กำลังใช้ความพยายามเพื่อจะกลับมาครับ
เรื้อสนามไปนาน มันฝ่อไปหมดแล้วครับ (ผมหมายถึงสมรรถภาพในการคิดและเขียน ไม่ใช่อย่างอื่นนะครับ อิอิ) นับดูแล้ว บล็อกตอนล่าสุดที่ผมได้ใช้ความพยายามในการปลุกปั้นมันขึ้นมา ก็ผ่านไปเกือบๆ 1 ปีแล้ว จนไม่รู้ว่าตอนนี้จะไม่ใครแวะเวียนเข้ามาในบล็อกผมอยู่บ้างอีกหรือเปล่า
นานแค่ไหน เอาเป็นว่า ผมหาทางเข้าบ้านไม่เจออ่ะ ไม่รู้ไปโยนกุญแจทิ้งไปไหน กว่าจะนึก กว่าจะควานหาจนเจอ หมดไปเกือบวันเหมือนกัน
ตลอดเวลาปีกว่าๆที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมย้ายโรงงานใหม่นี่ ผมห่างหายจากการคิด การเขียน และการแลกเปลี่ยน กับเพื่อนๆ โดยเฉพาะในโลกไซเบอร์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นชุมชนอุดมปัญญาไปเลย ไม่แม้แต่การทักทายพูดคุยกับเกลอเก่าอย่างนิติรัฐด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า ผมถูกหน้าที่การงานใหม่ลักพาตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ใช่แต่เวลาที่ผมถูกลักพาไป แม้แต่ความรับผิดชอบ (หากเดิมมันจะพอมีเหลืออยู่บ้าง) และจินตนาการของผม ก็ถูกพ่วงลักไปด้วยเช่นกัน
แม้การย้ายโรงงานใหม่ของผม ดูเหมือนเป็นความก้าวหน้าและความสำเร็จ ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผมแล้ว มันยังห่างไกลกับคำว่า “สำเร็จ” อยู่อีกหลายล้านปีแสง จะว่าเป็นทุกขลาภก็ไม่ผิดนัก โรงงานเก่าของผม ขนาดเล็กแต่อบอุ่น งานในหน้าที่ความรับผิดชอบของผมมีอยู่ไม่หลากมิตินัก และผมก็รู้ว่าจะจัดการกับงานตรงหน้าอย่างไร ระบบงานทั้งหมดของโรงงานเก่าก็ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนจนเกินไปกว่าสมองของเด็กฝึกหัดอย่างผมจะพอรับไหว ความสัมพันธ์ระหว่างคนงานด้วยกันก็เป็นไปด้วยดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกที่ผมทำงานอยู่ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากสิ่งหนึ่งในชีวิตการทำงานของผม และรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เริ่มชีวิตการทำงานที่โรงงานนี้
แต่กับโรงงานใหม่ ....
ทักษะฝีมือของคนงานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เรียกได้ว่า “งานฝีมือ” และ “งานละเอียด”
ด้วยเนื้องานที่ต้องอาศัยทักษะฝีมือดังกล่าวข้างต้น เลยทำให้คนงานในโรงงานนี้ ค่อนข้างเคร่งเครียด และมีสมาธิกับงานมาก ไม่ค่อยผ่อนคลาย ด้วยกลัว “พลาด”
ไอ้ที่กลัวพลาดเนี่ย มันมีเหตุเพราะ การพลาด ในงานสำหรับคนงานในโรงงานนี้ ดูเหมือนจะเป็นตราบาปตลอดชีวิตการทำงานในโรงงานแห่งนี้เลยทีเดียว
คนงานรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นลุง รุ่นปู่ มักจะหยิบยกกรณีความผิดพลาดของคนงานรุ่นก่อนๆ มาสอนคนงานใหม่เสมอ ฉะนั้น ความผิดพลาดจึงไม่เคยตายไปจากความทรงจำของคนงานในโรงงานแห่งนี้เลย
ไอ้ตอนฟังเนี่ย ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าความผิดพลาดของเรากลายเป็นบทเรียนให้คนต่อไปตราบชั่วกัลปาวสานล่ะก็ นึกภาพไม่ออก ดูไม่จืดเหมือนกันนะ
ผมแค่รู้สึกว่า สำหรับทักษะฝีมือตอนนี้ของผม ไม่ยังไม่สมดุลกับขนาดของงานที่ผมกำลังรับผิดชอบอยู่
ยังไม่พอดีคำเลย
ทุกวันนี้ผมยังคงทำงานแบบระแวง (แม้ว่าจะคนงานใหม่อย่างผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของผลงานก็ตาม ตอนนี้ผมเป็นเพียงลูกมือคนงานซีเนียร์) ด้วยความที่มันกลัว “พลาด” ไม่ใช่แค่เพียงเหตุผลข้างต้น แต่เพราะแท้จริงแล้ว “ความผิดพลาด” ในงานของโรงงานนี้ มันส่งผลกระทบในวงกว้าง
มันเกี่ยวกับมาตรฐานวิชาชีพ มันเกี่ยวกับความศรัทธาและความคาดหวังของผู้รอรับผลิตภัณฑ์ ต่อโรงงาน ซึ่งมีชื่อเสียงยืนยงคงกระพันมานับร้อยปี (แม้ว่าช่วงหลังๆรู้สึกว่าโรงงานนี้เริ่มหางาน sideline แตกไลน์ขยายงานไป จนเริ่มมีเสียงท้วงติงจากโรงงานอื่นๆ ที่เริ่มรู้สึกว่ากำลังถูก “ก้าวก่าย” หรือ “ล้วงลูก” )
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นข้ออ้างในความเสื่อมสมรรถภาพในการคิดและเขียนของผมในช่วงเวลานี้
ผมรู้สึกว่า ผมอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ล่ะครับ เห็นทีจะแย่ ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
มองซ้ายก็แล้ว มองขวาก็แล้ว
เมื่อมองถ้วนแล้ว ผมก็พบจุดเปลี่ยนเล็กๆ ของผม อันเป็นความหวังแสงไฟปลายอุโมงค์
บล็อกเล็กๆ แห่งนี้ไงครับ
ผมพยายามจะกลับมา
เหมือนนักฟุตบอลที่เจ็บเรื้อรังไปนาน จนเกือบจะหันหลังให้กับสนาม แขวนสตั๊ดไปก่อนกำหนดอายุขัยในฟลอร์หญ้าจะหมดลงอย่างที่มันควรจะเป็น
ตอนนี้สภาพร่างกายก็ยังต้องได้รับการฟื้นฟู แต่ที่ควรทำยิ่งกว่าคือสภาพจิตใจ
ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน
แต่ผมกลับมาลงซ้อมกับทีมแล้วครับ
การเริ่มต้นอาจจะยาก แต่การกลับมาจากอาการบาดเจ็บหนักๆ ผมว่ายากกว่า
ผมกำลังจะทำในสิ่งที่ยากกว่าครับ
ก็หวังว่าจะไม่เจ็บซ้ำ เจ็บเพิ่มอีกแล้วกัน ฮ่าๆๆ