Saturday, December 09, 2006

"แม่แก่"




ผมถือว่าเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่ง ที่เกิดมามีแม่ถึงสองคน

คนแรกคือคนที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายกับคุณพ่อของผม และเป็นคนที่เบ่งผมออกมาลืมตาดูโลก ที่ผมเรียกว่า “แม่” เฉยๆ (แต่เท่าที่จำความได้ ตอนเด็กๆผมจะเรียกท่านว่า “แม่ศรี” เพื่อเป็นการแยกแยะกับ “แม่” ของผมอีกคนหนึ่ง)

อีกคนหนึ่ง ผมเรียกท่านว่า “แม่แก่” ไม่ใช่เป็นเพราะ ท่านมีอายุมากกว่าแม่แท้ๆของผมเท่านั้น ท่านยังเป็น “แม่ของแม่” ของผมด้วย

ในวัยเด็ก ผมค่อนข้างเป็นเด็กที่ขี้โรค

แม่เล่าให้ผมฟังว่า ผมมีอาการปอดบวมตั้งแต่อายุเพียงหกเดือน เนื่องจากพี่เลี้ยงอุ้มไปเล่นนอกบ้าน และตากฝนเปียกปอนมา

จากนั้นอาการปอดบวมมันก็พัฒนาไปเรื่อย กระทั่งมันทำให้ผมเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ หรือที่รู้จักกันในนาม “โรคหอบ” มาตลอดช่วงชีวิตวัยเด็กของผม

นอกจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมายของผมแล้ว โรงพยาบาลก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมอาศัยหลับนอน จนคุ้นชินเป็นบ้านหลังที่สอง

เหตุการณ์ความเจ็บป่วยในวัยเด็กของผมนี้เอง ที่ทำให้ผมเห็นและสัมผัสได้ถึงความ “เข้มแข็ง” ของผู้เป็นพ่อและแม่ของผม โดยเฉพาะท่านหลัง

การเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าลูกจะมีอาการหอบเมื่อไหร่ จึงทำให้แม่ของผมต้องจัดเตรียมเสื้อผ้า พร้อมของใช้ เพื่อที่จะสามารถค้างแรมที่โรงพยาบาลได้อย่างน้อยสองคืน เสมอๆ ในทุกๆช่วงเวลาของปีที่อากาศเริ่มเปลี่ยน นอกจากนั้นอาจมีการไปค้างแรมที่โรงพยาบาลนอกฤดูกาลด้วย หากผมดื้อไม่เชื่อฟังที่หมอห้าม แอบไปกินน้ำแข็งหรือไอศกรีม จนโก่งคอไอ หายใจไม่ทัน และเป็นหอบ

ด้วยปัจจัยความเจ็บป่วยข้างต้น ทำให้ญาติพี่น้องเป็นห่วง และพยายามหาคำแนะนำมาให้แม่เพื่อแก้เคล็ด ตามความเชื่อของคนโบราณ

ญาติๆแนะนำให้แม่ยกผมให้เป็นลูกอีกคนของยาย พิธีจะมีอยู่อย่างไร ผมจำไม่ถนัดนัก แต่น่าจะมีการผูกข้อมือ รับขวัญ และการให้ผมเรียกท่านว่า “แม่แก่”

ผมเลยกลายเป็นหลานคนเดียวที่มีศักดิ์เท่ากับ ลุง ป้า และน้าทั้ง 12 โดยปริยาย (ฮา) (มิได้ครับ แค่เป็นคำเรียกขานเท่านั้นแหล่ะครับ ไม่ได้มีศักดิ์ในทางตระกูลแตกต่างจากหลานยาย หลานย่า คนอื่นแต่อย่างใด)

เชื่อหรือไม่ครับ ผมเพิ่งได้ทราบความหมายของคำว่า “แม่แก่” จริงๆจังๆ เมื่อวันสองวันมานี้เอง โดยกดเข้าไปหาความหมายใน search engine ยอดนิยมอย่าง google จึงพบว่า คำว่า “แม่แก่” นั้นหมายถึง “ยาย” และน่าจะมีที่มาจากภาษาถิ่นทางภาคใต้ของเราด้วย (ไม่น่าแปลกใจ เพราะครอบครัวคุณแม่ของผม ท่านติดตามคุณตาซึ่งไปรับราชการอยู่ที่จังหวัดสงขลาเป็นเวลาหลายปีเหมือนกัน ลุง ป้า น้า และแม่ของผม ก็ล้วนแต่เคยอาศัย และเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองสงขลาเป็นเวลานนานด้วย)

