Wednesday, May 11, 2005

วันหม่นๆ

จริงๆวันนี้ไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิงในการเขียนบล็อก (และกิจกรรมอื่นๆ) เนื่องจากเมื่อวาน (จริงๆจะโพสตั้งแต่เมื่อวาน แต่ปัญหาขัดข้องระหว่างผมกับผู้ให้บริการทางอินเตอร์เนต ทำให้ผมไม่สามารถสมาคมกับสังคมออนไลน์ได้หนึ่งวัน)เป็นวัน “ขึ้นเขียง” ผ่าตัดวิทยานิพนธ์ของผม ที่มาราธอนยาวนานมากว่า 2 ปี (เฉพาะการทำเล่มเต็มวิทยานิพนธ์เพื่อการชำแหล่ะวันนี้) ลางสังหรณ์มันบอกในใจอยู่แล้วว่า งวดนี้ต้องโดนมิใช่น้อย โทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเองล่ะครับ ที่ปล่อยให้อะไรๆมันเยิ่นเย้อยืดยาดอืดอาด จนล่วงเวลาที่เหมาะสมมานานขนาดนี้

รู้อยู่ว่าเนื้อหามันค่อนข้างสับสนและวุ่นวาย แต่ก็ไม่เอะใจอะไร เพราะว่าอุตสาห์ผ่านการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์มาแล้วเรียบร้อย แม้จะดูมากมายก่ายกองเกินกว่าจะเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ที่ควรจะต้องมีปัญหาและสมมติฐานที่ชัดเจน แต่ทำไงได้ เค้าโครงมันผ่านมาแบบนี้นี่หว่า (จริงๆ ผมเรียนสาขาอาญา แต่มีงาน “ฝาก” จากอาจารย์บังเกิดเกล้ามาเพิ่มให้อีก “เรื่อยๆ” ก็ต้องเขียนล่ะครับ) เขียนไปเขียนมามันชักเยอะ และชักเลอะ

แต่ด้วยเวลาอันมีอยู่จำกัด (เป็นแค่ข้ออ้างน่ะครับ คนอื่นเค้าก็เรียนกันเท่านี้ ทำไมจบวะ) และภาระหน้าที่ที่ไหลบ่ามาเหมือนภาวะ “รูทวารกรรแสง” (ยืมมาจากคุณแทนน่ะครับ) โดยที่ไร้ทางต้านทาน และหมดซึ่งความสามารถในการปฏิเสธ ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับชะตาไปน่ะครับ…ผมทำได้แค่นี้จริงๆ

วินาทีที่เดินแบกหน้าเข้าไปหาบรรดากรรมการทั้งห้า แรกๆก็หลอกให้เราตายใจล่ะครับ ชวนคุยเรื่องอื่น เช่น “เฮ้ย! คุณเปลี่ยนชื่อนี่หว่า เปลี่ยนนานรึยัง ชื่อเดิมว่าไงนะ แปลว่าไงเหรอ อืม ก็ดีนิ เปลี่ยนทำไม เหรอ แม่ให้เปลี่ยนเหรอ อืม ผมก็มีรุ่นน้องที่มันเปลี่ยนชื่อ สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาใช้ชื่อเดิม ฮ่าๆๆๆ ผมล้อเล่นน่ะ” (อย่าคิดว่ามึงเปลี่ยนแล้วกูจะให้มึงผ่านง่ายๆนะ…แกคงคิดยังงั้น)

จากนั้นก็เข้าเรื่อง …. สับ….เละ ฉากนี้ต้องเซ็นเซอร์ (ด้วยความเคารพความเห็นของท่านอาจารย์คณะกรรมการทุกท่าน)

……

ครับ

ทีแรกว่าจะหาหนังดูก่อนเข้าบ้าน

ทำใจดูไม่ได้จริงๆครับ

หม่น…

อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ถึงบ้านแถวฝั่งธน

นั่งเซ็งได้สักพัก เออ เพื่อนไรท์แผ่นหนังเกาหลีมาให้เรื่องนึง (ไม่แปลกใจที่วิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญากับผมจึงเป็นเส้นขนาน ตั้งแต่ปริญญาตรี จนจบเนติฯ)เห็นมันเขียนหน้าแผ่นว่า madeliene หลายเดือนแล้ว ไม่เคยแม้แต่จะหยิบออกมาดู เพราะรับมันมาด้วยความเกรงใจงั้นแหล่ะ วันนี้นึกครึ้มไงไม่รู้ ดูซะหน่อย ฉลองให้กับความหม่น…

สนุกดี สนุกว่ะ สนุกจัง สนุกชิบ สนุกโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

เขา พระเอก เกาหลี้ เกาหลี สไตล์หนังวัยรุ่น พี่หลีจริงๆ ประเภท เฉิ่ม ทื่อ ทึ่ม ไม่ประสีประสาเรื่องความรัก ชีวิตมีโทนเดียว ขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน รักการอ่าน ชีวิตอยู่ในห้องสมุด และฝันอยากเป็นนักเขียน

เธอ นางเอก ก็เกาหลี้ เกาหลี ใส น่ารัก ขี้เล่น ช่างคิด จินตนาการ ทำร้านเสริมสวยตามที่ฝันไว้ตั้งแต่เด็ก แต่มีอดีตที่ติดกับความรัก ที่ไม่ค่อยสดใส (ขั้นเลวร้ายเลยนี่แหล่ะ)

สองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม พบกันอีกทีตอนโต ที่น่าแปลกใจคือ เจอกันปุ๊ป เธอก็จีบเขาปั๊ป (ครับ นางเอกจีบพระเอกนั่นแหล่ะครับ) ทึ่มๆงี้ก็งงดิครับ สัญญากันว่าจะเป็นแฟนกัน 1 เดือน ภายใน 1 เดือนนี้ เธอบอกว่า เขาต้องหลงรักเธออย่างแน่นอน แล้วเมื่อถึงวันนั้น ถ้าเขาบอกรัก เธอจะขอเวลาคิดดูก่อน (เล่นตัวว่างั้น)

จริงๆมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก มันเกิดจากความ “เคว้ง” ของเธอ การถูกคนที่ตัวเองรัก ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี พร้อมกับทิ้งลูกในท้องให้อีกหนึ่งคน ใครก็ทำใจยาก (ถึงตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆทำไม ผู้ชายเลวๆถึงได้ผูกมัดใจหญิงได้ขนาดนั้น หรือจะเป็นอย่างที่เค้าบอก ผู้หญิงชอบคบคนดี … รักคนเลว …แต่สุดท้ายก็ไปกับคนรวย)

แล้วคำของเธอก็เป็นจริง…ระหว่าง 1 เดือน เขาก็หลงรักเธอ ตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่ วิถีชีวิต วิธีคิดสองคน ต่างกันมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่าเข้ากันไม่ได้ด้วยซ้ำ สำหรับเขา เธอเข้ามาเติมเต็มชีวิตที่มันไร้จังหวะ ไร้สีสัน และไร้รสชาติ รู้ว่าเธอมีอดีต ที่ไม่ค่อยจะสวยนัก มีวิถีอะไรหลายอย่างที่เขาเคยคิดว่ามันไร้สาระ

สำหรับเธอ เขาเข้ามารองรับเรื่องราวหนักๆ รับได้ทุกอย่าง เคียงข้างเสมอ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกดี แบบที่เธอเองก็ไม่เคยได้รับจากคนรักคนก่อนๆ แต่ แม้เขาจะดีเท่าไร มันก็ยังมีกำแพงที่มองไม่เห็น กั้นกลางใจ ของเธอไม่ให้เดินเข้าไปหาเขา

ใกล้กันมากขึ้น ยิ่งเขาทำดี ห่วงใย มากมายแค่ไหน…เธอยิ่งรู้สึกผิด เหมือนกำลังหลอกใช้ความดี ความหวังดี และความรักจากเขา..เธอกำลังสับสน จะรัก จะหลอก จะตัด จะเลิก จะเดินต่อ หรือ…???

ไคลแม๊กซ์ของเรื่องดำเนินมาถึง (ด้วยความขลุกขลัก แผ่นก๊อปน่ะครับ เครื่องผมมันไม่ใช่อะโคเนติก หัวดี อ่านได้ทุกแผ่น) เธอตกเลือด เขากำลังแบกเธอวิ่งฝ่าสายฝน เพื่อรักษาชีวิตสองแม่ลูก คู่นี้

……

แผ่นกระตุก

หยุดนิ่ง ชะงัก และเล่นต่อไม่ได้

ยวน

(ขออนุญาตยืมจากพี่บุญชิตฯ และคุณแทน ครับ ชั่วคราวครับ เดี๋ยวเอาไปคืน)

ยังไงล่ะทีนี้ … ค้างสิครับ ต้องโทรให้เพื่อนเอาแผ่นแท้ มายืมไรท์ต่อ (ไม่สำนึก)

ไว้ดูจบแล้วจะมาต่อนะครับ วันนี้ขอแขวนไว้ก่อน

ชอบประโยคของนางเอกประโยคหนึ่ง เธอว่า "ฉันชอบท้องฟ้านะ เพราะเวลาที่เราไม่อยากเห็นมัน เราก็ไม่ต้องมองมัน แต่เวลาที่อยากเห็นมัน อยู่ตรงไหนก็มองเห็นมันได้"

ขอบคุณแผ่นหนังกลิ่นกิมจิ ที่ทำให้วานนี้ของผม มันไม่หม่นไปกว่านี้มากนัก

2 Comments:

Blogger pin poramet said...

ประโยคในหนังที่คมมาก ชอบมาก

ธรรมดาครับคุณ ratio กระบวนการทำวิทยานิพนธ์ก็งี้แหละ

สู้อย่างเดียวเท่านั้น

10:39 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ขอบคุณครับผม ยังไงคงต้องสู้ต่อล่ะครับ ถอยไม่ได้แล้วนี่หน่า

ประโยคในหนังประโยคนั้น ผมนั่งฟังทีแรกก็รู้สึกว่ามัน คมดี แต่พอมานั่งคิดหลังจากที่ดูมันจบแล้ว

มันเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง ผมเดาเอาเองน่ะครับว่า..

มันคล้ายกับพระเอกในเรื่อง เขาเหมือนท้องฟ้า ยามที่เธอไม่อยากเห็น เธอก็ไม่มองเขา แม้จะไม่เห็น แต่เขาก็ยังคงอยู่ แต่เมื่อเวลาใดที่เธออยากเจอเขา เธอแค่เงยหน้าขึ้นมามอง แค่นั้น ก็จะเห็นเขาอยู่ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใด และในสถานการณ์ใด

...ชอบครับ...

แต่เลือกได้ไม่อยากเป็นเฟ้ย ท้องฟ้าอย่างนั้นน่ะ

2:28 AM

 

Post a Comment

<< Home