Wednesday, May 04, 2005

วันนี้ผมยืนอยู่บนโลกของความเป็นจริง

จริงๆสองวันที่ผ่านมานี้ ผมไปงานที่ไม่มีใครอยากจะไปถ้าทำได้ งานที่เจ้าของงานจริงๆ ได้แต่นอนเฉยๆ ญาติๆทั้งนั้นแหล่ะที่กุลีกุจอด้วยความเศร้า

ครับ สองวันที่ผ่านมาผมไปงานศพมา

เป็นงานพี่สาวของเพื่อนสมัยมัธยมของผม เธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด

การจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้ เกิดกับคนใกล้ตัวใครก็ทำใจยากครับ โดยเฉพาะแม่มัน ใจแทบขาด

ผมไปมาสองวันแล้ว คืนเมื่อวานเป็นคืนสุดท้ายของการสวด เผาห้าโมงเย็นวันนี้ แต่ผมไม่ได้ไป

ไม่นึกว่างานศพจะเป็นงานรวมเพื่อนเก่าที่แตกกระสานซ่านเซ็น ไปคนละทิศคนละทาง ของเพื่อนร่วมชั้นของผมเมื่อเกือบสิบปีก่อน แม้แต่เพื่อนที่บ้านมันอยู่ใกล้ผมแค่เดินถึงกันไม่ทันเหนื่อย แต่วงจรชีวิตมันกับผมทำให้เราไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไร ผมรู้จักหมอนี่ตั้งแต่ประถมต้น เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอด (จริงๆตั้งแต่อนุบาลนั่นแหล่ะ แต่มาคุ้นเคยกันก็ประถมแล้ว) จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นก็นานๆจะเจอกันสักที แต่แปลก ไม่เจอนานยังไง มันกับผมก็ไม่เคยเปลี่ยน (แม้รูปร่างอาจจะดูแปลกตาไปจากเมื่อก่อน โดยเฉพาะผมที่ส่วนเว้าในร่างกายหายไปหมดแล้ว ยกเว้นบริเวณคอแค่นั้น)

คืนวานผมไม่มีสมาธิฟังพระท่านสวดเลย เพราะนั่งคุยกับมันตั้งแต่ในรถขณะเดินทาง ยันพระสวดเสร็จ เราพูดคุยกันหลายเรื่อง หลากหัวข้อ การงาน การใช้ชีวิต แม้แต่ความรัก ต่างหัวข้อ แต่เหมือนกันอยู่อย่าง คือเรารู้สึกว่าตอนนี้เรากำลังก้าวออกจากโลกแห่งความฝันแห่งวัยเด็กและวัยรุ่น เข้ามาสู่โลกแห่งความจริง

โลกแห่งความฝันของหลายๆคน ผมว่ามันก็คงคล้ายๆกัน เพราะเราคงเลือกจดจำ ประทับ หรือนึกถึงแต่ในสิ่งที่สวยงาม ในสิ่งที่เราต้องการ และสิ่งที่เรายังขาดอยู่ จะว่าไป โลกแห่งความฝันก็อาจเป็นเป้าหมายชีวิตของเรานั่นแหล่ะครับ

พอถึงวันที่ต้องเดินทางไกลตามฝันเข้าจริงๆ กลับฉุกละหุก เหมือนกำลังจะก้าวขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนในวันแรก สถานที่ใหม่ ถนนสายใหม่ ผู้คนหน้าใหม่ๆ แบบที่ไม่เคยได้เจอในโลกความฝัน แล้วจะเดินทางไปไงเนี่ย บางคนไม่ทันได้คิดหรอกครับ รู้ตัวอีกที ก็อยู่บนรถคันหนึ่งเสียแล้ว ครั้นจะรีบกระโดดลงจากรถไปก็ใช่ที่ เพราะไม่รู้ว่า หากลงไปแล้วจะไปต่อสายอะไร สู้นั่งๆมันไป สุดสายเมื่อไรก็เมื่อนั้น

บางคนก็นั่งมองข้างทาง ใบไม้ใบหญ้า บางคนนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ บางคนชะเง้อคอคอย ว่าเมื่อไรรถจะผ่านหน้าสถานที่ที่อยู่ในใจ อยู่ในฝันเสียที บางคนก็นั่งหลับ

