Wednesday, May 25, 2005

เทพนิยาย ปาฏิหารย์ และน้ำตา

ผมไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น มานานหลายปี

และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายน่ะเมื่อไหร่

แต่วันนี้ ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น และน่าแปลกใจ ที่สิ่งที่ทำให้ผมร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ คือ เรื่องฟุตบอล ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายในโลกนี้ที่จะทำให้ผมเสียน้ำตา

โดยเฉพาะน้ำตาแห่งความปิติยินดี

วันนี้ทั้งวัน ทั้งๆที่น่าจะเป็นวันที่สำคัญที่สุดของแฟนบอลคนหนึ่ง ในการที่ทีมรักของตนเองจะเข้าชิงแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร

ทั้งๆที่ตามปกติ ถ้าทีมรักผมแข่งวันไหน ผมจะต้องตื่นเต้นและเตรียมตัวที่จะนั่งลุ้นเกมส์หน้าจอตู้ ไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน

ผมตื่นมาดูอย่างงัวเงีย เพราะเพิ่งงีบไปได้ชั่วโมงนิดๆ หลังจากที่ฟังเฮียสอนั่งถกประเด็นเรียบเรียงเพลงชาติใหม่ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ โดยไม่ได้ใส่ใจมากนัก

ทันทีที่กดรีโมตเปิดทีวี ภาพบาดตาก็เกิดขึ้น

กระเด้าลมของผม หงายเก๋ง เมื่อลูกฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยเท้าไม่ถนัดของคุณอามัลดินี่ ส่งบอลผ่านทวารด่านสุดท้ายไปนอนใต้ตาข่าย แถมเกมส์ยังตุปั๊ดตุเป๋ ฟอร์มเหมือนเล่นนอกบ้านในลีก

ก่อนที่เฮอร์นันจะบวกประตูที่สองสาม

หมดหวัง เตรียมปิดทีวีเข้านอน พร้อมกับกดรีโมตเปลี่ยนไปดูรายการแสดงสินค้าลดส่วนสัดกระชับสัดส่วน ก่อนนอนด้วยความเซ็ง

แม้จะเซ็งแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจอะไร เพราะเปรียบเทียบชื่อชั้นและฟอร์มการเล่นแล้ว...ได้ชิงนี่แหล่ะฝันแล้ว และที่สำคัญ ผมคิดว่าทีมรักผมมันใช้ดวงเปลืองจริงๆ ใช้มาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม นัดกับโอลิมเปียกอส แถมมาใช้ต่อในรอบก่อนรองและรอบรองที่ผ่านมา

มันน่าจะหมดตูดไปนานแล้ว

แต่คิดไปคิดมา ดูต่ออีกหน่อย อย่างน้อยมันก็นัดชิง ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนต่อจากนี้ไปที่ผมจะได้เป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศแห่งการชิงแชมป์แบบนี้อีก (เพราะตอนมันได้แชมป์ครั้งสุดท้ายผมยังไม่สามารถสะกดคำว่าฟุตบอลได้เลย)

แล้วปาฏิหารย์ก็เกิด

เจอร์ราร์ดโหม่งตีไข่แตก จากลูกเปิดอันพอดิบพอดีของอีซ้ายตีนระเบิด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้งเกมส์ มันไม่เคยโยนได้อย่างมีพลังและแม่นยำเลย ก่อนที่อีกสองนาทีวลาดี้ จะยิงไกล โดยบารอสมีส่วนร่วมด้วยการเอี้ยวตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ตีตื้นมาเป็นสองสาม ตอนนั้นตื่นเต็มตาเรียบร้อย คิดว่า เออ แพ้สกอร์เท่านี้ ไม่น่าเกลียดแล้ววุ้ย

หกนาทีต่อมา ลูกที่สามก็ตามมา จากการยิงจังหวะที่สองหลังจากกดจุดโทษจังหวะแรกไม่เข้าโดย อลอนโซ ทั้งสองจังหวะ

.............................. พูดไม่ออก.......................

