Saturday, June 04, 2005

ตัวประกันกำมะลอ

ห่างหายไปกว่าสัปดาห์ หลังจากที่ผมเสร็จสิ้นการโรมรันพันตูกับวิทยานิพนธ์ ที่แสนยาวนานของผม

ตั้งใจว่าอยากจะอัพบล็อก แต่ด้วยตะคริวที่ขึ้นสมอง ทำให้ผมไม่รู้จะหาอะไรมาขึ้นบล็อกของผม หากสักแต่ว่าให้มันมี ก็อาจจะกลายเป็นขยะทางสายตาของผู้ผ่านมาพบเห็น และอาจจะติดตาพาลให้เสียอารมณ์ไม่อยากไปอ่านบล็อกของท่านอื่นๆอีก ผมจะบาปเปล่าๆ

วันนี้เลยตั้งใจเอาข่าวมาคุยกันเบาๆ เพื่อเรียกขวัญตัวเองกลับมา หลังจากที่เสียขวัญไปก่อนหน้านี้มาพอสมควร

เมื่อวานนั่งปล่อยอารมณ์ในโลกไซเบอร์ พลันโสตประสาทของผมก็ได้ยินผู้ประกาศข่าวส่งเสียงหวานๆ อ่านข่าวอาชญากรรม (ดีเหมือนกันนะครับ ข่าวอาชญากรรม การเมืองที่ว่าเครียด พอจะผ่อนคลายอุณหภูมิไปได้บ้าง เมื่อมีผู้ประกาศข่าวหน้าแฉล่ม เสียหวานๆ แทนบรรดานักข่าวรุ่นใหญ่ที่กร้านโลกด้วยประสบการณ์ ประโยคเดียวกัน ข่าวเดียวกันแท้ๆ แต่ฟังแล้วคนละอารมณ์จริงๆ) เนื้อหาในข่าวเกี่ยวกับการซ้อมชิงตัวประกัน ในใจผมก็คิดว่าข่าวธรรมดา คงคล้ายๆกับการซ้อมหนีเพลิงตามอาคารสูง หรือซ้อมล้อมคอกแถวๆหาดป่าตอง จากสัญญาณเตือนพิบัติภัย

โดยตำรวจสมมติเหตุการณ์ปลอมตัวเป็นคนร้าย บุกเข้าจับตัวหญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน แล้วจับตัวเธอเข้าไปในบ้านสองชั้นที่เตรียมไว้ ชาวบ้านเริ่มมามุงดู เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการต่อไปตามแผนการซ้อมที่เตรียมไว้ แต่มันไม่ธรรมดาก็อีตรงที่ การซ้อมครั้งนี้ ตัวประกันคือหญิงชาวบ้าน คนหนึ่ง ดันไม่รู้เรื่องราว หรือข้อเท็จจริงว่าเป็นการซ้อมแต่อย่างใด และไม่ใช่แค่ตัวประกัน รวมไปถึงบรรดาไทยมุงน้อยใหญ่ในจังหวัดชลบุรี ทั้งหลายเหล่านั้นด้วย

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างตึงเครียด ไม่ต่างจากบรรดาไทยมุงหลายร้อยรายในบริเวณนั้น เนื่องจากหญิงตัวประกันผู้เคราะห์ร้าย ออกอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงตำรวจก็ยังคลี่คลายสถานการณ์ไม่ได้ ชาวบ้านบางคนถึงขนาดตัดสินใจจะเอามีดฟันไปที่มือของคนร้าย (ซึ่งก็คือตำรวจนี่แหล่ะ) เพื่อช่วยเหลือตัวประกันด้วยซ้ำ

การซ้อมเหมือนจริงมาก ตำรวจดำเนินการไปตามคู่มือ และหลักวิชาตามที่เรียนไว้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการเกลี้ยกล่อมคนร้าย พร้อมทั้งส่งของกินและน้ำดื่มให้ แต่คนร้ายปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าจะมีการวางยา (มันจะไม่รู้ได้ไง)

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน และได้เวลาอันพอสมควรแล้ว เหตุการณ์ก็พลันสงบลงโดยตำรวจสามารถเข้าจัดการจับกุมคนร้ายกำมะลอได้โดยละม่อม (อีกแล้ว)
เรื่องมันก็น่าจะจบลงตรงนี้…แต่ไม่

เพราะระหว่างที่นำตัวคนร้ายกำมะลอไปขึ้นรถสายตรวจ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ถูกบิ้วอารมณ์มาตั้งแต่ตอนที่ตัวประกันถูกจับกุม ได้พยายามแหวกวงล้อม (อันแน่นหนา) ของตำรวจ เพื่อรุมกระทืบแก้แค้นให้แก่หญิง (เหยื่อ) ตัวประกันรายนั้น ผลก็รับประทานขนมตุ๊บตั๊บกันไปพอหอมปากหอมคอ

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันขึ้นมาว่า วิธีการซักซ้อมโดยใช้ประชาชนผู้ไม่รู้เรื่องราวและไม่ได้ยินยอมเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งนั้น สมควรหรือไม่

