Thursday, May 19, 2005

อาลัยท่านอาจารย์พลประสิทธิ์

เมื่อวานเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมปรับอารมณ์ไม่ถูก เพราะตอนเย็นต้องเดินทางไปงานพระราชทานเพลิงศพกับที่บ้าน เสร็จจากงานศพก็ต้องบึ่งไปงานแต่งงานที่ประตูน้ำ
งานพระราชทานเพลิงศพดังกล่าว เป็นงานของอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง แม้จะไม่ได้มีโอกาสได้รับความรู้จากการนั่งเรียนกับท่านโดยตรง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์ทางอ้อมของท่าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่านการอ่านตำราที่ท่านรวบรวมและแต่งไว้บ้าง หรือจากการได้ปรึกษาพูดคุยกับท่านยามที่แวะไปเยี่ยมเยียนท่านที่บ้าน

และที่สำคัญ ท่านเป็นอาจารย์สอนกฎหมายของพ่อและแม่ผมทั้งคู่ เมื่อสิบกว่าปีก่อน เมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของผมลงทะเบียนเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่ท่านเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายให้

ความสนิทสนมชอบพอของระหว่างพ่อแม่ผมและท่านขยายวงจากในฐานะลูกศิษย์ ไปกระทั่งถึงในฐานะคนคุ้นเคย เสมือนท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของบ้านผมคนหนึ่ง ทุกปีไม่ว่าจะจบมานานแล้วแค่ไหน พ่อแม่และผมจะต้องไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านท่านแถวพุทธมณฑลสายสองไม่เคยขาด ไปทุกครั้งได้ของติดไม้ติดมือมาทุกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหนังสือและตำราที่ท่านแต่งหรือรวบรวมขึ้นใหม่เสมอๆ รวมทั้งประมวลกฎหมายที่เป็นเครื่องมือหากินของผมทุกวันนี้ด้วย

ครอบครัวของผมสนิทกับท่านมากขึ้น เมื่อผมได้มีโอกาสได้เข้ามาเรียนกฎหมายที่ธรรมศาสตร์ ประกอบกับ ลูกชายคนกลางของท่านก็เป็นศิษย์รุ่นพี่สำนักเดียวกับผมด้วย ทำให้วงจรชีวิตระหว่างบ้านสองหลัง สองครอบครัว มีจุดเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงมากขึ้น

นอกจากตำรับตำราที่มักจะได้ติดไม้ติดมือจากบ้านท่านแล้ว ผมยังสัมผัสถึงความเป็นครอบครัวตัวอย่างของบ้านหลังนี้ด้วย คุณนายป้า เป็นผู้หญิงเก่งและเป็นแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบมาก ดูแลลูกๆและสามีเป็นอย่างดี ทำให้ ท่านอาจารย์สามารถทำงานที่ท่านรักได้อย่างสะดวกราบรื่น และมีกำลังใจตลอด ประกอบกับการที่คุณนายป้าท่านเป็นพยาบาล จึงสามารถดูแลท่านอาจารย์ได้เป็นอย่างดี ยามที่ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตด้วย

หลักฐานที่พิสูจน์ได้ดีที่สุดแห่งการเป็นพ่อแม่ตัวอย่างของท่านคือความสำเร็จของลูกทั้งสาม แม้ผมจะไม่ได้สนิทสนมกับพี่ๆทั้งสามก็ตาม และมักจะเจอพี่ๆที่บ้านของท่านน้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะเจอแต่พี่โอ๊ตลูกคนเล็กของท่าน พี่อ้อมซึ่งเป็นลูกสาวคนโต ก็มีครอบครัวที่อบอุ่น หมดห่วงสำหรับผู้เป็นพ่อและแม่

พี่โอมลูกชายคนรอง เดินตามรอยเท้าพอเป๊ะ ด้วยการสอบบรรจุและรับราชการในสายงานแห่งการเป็นข้าราชการตุลาการเช่นเดียวกับพ่อ และน่าจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป ไม่ผิดพ่อ

