อาลัย...แม่แก่

ในบรรดาหลานและเหลนทั้งหมด คงจะมีแต่ “ต้อง” ซึ่งเป็นหลานชายคนที่สองคนเดียวที่เรียก “ยายจำเรียง” ว่า “แม่แก่”
แม่แก่น่าจะเป็นภาษาถิ่นทางภาคใต้ มีความหมายว่า “ยาย” เหตุที่เรียก “ยายจำเรียง” ว่า “แม่แก่” นั้น เป็นเพราะช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของต้องเติบโตมาพร้อมกับสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ เรียกได้ว่าเป็นเด็กขี้โรค แม่แก่จึงรับเป็นแม่ทูนหัว เพื่อแก้เคล็ดตามความเชื่อของคนโบราณ โดยเชื่อว่าจะทำให้เด็กขี้โรคมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ดังนั้นนอกจากแม่ศรี ซึ่งเป็นแม่แท้ๆของต้องแล้ว ยายจำเรียง จึงถือได้ว่าเป็นแม่คนที่สองของต้องด้วย
แม่แก่เป็นคนแก่ใจดี มีอารมณ์ขัน และขี้เหงา แม่แก่ชอบให้ลูกๆหลานๆ รวมทั้งเหลน มาเยี่ยมเยียนแม่แก่ตามโอกาสวันสำคัญในแต่ละปี ดังนั้นบ้านของน้าเล็กอันเป็นที่พำนักของแม่แก่จึงไม่เคยเงียบเหงา
ในยามบั้นปลายของชีวิต แม่แก่จึงได้แรงใจจากลูกหลานและเหลนคอยเป็นเสมือนน้ำทิพย์โชลมชีวิตของแม่แก่ ให้สดชื่น สดใส อยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน ลูกหลานและเหลนทุกคนก็ได้พลังความรักและความอบอุ่นจากแม่แก่ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เสียคุณตาไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แม่แก่ก็กลายเป็นศูนย์รวมใจของลูกหลาน การอบรมเลี้ยงดูลูกทั้งสิบสามให้เติบใหญ่ มีชีวิตที่มีคุณภาพ และทั้งสิบสามชีวิตต่างก็เจริญงอกงาม แตกหน่อเชื้อแห่งความสำเร็จ สืบทอดต่อไป จากรุ่นสู่รุ่น ย่อมเป็นหลักฐานอันแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง และเด็ดเดียวของแม่แก่ในฐานะ “แม่” ได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้บรรดา “แม่ดีเด่น” คนใดในโลกนี้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานใด เพราะความสำเร็จของแม่แก่ดังกล่าว ได้ประจักษ์ชัดเจนอยู่แล้วในใจลูกหลานทุกคน
แม้แม่แก่จะมีอายุล่วงเลยกว่าแปดทศวรรษแล้ว แต่ด้วยจิตใจที่แจ่มใส เบิกบาน ประกอบกับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีของลูกหลาน ทำให้ทุกคนเชื่อว่าแม่แก่จะยังอยู่เป็นร่มโพธิ์และร่มไทร รวมทั้งเป็นศูนย์รวมใจของลูกหลานได้อีกนาน
แต่สัจจะความจริงแห่งธรรมชาติ หาได้ยืนอยู่ข้างเดียวกับความเชื่อของลูกหลานไม่ เมื่อแม่แก่เริ่มมีปัญหาการเดินและทรงตัว ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะสังขารตามวัยที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
อาการของแม่แก่ทรุดหนักรวดเร็วอย่างไม่มีใครคาดคิด
ในราวเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม่แก่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่แม้จะอยู่ในความดูแลใกล้ชิดของคุณหมอและพยาบาล แต่ลูกหลานทุกคนกลับสังเกตได้ว่า แม่แก่อาการทรุดหนักขึ้นทุกที จากเพียงแค่มีอาการขาไม่มีแรง ยืน เดิน และทรงตัวไม่ได้ ก็ลุกลามไปจนถึงแขน และมือ