หลังจากนั้นก็เข้าสู่เขตแดนแห่งความ "เกร็ง" และ ความ "เสียว"

ถ้าพลาดล่ะก็จบ

เจ้าเริ่มลงองค์ ประทับลงที่ตัวผม ทั้งสั่นทั้งเกร็งทั้งเสียว และยิ่งมองถึงการดวลจุดโทษ ยิ่งเกร็ง ยิ่งเสียว โดยเฉพาะนึกถึงคำสัมภาษณ์ของเอล ราฟา ที่ไม่ได้ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายซ้อมจุดโทษเลย

ผมเริ่มรู้สึกว่าทีมโปรดผมคงมีโอกาสได้ร่ำเรียนการบริหารจัดการดวงมาพอสมควร เพราะมันมีดวงก๊อกสองและสาม (สวนทางกลับเรี่ยวแรงของพลพรรคหงส์แดงทั้งหลายที่ทยอยๆกันเป็นตะคริว) ยิ่งท้ายเกมส์เจียนอยู่เจียนไปเหลือเกิน ก็เล่นรับซะเต็มตัวขนาดเอาเจอร์ราร์ดลงมายืนแบ๊คขวา และถอยรีเซ่ที่วันนี้เป็นมิดฟิลด์กราบซ้ายลงมาช่วย ตราโอเร่ ที่วันนี้ทั้งรักทั้งเกลียด โดยเฉพาะลูกโหม่งและซ้ำของเชว่า แบบที่เรียกว่าผมหยุดหายใจไปแล้วจังหวะนั้น พร้อมจินตนาการไปแล้วว่า ลูกมันวิ่งไปกระทบตาข่ายยังไง พาลไปถึงจังหวะรับถ้วยใบเขื่องของคุณอามัลดินี่โน่นเลย แต่ดูเด็คปราการด่านสุดท้ายของท่านชาย สวมวิญญาณน้องปื๊ด นักวิ่งสี่คูณสร้อยแถวคลองหลอด เซฟทั้งสองจังหวะในระยะแค่ไม่ถึงหลา

ผมเริ่มรู้สึกว่า หงส์แดงใช้สิทธิเบิกดวงเกินบัญชี มาสำรองใช้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเริ่มมองโลกในแง่ดีหากต้องดวลจุดโทษกัน

ถึงเวลาดวลจุดโทษ ซึ่งให้ตาย ผมปิดตาเมื่อนักเตะหงส์แดงยิงลูกโทษทุกคน (รวมทั้งลูกในเกมส์ของอลอนโซ่ด้วย) ไม่กล้าดูครับ ไม่กล้าจริงๆ ยิ่งกว่าครั้งไปดูผ่าศพวิชานิติเวชซะอีก

ผลปรากฏ ดูเด็คคนเดิมสลัดวิญญาณน้องปื๊ด มาสวมวิญญาณ น้องเปิ้ล นักเต้นรูดเสาแถวพัฒน์พงษ์ ยั่วกิเลสนักแม่นเป้าทีมมิลาน ยิงนกตกปลาไปทีละคนสองคน โดยเฉพาะลูกตัดสิน เมื่อเชว่า มือปืนเบอร์หนึ่งก้าวเท้าออกมายิง เพื่อรักษาสิทธิในการดวลถึงฎีกาคนที่ห้า

ด้วยท่าทางที่ยั่วยวน (ยียวน) ของดูเด็คหรือไม่ ไม่ทราบ เชว่า ก็เอาบ้างถอดวิญญาณ เจ้าเอ๊กซ์ จักรกฤษณ์ ผณิตผาติกรรม ไปสวมวิญญาณของ ไอ้เปี๊ยกเด็กสามขวบแถวบางปะกอก ที่เพิ่งหัดยิงหนังกะติ๊ก และดีดลูกแก้ว ยิงไปเกือบกลางประตู ด้วยความเร็วและความแรงประหนึ่งเต่าคลานกัดล้อทัน ผลคือดูเด็คเซฟไว้ได้อีกแล้วครับ

นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้พลพรรคหงส์แดง ร่วมกันขีดเขียนประวัติศาสตร์อีกหน้าให้แก่สโมสรอันเก่าแก่แห่งนี้

ผมยังสะอึกสะอื้น หลังจากเกมส์จบไปอีกนาน กว่าจะหายก็โน่นแหน่ะ แห่ถ้วยขอบคุณแฟนบอลที่แสนวิเศษรอบๆสนามแล้ว และลงมาเขียนบล็อกอยู่นี่แทนที่จะไปนอนเตรียมตัวตื่นไปทำงานต่อ

ใครหลายคนคงกล่าวขวัญถึงเกมส์วันนี้ในฐานะเป็นหลักฐานว่า ปาฏิหารย์มีจริง (ชนกับ พี่กบ ทรงสิทธิ์ เต็มๆ) แต่สำหรับผมปาฏิหารย์มันเกิดมานานแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ ค่ำคืนในแอน ฟิลด์ นัดกับโอลิมเปียกอส

ค่ำคืนนี้ป็นตำนานอีกบทหนึ่งแห่งเทพนิยายแห่งเกมส์ลูกหนัง

เทพนิยายที่ผมว่ายิ่งใหญ่และคลาสสิคกว่า เมื่อครั้งที่กรีซต้นตำรับเทพนิยายได้แชมป์ยุโรปเมื่อปีกลาย เสียอีก

6 Comments:

Anonymous Anonymous said...