บางคนลงก่อน เพื่อไปต่อรถสายใหม่ หรือเลือกทางเดินเส้นใหม่ที่คิดว่าจะพาตัวเองไป ณ ที่นั้น ได้ดีกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า บางคนเลือกที่จะนั่งคันเดิมต่อไปไม่เปลี่ยนสาย แม้จะรู้สึกว่า ยิ่งนั่งก็ยิ่งหลง คิดแต่ว่า ไม่เป็นไร ไว้รอสุดสายหาก ไม่ใช่ ก็นั่งคันเดิมเนี่ยแหล่ะกลับมาได้ (โดยไม่รู้ว่าบางเส้นทางไม่วิ่งย้อนกลับ เพราะพวกเล่นวิ่งวันเวย์) บางคนตกรถตาย เพราะชอบเสี่ยง ยืนขอบบันไดเล่นกายกรรม บางคนโดนมิจฉาชีพบนรถสายนั้นแหล่ะ กระซวกไส้แตก ไม่ทันได้ถึงฝัน

นั่งรถให้ถูกสายและไปให้ถึงว่ายากแล้ว

ลงจากรถ บางคนอาจจะต้องเดินเท้าไปอีกหลายกิโล รู้ซึ้งซะทีว่า มันยากกว่าที่ฝันเยอะ ตอนนอนอยู่ เห็นแต่จุดหมายปลายทาง ไม่เคยคิดถึงวิธีการเดินทางไปหามันซะกะที พอต้องเดินทางเองแบบนี้ ถึงกับจุก พาลจะเลิกซะงั้น หันหลังกลับบ้าน ขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วฝันต่อดีกว่า

อีกอย่าง เดินทางตอนฝันมันไม่เสียสตางค์ แต่เอาเข้าจริง จะไปถึงฝันได้ต้องแทบหมดตูด ใครมีต้นทุนเยอะกว่าก็แล้วไป ใครไม่มีอาจจะต้องหาเอาระหว่างทาง หากหาได้มาก จะพาลไม่ไปต่อแล้ว สู้อยู่โกยตังค์แถวนั้นดีกว่า

ร้ายกว่านั้น แม้จะถึงเสียทีความฝัน แต่ เอ… มันไม่ยักกะเหมือนที่ฝันไว้ เดินทางมาค่อนครึ่งชีวิต ลองผิดลองถูก ฝ่าคมหอกคมหนามมากมาย ถึงเสียทีแต่ไม่เห็นจะเหมือนกับที่มันอยู่ในฝัน

แล้วจะเสียแรงเดินทางมาทำไม

ไม่รู้ว่าไอ้ที่ไม่เหมือนในฝัน เพราะในความฝันของเรากับโลกความจริงมันต่างกัน หรือ เพราะประสบการณ์จากการเดินทางของเราทำให้เรามองมันเปลี่ยนไป ไม่เหมือนอย่างในฝันกันแน่

ถึงตรงนี้จะเหลือสักกี่คนครับ ที่มีชีวิตการเดินทาง และถึงเป้าหมาย “เหมือนฝัน”

เขียนถึงบรรทัดนี้ พาลให้นึกถึงสมัยผมเรียนปริญญาตรี ตอนภาคฤดูร้อน นานมาแล้ว อาจารย์ท่านหนึ่งสอนวิชากอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา วิชาว่าด้วยอาชญากรรม และการจัดการผู้กระทำผิดน่ะครับ ท่านเคยว่าไว้งี้ครับ

ในพฤติกรรมแห่งอาชญากรรม คนในสังคม มีอยู่ 5 จำพวก

1.พวกที่ยอมรับเป้าหมายของสังคม หรือเป็นพวกที่มีความฝัน เหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ และยอมรับวิธีที่จะไปสู่เป้าหมาย หรือฝั่งฝันนั้น เหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ เช่นกัน เช่น เป้าหมาย หรือความฝัน เหมือนกับชาวบ้าน คือ ต้องการมีฐานะ หน้าที่การงานที่มั่นคง วิธีทางไปสู่ฝันเช่นนั้น คือ การขยัน อดออม มัธยัสถ์