จำไม่ได้ว่าผมเรียก “แม่แก่” แทนคำว่า “ยาย” มาเป็นเวลานานเท่าไหร่ หลังจากนั้น รู้แต่ว่า พอผมเริ่มโต ผมไม่กล้าเรียก “ยาย” ว่า “แม่แก่” จะด้วยเหตุผลอะไร อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะ ความเขินอาย ที่เรียกแตกต่างจากบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหลาย

แต่ช่วงหลายปีหลังสุด ผมกลับมาเรียก “ยาย” ว่า “แม่แก่” อีกครั้ง อันนี้ก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน อาจเป็นเพราะผมรู้สึกว่าท่านอยากให้ผมเรียกอย่างนั้นก็ได้ เพราะเวลาไปเยี่ยมท่านทีไร ท่านมักแทนตัวเองว่า “แม่แก่” เสมอ ยามพูดคุยกับผม

แม่แก่ เป็นคนแก่อารมณ์ดี และขี้เหงา ท่านอยากให้ลูกหลาน มารวมตัวกันเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เวลาลูกหลานมารวมตัวกันทีไร แม่แก่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จะพูดจาหยอกเย้าและแซวลูกหลาน เป็นที่ครื้นเครงเสมอ

ถึงแม้แม่แก่ของผมท่านจะอายุ 87 แล้ว แต่ทั้งสมองและจิตใจของท่านยังสมบูรณ์แข็งแรงดี ทั้งนี้ผมคาดว่าน่าจะมาจากกิจกรรมที่ท่านและลูกๆได้ทำร่วมกันทุกครั้งเวลารวมตัว นั่นก็คือ การเล่นไพ่ เรียกได้ว่า ไม่มีลูกคนไหนสามารถรับประทานเงินจากแม่แก่ได้เลย แถมยังต้องเสียเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามธรรมจรรยาให้กับแม่แก่อยู่เนืองๆ

ท่านพยายามจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่บรรดาทายาทชั้นหลานย่า หลานยาย ให้กับพวกผม แต่ดูท่าทางรุ่นหลานจะไร้พรสวรรค์ทางด้านนี้กันเสียแล้ว

แม่แก่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบเดินทาง แต่ช่วงหลังๆ เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพท่านก็ได้เที่ยวน้อยลง

กระทั่งเมื่อช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แม่แก่มีอาการประหลาด คือ เริ่มชาที่มือและเท้า และขาไม่มีแรง แม่แก่เริ่มยืนและเดินไม่ได้

เมื่อพาแม่แก่ไปตรวจ ก็พบว่าแม่แก่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ที่เรียกยากๆ (และเข้าใจยากๆว่า) Chronic Inflammatory Demyelinating Polyneuropathy หรือ CIDP ผมและญาติๆ ก็ไม่ทราบว่า มันเป็นยังไง ไอ้โรคประหลาดนี่ รู้เพียงคุณหมอบอกว่า “แสนคนจะเป็นสักคน” หมอเอาเอกสารเกี่ยวกับโรคที่มีแต่ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์มาให้ผมดู ซึ่งก็จับความได้เพียงเลาๆว่า โรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ (แต่เคสต่างๆที่ปรากฏในเอกสารนั้นพบว่า ผู้ป่วยทั้งสี่ต่างอายุน้อยกว่าแม่แก่ของผมทั้งสิ้น) และอาการหลักๆที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคนี้ก็คือ การทำให้ระบบหายใจล้มเหลว

ซึ่งขณะนี้แม่แก่ของผมไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้แล้ว คุณหมอต้องเจาะบริเวณคอของแม่แก่ และให้เครื่องปั๊มออกซิเจน ปั๊มอากาศเข้าไป

หนักกว่านั้นคือแม่แก่ของผม ท่านเคยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นไปแล้วถึงสองครั้ง แต่คุณหมอปั๊มหัวใจขึ้นมาได้

ตอนนี้ท่านไม่ได้สติแล้วครับ

ไม่แน่ใจว่าสมองของท่านได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงไร จากการหยุดหายใจในครั้งนั้น แต่ที่รู้คือแกนสมองของท่านน่าจะยังดีอยู่ เพราะแม้จะหายใจด้วยตนเองไม่ได้ แต่ระบบหายใจยังทำงานอยู่