อ่านแบบผ่านพรวดเดียว สายตาจับจ้อง ตรงประโยค “เกร็ง ๆ เสียว ๆ” ตกใจ เฮ่ย นี่มันเทพนิยาย กามสูตรหรือเปล่าฟะ อ้าวไม่ใช่แล้ว ฟุตบอลครับ ฟุตบอล

Take care sir!

P'Pol

1:48 PM

 
Anonymous Anonymous said...

เปิดเมมเลยครับ 555

7:10 AM

 
Blogger pin poramet said...

ดีใจด้วยนะครับ

ผมก็ดีใจเช่นกัน (ฮา)

ยังจำความรู้สึกตอนคว้าสามแชมป์เมื่อปี 1999 ได้ เป็นปีที่ดีที่สุดจริงๆ

จำได้ว่าตอนนั้นป่วย เสียงแหบ แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นต้องไปอัดรายการ เราก็พยายามรักษาเสียงไว้อย่างดี โดยแทบไม่ได้พูด กินน้ำ สารพัด เพราะอัดทีหลายตอน กลัวคนดูต้องฟังเสียงแหบแห้งเป็นเดือน

เสียงเริ่มดีขึ้นจนพอพูดได้ชัดระดับหนึ่ง แต่เสียงก็หมดไปตอนโซลชายิงประตู 2-1 ผมแหกปากลั่นบ้านกลางรุ่งเช้า ทำเอาเสียงที่สะสมไว้หายไปเกลี้ยง เป็นไอ้แหบออกทีวีไปเดือนนึง

3:24 PM

 
Blogger ratioscripta said...

จำได้ว่าเช้าวันที่เป็นแชมป์ ผมใส่เสื้อหงส์แดงไว้ข้างในแล้วใส่ซาฟารีสีฟ้าควันบุหรี่ตามยูนิฟอร์มของสำนักงานไปทำงาน

รู้สึกเท่ห์จริงๆ แม้จะร้อนชิเป๋ง แถมตลกตัวเองชะมัด เพราะแขนสีแดงๆ มันพยายามจะแล๊บออกมาทักทาย อยู่เสมอ เพราะมันดันยาวกว่าแขนเสื้อซาฟารีของผม

อายนิดๆ แต่หัวใจมันพองมากกว่า

3:22 AM

 
Anonymous Anonymous said...

“ต้อง” ท่านทราบหรือไม่ ตอนพี่อายุน้อย ๆ แล้วใส่เสื้อซาฟารีมาแบบเรียนที่ มธ. สาว ก่สาวน้อย ที่ เพื่อนภาคบัณฑิตชอบถามพี่ว่า ทำไมใส่เสื้อซาฟารี พี่เลยถามว่า ทำไม หรือ เพื่อน ๆ เขาบอกว่า ใส่แล้วมันดูแก่กว่าอายุวะ .....ไม่จำเป็นก็อย่าใส่มันเลย ....เดี๋ยวคนว่าเราแก่วะ เหอ เหอ

4:08 PM

 
Blogger ratioscripta said...

ค่อนข้างตลกครับพี่ เพราะว่าที่นี่จริงๆมันไม่มียูนิฟอร์มหรอก แต่คุณหญิงจารุวรรณ ท่านขอความร่วมมือให้ข้าราชการและลูกจ้างใส่เสื้อสีแดงเลือดหมูในวันพุธ และสีฟ้าควันบุหรี่ในวันพฤหัส โดยที่สวัสดิการมีผ้าขายให้ ให้ไปตัดเสื้อกันเอง ซึ่งก็ส่วนใหญ่จะมีสองแบบที่ สูท กับ ซาฟารี ผมมันพวกไม่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตผูกไท เลยตัดสินใจตัดซาฟารี เพราะอย่างน้อยมันก็แขนสั้น แล้วถ้าร้อนก็ถอดออกเหลือแต่เสื้อยืดข้างใน สบายดีครับ

ส่วนเรื่องแก่ ... 555

หน้ามันพาไปเอง

12:25 AM

 

Post a Comment

<< Home