2. พวกที่ยอมรับเป้าหมายของสังคม หรือเป็นพวกที่มีความฝัน เหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ เช่นกัน แต่ไม่ยักกะยอมรับวิธีทาง หรือ หนทางสู่เป้าหมาย หรือความฝันนั้น เหมือนพวกแรก แต่มักจะสร้างหนทางไปสู่ฝันด้วยตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นพวกชอบทางลัด เช่น พวกต้องการมีฐานะ หน้าที่การงานที่มั่นคง แทนที่จะขยัน อดออม เหมือนพวกแรก ก็หาทางลัด สูตรสำเร็จซะ เช่น ก่ออาชญากรรม ประเภทฉ้อโกง ลักทรัพย์ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป พวกหัวการค้า คิดวิธีการหารายได้ ใหม่ๆ บุกเบิกอะไรใหม่ๆ ก็อาจจะอยู่ในพวกนี้ได้เช่นกัน

3. พวกที่ไม่ยอมรับเป้าหมายของสังคม หรือเป็นพวกฝันไม่ตรงกับชาวบ้านชาวช่อง แต่แม้จะอย่างนั้น ก็ยังทนใช้ชีวิต หรือเลือกที่จะเดินบนเส้นทางเดียวกันกับคนอื่นที่ฝันต่างกัน พวกนี้ส่วนใหญ่ เป็นพวกเช้าชามเย็นชาม อาจไม่คิดที่จะรวย แต่ก็ยอมรับที่จะเดินเส้นทางเดียวกันกับพวกฝันเป็นเศรษฐีได้

4. พวกที่ไม่ยอมรับเป้าหมายของสังคม หรือฝันไม่ตรงกับชาวบ้าน ไม่พอ กลับปฏิเสธ ที่จะเดินบนเส้นทางเดียวกับคนส่วนใหญ่ด้วย พวกนี้อาจมองว่าฝันของคนส่วนใหญ่เพ้อเจ้อ และไม่ใช่สิ่งที่จีรัง ฝันของเค้าต่างหากที่นำไปสู่แสงสว่างอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่มันหลงจมอยู่ในห้วงอวิชชา แต่เค้าก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร กับการที่คนส่วนใหญ่จะเดินทางสวนกับเค้า ไม่ทุกข์ร้อน เค้าก็เดินสวนทางไปอย่างสงบ หลายคนมองว่า พวกนี้ เป็นพวกล้าทางวัฒนธรรม ปรับตัวกับความฝัน และเส้นทางแห่งฝันของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ เลยปลีกตัว แปลกแยกจากสังคม คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าเค้าแปลก แม้กระทั่งมองว่าเพี้ยนว่าบ้าได้ แต่ในโลกแห่งฝันของเค้า เค้าอาจะมีความสุขก็ได้นะครับ เส้นทางเดินก็ไม่เบียดเสียดแออัด ไม่ต้องแก่งแย่ง ไปสู่ฝันสำเร็จรูปเหมือนคนอื่น

5. พวกสุดท้ายนี่ เหมือนพวกที่ 4 คือ ไม่ยอมรับฝัน และเส้นทางแห่งฝันของชาวบ้านเค้าไม่พอ แทนที่จะเดินสวนทางไปอย่างสงบ แต่กลับพยายามชักจูง โน้มน้าว แม้กระทั่งข่มขู่ ให้คนส่วนใหญ่ หันมาฝันเหมือนกัน และเดินไปในเส้นทางแห่งฝัน เส้นเดียวกัน พวกนี้เค้ามองว่า เป็นพวกนักปฏิวัติ เส้นแบ่งบางๆระหว่างฮีโร่ กับ คนบ้า น่ะครับ

เค้าบอกไว้ว่า พวกที่ 2 กับ 5 มีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมได้มากที่สุด

ผมยังมองตัวเองไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นจำพวกไหน รู้แต่ว่า ตอนนี้บางทีก็ฝันเหมือนๆกับชาวบ้านเค้านั่นแหล่ะ เดินก็อาจจะเดินบนเส้นทางเดียวกับหลายๆคน แต่อนาคตไม่รู้สิครับ อาจจะต้องยอมแพ้แล้วออกมายืนนอกเส้นทาง เพื่อหาอากาศหายใจ มีเวลาเดินเหยาะๆ แทนที่จะวิ่งสปีด ชมนกชมไม้ข้างทาง พักเหนื่อยเอาแรง แล้วอาจจะกลับไปวิ่งแข่งกับเค้าต่อก็ได้ หรือ…

อาจจะเจอเส้นทางใหม่ เมื่อได้ออกมาเดินทอดน่อง นอกเส้นทางแห่งฝัน ก็ได้ครับ

คุณล่ะครับ จำพวกไหน

3 Comments:

Blogger suthita said...