ถ้ามองในแง่ความสมจริง ก็แน่ล่ะ เหมือนจริงมากๆ ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงเลยว่านี่คือการซ้อม ยกเว้นเจ้าหน้าที่ อ้อ ลืมไป สามีของหญิงที่ตกเป็นตัวประกันจำเป็นก็รู้ไปกะเค้าด้วย (น่ารักจริงๆ ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว มีวาระซ่อนเร้น ในการยืมมือตำรวจแก้แค้นเมียหรือไม่) นั่นย่อมทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงเหตุการณ์ในการชิงตัวประกัน โดยไทยมุงล้อมกรอบได้อย่างถึงแก่น อันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาต่อไปในอนาคต และอาจจะทำให้ตัวประกันมีพลานามัยและสวัสดิภาพที่ดีขึ้นหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ผมไม่แน่ใจว่า ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีอำนาจอะไรไปจับตัวหญิงผู้นั้นมาเพื่อซ้อมเป็นตัวประกัน ประหนึ่งเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในการซักซ้อม ผมว่าไม่น่าจะมีนะครับ โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่ยินยอม (ใครทราบว่า เจ้าหน้าที่สามารถอ้างอำนาจในกฎหมายบทใด มาจับตัวประชาชนผู้บริสุทธิ์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการซักซ้อมได้บ้าง บอกกล่าวกันหน่อยครับผม จักเป็นพระคุณ)

งานนี้ไม่รู้ว่า หลังจากเหตุการณ์นี้เธอจะเข้าใจ พร้อมกับทำหน้าเหรอหราเหมือน พวกดาราจำเป็นในรายการทีวียอดฮิตเมื่อหลายปีก่อนหรือไม่ … ประมาณว่า “ยิ้มหน่อยครับ ลองมองไปตรงนั้นดิครับ ฮ่าๆๆๆ คุณออกทีวีอยู่”

ถ้าเธอจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆล่ะก็ น่าสนครับ เพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ในการบุกจับตัวเธอไปเป็นตัวประกัน นี่มันความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพในร่างกายชัดๆ แล้วมันก็คงไม่ผิดอะไรหาก ชาวบ้านรายล้อมจะแพ่นกบาลเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือหญิงคนนั้น เนื่องจากนั่นจะเป็นการกระทำโดยป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย

รวมทั้งไอ้สามีตัวดีของเธอที่ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ด้วย แต่ในเนื้อหาข่าวไม่ได้บอกรายละเอียดว่า สามีเธอเป็นธุระในเรื่องนั้นขนาดไหน ถ้าขนาดที่ร่วมกันวางแผน ชวนเมียไปใส่บาตรตอนเช้า เพื่อให้ตำรวจจับ นั่นอาจจะเป็นการกระทำในฐานะตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย มีคุกล่ะครับ เพราะไม่ใช่ความผิดต่อทรัพย์ระหว่างผัวเมียที่กฎหมายไม่อยากยุ่ง ขโมยเงินกันไปมา ผิดแต่กฎหมายไม่เอาโทษ ถือว่าเป็นเรื่องในมุ้ง แต่ถ้าเรื่องอื่นเช่น ร่างกาย หรือ เสรีภาพอย่างนี้ กฎหมายมุดเข้าไปในมุ้งด้วยครับ

กรณีจะต่างไปจาก การที่กองถ่ายละคร กำลังดำเนินการถ่ายทำละครกันอยู่ เป็นเหตุการณ์ที่พระเอกกับตัวร้ายกำลังดวลปืนกัน และพระเอกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ พลเมืองดี ผ่านมาแถวนั้นไม่รู้เรื่อง คิดว่าของจริง ก็เลยเอาปืนที่ตัวพกติดตัวมา (ไม่รู้ว่ามันเอามาได้ไงช่างหัวมันเหอะ) ยิงไปที่ผู้ร้าย เพื่อช่วยเหลือชีวิตของพระเอกขณะกำลังโดนปืนจ่อกบาล นี่เป็นตัวอย่างคลาสสิคที่เรียนและสอนกันในมหาวิทยาลัย เช่นนี้ผลทางกฎหมายคือ พลเมืองดีท่านนั้นจะไม่มีความผิดทางกฎหมาย เนื่องจากการสำคัญผิดคิดว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าเป็นของจริง แต่หากการยิงของเขาเกิดจากความประมาท เช่น ก็มีชาวบ้านอีกตั้งหลายสิบยืนเชียร์พระเอกกันอยู่ มีกล้อง มีฉาก มีไฟ อยู่โทนโท่ ประมาณว่า เด็กสิบขวบก็รู้ว่ามันถ่ายละครกันอยู่ แล้วยังอุตสาห์บ้าพลัง ขี่ม้าขาวอีก นั่นก็อาจจะทำให้เขาต้องรับผิดในฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ (ในเรื่องดังกล่าวผมมีประเด็นถกเถียงในทางวิชาการที่น่าสนใจยิ่ง แต่คงละไว้ เพราะไม่งั้นเสียความหมดแน่ๆ ไว้หลังไมค์ดีกว่าเนอะ)

