กำเนิดไว้
แต่ลมหนาวหนนี้ (แม้จะไม่มากและไม่นานเหมือนเคยตามประสากรุงเทพเมืองฟ้าอมร) ได้พัดผ่านมาพร้อมๆกับนำความทรงจำครั้งเก่าก่อนกลับมาปะทะผิวกายและหัวใจของผมอย่างพิเศษ แม้ระยะเวลาจะผ่านพ้นมาแล้วเนิ่นนาน และแม้ช่วงระยะเวลาการก่อกำเนิดเหตุการณ์แห่งความทรงจำมันจะสั้นเหลือเกิน แต่น่าประหลาดใจที่มันยังลอยเด่นอยู่ในกล่องบันทึกความทรงจำของผมอย่างไม่รู้ลืม
ลมเพียงวูบเดียวก็สามารถดึงย้อนภาพกลับมาให้ระลึกอีกครั้งอย่างชัดเจน
หากมีคนถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะยังยินยอมนำใบหน้าไปปะทะลมหนาววูบนั้นอยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อมันได้สร้างรอยแผลให้กับผิวกายและหัวใจของผมพอสมควร หรือผมจะเลือกหลบลมอยู่ในห้องอุดอู้พร้อมนอนคลุมโปงด้วยผ้าห่มอุ่นหนากันแน่
ผมก็คงจะตอบกลับไปว่า ผมยังยินดีที่จะนำใบหน้าไปรองรับลมหนาววูบนั้นอยู่ดี แม้จะรับรู้ผลแห่งความไม่เจียมที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำครานั้นแล้วก็ตาม ที่ผมตอบเช่นนี้ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่ามันไม่มีทางย้อนกลับไปได้หรอกครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ
อย่างน้อยลมหนาววูบนั้นก็ได้สอนให้ผมเรียนรู้วิธีที่จะรับลมหนาววูบต่อๆไป โดยไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัว (มากเกินไปนัก) ทั้งนี้ยังไม่นับความเย็นเยียบเหยียบหัวใจของมัน ที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์หน้าหนาวอีกประการด้วยนะครับ
หนาวหนนี้ ลมวูบเดิมพัดหวนมาปะทะใบหน้าของผมอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปเนิ่นนานหลายปี แม้จะมีปริมาณและขนาดที่เล็กและเบากว่าเดิมมาก แต่ความทรงจำของผมยังสัมผัสมันได้ขึ้นใจ มาหนนี้ไม่ได้สร้างรอยแผลใหม่ อีกทั้งไม่มีทางเปิดรอยแผลเก่าที่จางหายแทบไม่เหลือรอยได้อีก กลับมีแต่รอยยิ้มและความทรงจำที่ดี ยามย้อนนึกถึงคราแรกที่ได้สัมผัส
เพราะผมรู้ว่าไม่นานมันก็จะพัดผ่านไป และที่สำคัญ
มันไม่ใช่ลมวูบเดิมอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับตัวผมที่ไม่ใช่คนเดิมเช่นกัน
6 Comments:
โอ๊วววววววววววว
เกิดอะไรขึ้นหนอ
น่าสนใจใคร่รู้
อิอิ
5:44 PM
นั่นนะสิ หมู่นี้ ตั้งแต่เข้าหน้าหนาว รู้สึกว่าคุณน้องจะวางเหตุผลลงไปซบกับอกบริเวณที่ตั้งของหัวใจเข้าซะแล้ว
ราติโอ้ จึงไม่ใช่คัมภีรภาพแห่งเหตุผล อย่างเดียวเท่านั้น แต่กลับกลายเป็น บรรสานอันรื่นรมย์ของเหตุผลและหัวใจ เข้าให้ ว้าว
ลมหวน
"ลมหวน หวนมาห่ม ระบมร้าว
หลุบลมหนาว เข้าผ้าห่ม ห่มใจหวน
ลมรัก รักรานร้าว หน่วงหนาวทรวง
ห่มลม แล้งเรรวน ป่วนอกครวญ"
แจม กลอน อิ อิ
1:11 AM
อ่า...อยากรู้
1:50 PM
แอบเข้ามาอ่านหลายที ไม่รู้จะคอมเม้นท์อย่างไร ฯ เหอ เหอ ทักเฉย ๆ ๆ แล้วกัน ... ที่นี่ หนาวจนหำหดเข้าไปในหัว ..เอ้ย ไม่ใช่....
11:49 PM
ตกลงว่า เกิดอะไรขึ้นกับ อติรุจ
9:23 AM
ใช่ลมอังกิดตรางูอะป่าว...
1:44 AM
Post a Comment
<< Home