พี่โอ๊ตลูกชายคนเล็กเป็นคนที่ผมเจอบ่อยที่สุดยามไปเยี่ยมเยียนบ้านท่าน พี่โอ๊ตเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง นิยามคำว่าสุภาพบุรุษของผม ไม่ใช่ว่าต้องหล่อ เข้ม มาดดี แต่หมายความว่า ต้องสุภาพ อ่อนโยน และดูแลพ่อแม่และคนใกล้ชิดได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ผมไปที่บ้านท่าน จะพบที่โอ๊ต ง่วนอยู่กับการช่วยงานบ้าน ผมว่าพี่โอ๊ตนี่แหล่ะที่ถอดแบบของท่านอาจารย์พลประสิทธิ์ มามากที่สุด แม้กระทั่งยามที่ท่านเจ็บป่วยครั้งสุดท้าย ก็เป็นพี่โอ๊ตและคุณนายป้าที่อยู่ปรนนิบัติ อยู่ข้างกายมิได้ขาด และด้วยเลือดพ่อแรง ทำให้พี่โอ๊ตตัดสินใจเรียนต่อกฎหมาย ทั้งๆที่จบปริญญาตรีในสาขาอื่นมาแล้วใบนึง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นครับ

แม้ท่านอาจารย์จะเป็นผู้พิพากษาอาชีพ (ตำแหน่งในวิชาชีพสูงสุดของท่านคือ ผู้พิพากษาศาลฎีกา และผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเป็นตำแหน่งสุดท้าย) แต่ท่านมีความเป็นนักวิชาการสูงมาก เรียกว่าเป็นนักวิชาการในสายเลือด แม้ท่านจะไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา แต่การใผ่รู้ใผ่เรียนของท่าน รวมทั้งความเป็นนักคิดนักเขียนของท่าน ทำให้ท่านทุ่มเทกับงานสอน และงานเขียน อย่างหนัก (ซึ่งก็ได้ลูกชายสองคนนี่แหล่ะเป็นหัวเรี่ยว หัวแรงในการค้นคว้า รวบรวม จนกระทั่งจัดพิมพ์ ให้ท่านอาจารย์เสมอมา ผลงานของสี่คนพ่อลูกที่ทำให้คุณนายป้าผู้เป็นแม่ ทำให้ผมประทับใจมาก เพราะสี่คนช่วยกันทำหนังสือ “คุณแม่ยิ่งสาวคราวเกษียณ” เป็นที่ระลึกให้คุณนายป้าคราวที่ท่านเกษียณอายุ น่ารักจังเลยครับ ผมล่ะอยากทำมั่ง)

หนักจนกระทั่ง ทำให้สุขภาพของท่านทรุดโทรมลงมากกว่า คนที่อายุหกสิบต้นๆจะประสบ ผมก็สังเกตดูในช่วงปีหลังที่ไปมาหาสู่ท่าน รู้สึกว่าท่านจะโรยลงมาก สีหน้าแววตาและร่างกายที่ผ่ายผอมลง ทำให้ผมอดห่วงสุขภาพท่านไม่ได้ แม้ว่าท่านจะยังพูดคุย และเล่าเรื่องราวในชีวิตของท่านได้ดีดังเดิมก็ตาม

กระทั่งต้นปีที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปสวัสดีปีใหม่ท่านที่บ้านท่านเช่นเคย คราวนี้ลางบอกเหตุแห่งข่าวร้ายเริ่มเกิด เมื่อไปถึงแล้วคุณนายป้าแจ้งข่าวกับเราว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ท่านอาจารย์ล้มป่วยลงอย่างหนัก และเพิ่งออกจากโรงพยาบาลก่อนที่เราจะไปสวัสดีปีใหม่ท่าน ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย หากจะสังเกตสีหน้าท่าทางอันอิดโรยของคุณนายป้า ที่คงวิ่งวุ่น คอยดูแลท่านขณะที่ยังพักอยู่ที่โรงพยาบาล

ทราบว่าท่านมีเนื้องอกที่ท่อน้ำดี ไม่ทราบว่าดีหรือร้าย ในขณะนั้น ตอนแรกคุณนายป้าเล่าให้ฟังว่า หมอเองก็ไม่กล้าผ่า เพราะมันอยู่ใกล้ตับเกินไปเกรงว่าจะเกิดอันตราย แต่สุดท้าย ด้วยความเป็นท่าน ท่านอาจารย์แสดงความจำนงยืนยันให้ผ่าตัด การผ่าตัดก็ดำเนินผ่านไปด้วยดี ท่านอาจารย์พักฟื้นและกลับพักผ่อนที่บ้านได้ และเริ่มทานอาหาร เดินเหินได้นิดหน่อย แต่สังเกตได้อย่างชัดเจน ว่าท่านซูบผอม และโรยราไปมาก

วันนั้นนอกจากหนังสือที่เราได้ติดไม้ติดมือกลับมาเช่นเคย เรายังแบกเอาความวิตก และห่วงใยในสุขภาพของท่านกลับมาด้วย พ่อและแม่ผมใจคอไม่ดีทุกครั้ง หากคุณนายป้าโทรมาหา พูดคุยที่บ้าน เราเกรงจะได้รับข่าวร้าย