กรณีข้างต้นพลเมืองม้าขาว อ้างการสำคัญผิดเป็นประโยชน์ต่อเขาได้ แต่กรณีตัวประกันกำมะลอของเรา ไม่ต้องอ้างสำคัญผิดใดๆเลยแหล่ะครับ เพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ไร้ซึ่งอำนาจอันชอบธรรมที่จะทำได้ ซึ่งก็เป็นความผิดที่ปรากฏลงต่อหน้าของพลเมืองมุงทั้งหลายนั้นอยู่แล้ว

งานนี้เสียวนะครับ

เกิดพลเมืองมุงท่านนั้น ตัดสินใจเอาพร้าที่หยิบติดมือมาด้วย ฟันฉับลง ณ ข้อมือของคนร้ายกำมะลอ ขาดกระจุยขึ้นมา

นักกฎหมายอาญาอย่างผมคงได้วินิจฉัยกันสนุกสนาน (พร้อมรอยน้ำตา)

และไม่แน่ เจ้าหน้าที่ท่านนั้นที่ลงทุนยอมเป็นตัวร้ายในสายตาประชาชี อาจต้องเสียแขนไปฟรีๆครับ

4 Comments:

Blogger Etat de droit said...

ดีใจมากที่เขียนเรื่องนี้

ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องขำขัน เรื่องโอละพ่อ หรือรายการคดีเด็ด... ทำไปได้

สมควรหยิบเรื่องนี้มาวิพากษ์วิจารณ์กันยาวๆ หากใครมาเยี่ยมชมแล้วบังเอิญรู้จักสนิทสนมกับทีมงานถึงลูกถึงคน รบกวนผ่านไปถึงคุณสรยุทธด้วย ให้ช่วยจัดรายการในประเด็นนี้ที

ผมว่าน่าสนใจ และควรวิเคราะห์องค์ประกอบความผิดทีละคนเรียงตัวไปเลย ตั้งแต่ ตำรวจ สามี คนร้ายปลอม ชาวบ้าน แบบที่คุณ ratio ได้กล่าวไว้

ให้ชาวบ้านทั่วไปได้รับรู้กันว่า เล่นแบบนี้มันผิด

อยากเรียกร้องไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีให้ออกมาให้เหตุผลเรื่องนี้ด้วยว่าทำไปทำไม คิดได้อย่างไร ไม่คาดการณ์มาก่อนหรือ

บ้าแท้ๆ

เห็นในคมชัดลึกบอกว่ามีการมอบเกียรติบัตรให้ด้วย

เพี้ยนจริงๆ

1:16 PM

 
Anonymous Anonymous said...

งานนี้ ต้องเห็นด้วยกับท่าน “ต้อง” และ ท่าน “นิติรัฐ” ไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะจะยั่วยุให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ ปัญหาของไทยเรา คือ ปัญหาไทยมุง จะแก้ไขปัญหาไทยมุงได้อย่างไร อีกปัญหาหนึ่ง คือ สื่อมวลชนที่ทำข่าวใกล้ชิดฯ รู้แผนตำรวจในการช่วยเหลือตัวประกัน แล้วรายงานข่าวสด นึกว่าเท่ห์ฯ แต่แท้ที่จริง เสนอข่าวที่ไม่ควรเสนอฯ

จำไม่ได้แน่ชัดว่ามีเหตุการณ์ชิงตัวประกันเมื่อสักสิบกว่าปีก่อน คนร้ายอยู่ในตึกฯ ผู้สื่อข่าวฯ ทั้งโทรทัศน์และวิทยุ ไม่รู้ทราบความเคลื่อนไหวของตำรวจฯ เกี่ยวกับแผนช่วยเหลือตัวประกันได้อย่างไร เช่น ตำรวจะเอาน้ำไปให้ดื่มฯ อาหารฯ และจะทำการช่วยเหลือในขณะเจรจาต่อรองฯ ผู้สื่อข่าว บอกแผนคนร้ายเรียบร้อยฯ คงลืมไปว่า ในตึกก็มีโทรทัศน์ วิทยุเหมือนกันนะ ผู้ร้ายไม่ได้โง่ซะหน่อยฯ

12:21 AM

 
Blogger pin poramet said...

ยินดีกับมหาบัณฑิตใหม่ด้วยนะครับ

หวังว่ากลับเมืองไทยคงได้เจอกันนะครับ

ส่วนเรื่องเคสนี้คลาสสิกมาก ดีที่ได้บันทึกไว้

11:57 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ขอบคุณครับผม

ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้ต่อไป

ยิ่งมาอยู่ในโลกของบล็อกเกอร์ทั้งหลาย ยิ่งรู้สึกตัวเลยว่า...ยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย

แม้การเรียนปริญญาโท โดยเฉพาะช่วงเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ จะสั่งสอนผมอย่างมากมาย

แต่ผมคิดว่ายังเล็กน้อยกับสิ่งที่ผมควรต้องเรียนรู้ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้า

อีกยาวไกลจริงๆครับ สำหรับผม

10:33 PM

 

Post a Comment

<< Home