ร่างกายของแม่แก่ ยังสดใส ใบหน้ายังเอิบอิ่ม

ลูกหลาน ยังเฝ้ารอปาฏิหาริย์ให้แม่แก่ ลุกขึ้นมาพูดคุย หยอกล้อ และเล่นไพ่ กิจกรรมสุดโปรดของแม่แก่อีกครั้ง ทุกคนเฝ้ารอดูอาการที่ดีขึ้นของแม่แก่ ทุกครั้งที่แม่แก่ขยับแขนขา กระพริบตา หรือแม้แต่จะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ความหวังก็จะกระเพื่อมทุกครั้ง แม้จะรู้ดีอย่างลึกๆว่า มันอาจจะเป็นแค่อาการตอบสนองอัตโนมัติทั่วไปของร่างกายเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกตัวแต่อย่างใดก็ตาม

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งชีวิต แม่แก่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร และเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกหลาน (และเหลนตัวน้อย) เสมอมาหลังจากที่คุณตาเสียไปเมื่อ 21 ปีก่อน แม่แก่ทำให้ลูกทั้ง 13 คนของท่าน (รวมทั้งเขย สะใภ้ และหลานเหลน) กลับมารวมตัวกันได้ในโอกาสสำคัญของปี บ้านน้าสาวคนเล็กซึ่งแม่แก่ได้พักอยู่ด้วยจึงไม่เคยเหงา

แม้จะรู้ว่าโรคร้ายที่แม่แก่กำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ นั้นจะหนักหนาเพียงไร แต่ลูกหลานและเหลนทุกคน กำลังใจยังดีอยู่เสมอ เพราะพวกเรารับรู้ถึงความเข้มแข็งของแม่แก่ที่แสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์มาตลอดช่วงชีวิตของท่าน

บางครั้งความหวังของลูกหลานและญาติพี่น้องนั้น สูง กว้าง และหนักกว่า ความเห็นหรือความรู้ในทางการแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อเอาเกณฑ์ทางจิตใจมาวัด

นอกจากความเข้มแข็งของแม่แก่แล้ว ผู้หญิงอีกคนที่ผมต้องยกนิ้วให้ก็คือ คุณแม่ของผมเอง ตลอดเวลาที่แม่แก่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่าสองเดือน คุณแม่ของผมท่านไปเยี่ยมเยียนไม่เคยขาด โดยคุณแม่จะขับรถจากที่ทำงานไปเฝ้าแม่แก่ทุกวัน กว่าจะถึงบ้านก็ราวสามทุ่ม ในช่วงเวลาเช่นนี้ ประกอบกับคุณพ่อของผมเพิ่งย้ายไปรับราชการที่จังหวัดเชียงรายได้ไม่นาน ยังไม่มีเวลาที่จะกลับมาบ้าน ต้องยอมรับว่าคุณแม่ของผมน้ำจิตน้ำใจของท่าน เข้มแข็งเหลือเกิน

แต่บางครั้งผมก็อดเป็นห่วงท่านไม่ได้ เพราะผมรู้ดีว่าท่านอารมณ์อ่อนไหวแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ผมก็จะหาโอกาสไปเยี่ยมแม่แก่ของผมที่โรงพยาบาล พร้อมกับไปขับรถให้คุณแม่ด้วย เพราะผมไม่ค่อยสบายใจหากแม่ต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว ในช่วงสภาพจิตใจที่ว้าวุ่นเช่นนี้

แม้รู้ว่าสักวันเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นกับคนข้างกายที่เรารัก แต่การรู้เท่าทัน และทำใจยอมรับได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

และบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และกำลังเผชิญอยู่ มากกว่าการที่จะต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น

คุณตาครับ ขอให้สิ่งที่ดีที่สุดเกิดขึ้นกับ “แม่แก่” ทีเถิดครับ

3 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ฉีกแนวดีครับ ได้ความรู้มากเลย

7:41 AM

 
Blogger Unknown said...

อึ้ม ใช่ครับ ได้ความรู้ใหม่

และ ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครอง "แม่แก่" ให้ปลอดภัยด้วยนะครับ

10:58 PM

 
Blogger Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

ขอให้ดูแลแม่ทั้งสองให้ดีนะครับ เรามีแม่แค่คนเดียวไม่มีอะไหล่มาเปลี่ยนด้วยละสิ ทุกวันนี้ผมเองก็คิดถึงแม่กับยายผมประจำเหมือนกันครับ คิดทีไรนำตาจะร่วง(ว่าแต่ดูแล"แม่สาว(น้อย)"บ้างรึป่าวครับ)

1:04 PM

 

Post a Comment

<< Home