และก็เป็นจริง ปลายเดือนมกราคม และต้นกุมภาพันธ์ ปีนี้ ครอบครัวของผมได้รับข่าวจากที่บ้านท่านว่า ท่านป่วยหนัก เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากได้รับข่าวแล้ว ก็รีบรุดไปเยี่ยมทันที คราวนี้ ท่านอาการหนักจริงๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ท่านได้แต่นอนรับอาหารผ่านสายยางบนเตียง โดยมีคุณนายป้า และพี่โอ๊ตคอยดูแลอย่างใกล้ชิด คอยพลิกตัวให้ท่าน อยู่ตลอดเพราะเกรงแผลกดทับ

เมื่อเราไปถึง ท่านอาจารย์ยังไม่รู้สึกตัว จนสักพัก เมื่อเรากำลังขอตัวกลับ ท่านอาจารย์ได้ลืมตาขึ้นมา แม้ท่านจะพูดไม่ได้ แต่ท่านก็ต้อนรับเราด้วยสายตา ทั้งกล่าวต้อนรับเรา และแสดงออกถึงการขอบอกขอบใจ คุยกันด้วยสายตาสักพัก เราก็ขอตัวกลับ เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนท่านนานกว่านี้ คุณนายป้ากับคุณแม่ของผมออกมาคุย ถามไถ่ถึงอาการของท่าน หน้าห้องพัก แม้จะคุยกันไม่กี่ประโยค แต่แม่ของผมก็ปลอบคุณนายป้าด้วยการจับมือ และร้องไห้ไปพร้อมกัน ผมก็อดไม่ได้
จนเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราได้รับข่าวว่าท่านสิ้นแล้วอย่างสงบ

ในพิธีศพของท่าน การจากไปของท่าน ได้รับการตอบแทนอย่างสมเกียรติ ในการที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยมาตลอดอายุราชการตุลาการของท่าน ด้วยการได้รับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศแปดเหลี่ยม ฉัตรเบญจาตั้งประดับ ปี่ กลองชนะ ประโคมเวลาพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ และได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 18 ที่ผ่านมา

ถือเป็นเกียรติสูงสุดที่ท่านมอบไว้ให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังที่ต้องสู้ชีวิตต่อไป

หากดวงวิญญาณของท่านรับรู้ด้วยญาณวิถีใดๆ ผมในฐานะลูกศิษย์ท่านคนหนึ่ง ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของท่าน ไปสู่สุคติ สู่สัมปรายภพหน้าด้วยความสงบ สว่าง และสดใส สมกับคุณความดีที่ท่านได้กระทำ ประพฤติปฏิบัติ มาตลอดชีวิตของท่าน

อาลัยท่านอาจารย์พลประสิทธิ์ ฤทธิ์รักษา ผู้พิพากษานักวิชาการที่เรียบง่าย และสมถะ

4 Comments:

Anonymous Anonymous said...

ประมวลเล่มแรกของผม ก็เป็นประมวลที่ท่านรวบรวมครับ

ฎีกาอาญาเล่มแรกๆ ของผมก็รู้สึกจะของท่าน (แน่ใจว่าใช่นะครับ)

ขอแสดงความอาลัยต่อบุรพจารย์ท่านหนึ่ง มา ณ ที่นี้...

3:17 PM

 
Anonymous Anonymous said...

Please God takes care him.

Pol

1:05 AM

 
Anonymous Anonymous said...

อาลัยด้วยครับ

6:48 AM

 
Anonymous พลยามตรี สิงห์พระนคร said...

เมื่อครั้งสมัยพระเจ้าเรียนชั้นประถมเหมือนจะเป็นหนังสือเล่มสีเหลืองนะครับที่เป็นลักษณะคำถาม คำตอบ
เรียงข้อ จำชื่อได้อย่างแม่นยำว่าผู้แต่งคือท่านอาจารย์พลประสิทธิ์ และภายหลังจากนั้นก็เห็นตามรายการโทรทัศน์
ท่านอาจารย์ได้รับเชิญอยู่สม่ำเสมอถ้าจำไม่ผิด ท่านนี้คงเปรียบได้กับครูกฎหมายท่านแรกเช่นกันครับ
ความรู้กฎหมายสำหรับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน
รำลึกถึง

7:33 PM

 

Post a Comment

<< Home