ถ้าหากเลือกได้ ..ไม่อยากเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใน 5 ประเภทนี้เลยค่ะ

เพราะเท่ากับว่า เราอยู่ในกลุ่มของการถูกกำหนดทิศทาง ถูกแบ่งอยู่ดี..



ฝันของเรา อาจเป็นแบบที่ 2.5 แล้ววกกลับมาที่ 1.3 แล้วแฉลบไปที่ 6.0 และหันกลับมายัง 3.2 .... ขึ้นอยู่กับความเป็นเราในขณะนั้นมากกว่า


บางครั้งความคิดของเราอาจจะเป็นคนบ้า (อันนี้เป็นอยู่แล้ว) เมื่อวานเราอยากเป็นฮีโร่ วันนี้อยากจะเป็นนักปฏิวัติ หรือพรุ่งนี้ เราอาจจะก่อการร้ายก็ได้นะ...


ขึ้นชื่อว่าความฝัน...เราเชื่อว่า ทุกคนมีฝันของตนเอง และไม่มีใครหรอก..ที่จะรู้ความฝันที่แท้จริงของเรา จนแบ่งประเภทไว้อย่างชัดเจนได้


ฝันของเรา...ก็ฝันของเรา...

5:50 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ครับ

ไอ้การแบ่งแบบนั้น ก็เป็นแค่ การจัดกลุ่มเพื่อทำความเข้าใจบางประการเท่านั้นนั่นแหล่ะครับ

แล้ว ที่สำคัญ ไอ้ประเภทไหนๆ มันก็ไม่ต่ายตัวทั้งนั้น อย่างที่ผมบอก

วันนี้ผมอาจจะคิดแบบชาวบ้าน ฝันแบบชาวบ้าน เดินเส้นทางตามชาวบ้าน

วันพรุ่งนี้ไม่แน่

ผมอาจจะล้า วิ่งแข่งกับเค้าไม่ไหว ผมก็ออกมาพักข้างทาง วันนั้น ผมอาจจะรู้สึกว่า ผมจะวิ่งไปทำไม ในเมื่อทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างฝันหรือเปล่า ก็แค่วิ่งตามเค้าไป

ผมอาจจะปฏิเสธเส้นทางนั้น แล้วสร้างเส้นทางใหม่ของตัวเอง เดินสวนทางกับชาวบ้าน สูดอากาศบริสุทธิ์

แล้วถ้าผมคิดว่าทางนั้นดี ผมอาจจะเริ่มชักชวนคนรอบข้าง ให้หันมาเดินในเส้นทางเดียวกับผมก็ได้

ใครจะรู้ครับ

ฝันของผม ก็ฝันของผม

6:02 AM

 
Blogger Etat de droit said...

กูชอบที่มึงเปรียบเทียบว่ะ

ชีวิตกับการขึ้นรถเมล์

เราคงเลือกผู้ร่วมโดยสารบนรถเมล์คันเดียวกันไม่ได้

สายรถเมล์ก็เยอะเหลือเกิน ที่ที่เราจะไปอาจมีหลายสายผ่าน

สายเดียวกันก็มีหลายคันอีก

ใครๆก็คงอยากนั่งรถเมล์สายที่มีคนขับใจเย็น ขับรถนิ่ม กระเป๋าไม่โวยวาย ใจดี ถามเค้าได้ว่ารถเมล์สายนี้ผ่านที่ที่เราจะไปมั้ย ผู้โดยสารร่วมสาย มีมิตรจิตมิตรใจ ลุกให้คนแก่ คนท้อง หรือเด็กนั่ง

ทำอย่างไรทุกคนถึงจะได้นั่งรถเมล์ในฝันแบบนั้นวะ

1:48 PM

 

Post a Comment

<< Home