คุณหมอแจ้งแก่ญาติว่า โรคที่กำลังรุมเร้าแม่แก่อยู่นั้น เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่เรียกว่า Chronic inflammatory demyelinating polyneuropathy (CIDP) ซึ่งมีเพียงหนึ่งในแสนคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ เจ้าโรคประหลาดนี้นอกจากจะทำให้แขน ขา ของผู้ป่วยหมดแรงแล้ว ยังทำให้ระบบการหายใจล้มเหลวอีกด้วย ดังนั้นในระยะเวลาไม่นานหลังจากเข้ารับการรักษา คุณหมอจึงต้องตัดสินใจเจาะคอของแม่แก่เพื่อ ปั๊มออกซิเจนเข้าไปช่วยระบบการหายใจ เนื่องจากแม่แก่เริ่มหายใจเองไม่ได้ และหลังจากนั้น ดูเหมือนอาการของแม่แก่จะทรุดลงเรื่อยๆ
เช้ามืดวันหนึ่งแม่แก่หยุดหายใจ แต่คุณหมอเข้ามาช่วยปั๊มหัวใจให้เต้นต่อไปได้ แต่การหยุดหายใจในวันนั้น ทำให้สมองส่วนหนึ่งของแม่แก่ได้สูญเสียการทำงานไป จากที่เคยโต้ตอบ และรับรู้การมาเยี่ยมเยียนของลูกหลานได้ แม่แก่เริ่มหลับสนิทไม่รับรู้โลกภายนอก ป้าแอ๋ว ป้าดา แม่ศรี น้าเล็กเฝ้าภาวนาสวดมนต์ข้างเตียง น้ากรีก็พยายามชวนแม่แก่พูดคุยบ่อยๆ ด้วยหวังว่า แม่แก่จะกลับมารับรู้และพูดคุยกับลูกหลานได้อย่างปกติ
จากอาการที่ทรุดหนักขึ้นทำให้คุณหมอต้องเรียกประชุมญาติเกี่ยวกับแนวทางการรักษาอาการของแม่แก่บ่อยครั้ง แต่คำตอบทุกครั้งของลูกหลานคือ ให้คุณหมอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป นัยหนึ่งของคำตอบดังกล่าว อาจเกิดจากความหวังของลูกหลานเองว่า แม่แก่ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นแม่แก่คนเดิมที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้อีก แต่อีกนัยหนึ่งคือ ความไม่พร้อมที่จะยอมรับการจากไปของแม่แก่ในช่วงเวลานี้ และดูเหมือนแม่แก่เองก็จะรับรู้ถึงข้อห่วงใยของลูกหลานนี้เช่นกัน
ความเข้มแข็งและความอดทนของแม่แก่ รวมทั้งลูกหลานเอง ได้ปรากฏให้เห็นอีกครั้งในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ สำหรับแม่แก่ เหมือนท่านจะรับรู้ว่าลูกหลานยังยอมรับการจากไปของท่านในช่วงนี้ไม่ได้ ท่านพยายามอดทนที่จะมีชีวิตอยู่ และหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจของลูกหลานทุกคนได้ สำหรับลูกหลานเอง เวลาแห่งความทุกข์ใจเหล่านี้กลับแสดงให้เห็นถึงพลังความรักของทุกคนที่มีต่อแม่แก่ ป้าแอ๋ว ลุงหมึก ป้าดา แม่ศรี น้ากรี รวมทั้งลุง ป้า น้า คนอื่นๆ ต่างแวะเวียนไปเยี่ยมและให้กำลังใจแม่แก่อยู่เสมอไม่เคยขาด ไม่ว่าจะอ่อนล้าหรือเหนื่อยล้าเพียงใด
แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานความจริงตามธรรมชาติได้ เมื่อกลางดึกของวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา แม่แก่ก็จากพวกเราไปอย่างสงบ
หนาวหนนี้ดูเหมือนจะโหดร้ายกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับลูกหลานของแม่แก่ทุกคนที่หนาวเหน็บหัวใจเพราะไร้ไออุ่นจากแม่แก่เช่นเคย
และปีใหม่หนนี้คงเป็นปีแรก ที่ไม่มีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของแม่แก่ ยามเมื่อถูกห้อมล้อมด้วยลูกหลาน เช่นทุกปีที่ผ่านมา
หลับให้สบายเถิดครับ ... แม่แก่