ป้าจ๋า
วันนี้ผมขอเริ่มเรื่องด้วยอาการออดอ้อน น่ารัก น่าตบ นิดๆ
ป้าเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อผมในการทำงานประจำทุกวันนี้ คนหนึ่งทีเดียว หากขาดป้าไปผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีแรงทำงาน (ทุกวันนี้ก็อู้ตลอด) ได้อีกนานแค่ไหน
แม้ภารกิจของป้าจะเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง และทำตามสั่งเท่านั้น แต่ภารกิจนั้นสำคัญยิ่งยวดต่อ การปฏิบัติหน้าที่ของบรรดาข้าราชการและลูกจ้างของส่วนราชการที่อยู่บริเวณกระทรวงการคลัง รวมตลอดถึง บริเวณด้านหน้ากรมประชาสัมพันธ์ ตรงซอยอารีย์สัมพันธ์ ด้านติดกับถนนพระรามหก
ดังคำกล่าวยอดฮิตที่ว่า “กองทัพ ต้องเดินด้วยท้อง”
ครับ ป้าของผมวันนี้ แกเป็นตะหลิวมือหนึ่ง แห่งการทำอาหารตามสั่ง
ร้านของป้า ไม่มีป้ายหน้าร้านใหญ่โต ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ร้านป้าแกชื่อว่าอะไร
แต่สำหรับพวกผม พี่ๆน้องๆ ในสำนักงานกฎหมาย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พร้อมใจกันในสมญานามแก่ร้านแกว่า “ป้าฟาสต์ฟู้ด”
เดี๋ยวก่อนครับ แกไม่ได้ขายอาหาร “ด่วนแดก” เหมือนที่เปิดกันเกร่อตามดีพาร์ทเมนต์ สโตว์ แต่อย่างใด สมญานามนี้ ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ได้มาจาก ลีลาการสะบัดตะหลิวของแกนั่นเอง
ผมรับประกัน ให้ฟ้าผ่าหัวหมาแถวกระทรวงการคลังได้ ว่าเมื่อคุณสั่งเมนูที่คุณต้องการแล้ว และเริ่มที่จะละสายตาจากป้าไป หันไปเมียงมองหาโต๊ะว่างในร้านเล็กๆ เก่าๆ ขนาดตึกสองคูหาติดกัน และเดินไปยังที่หมาย กำลังจะหย่อนตูดลงนั่ง ณ วินาทีนั้น เมนูที่สั่งไว้ เมื่อตะกี๋นี้ จะมาเสิร์ฟกรุ่นๆ อยู่ตรงหน้าคุณเรียบร้อยแล้ว
ไม่ได้เสิร์ฟผิดแต่ประการใด...มันเสร็จแล้วจริงๆ
ในยามที่ป้าท๊อปฟอร์ม คุณอาจจะได้มันในจังหวะเดียวกับ ขณะที่คุณกำลังมองหาที่นั่ง
แต่ก็มีหลายครา ที่ป้ามือตก อาจจะด้วยเมนูกวนโอ๊ย ที่พวกผมตั้งใจประดิษฐ์ขึ้น เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ชีวิตการทำงานของป้า เช่น สุกี้แห้ง แต่ใช้เส้นมาม่า ใส่กุนเชียง หมูกรอบ ปลาหมึก ไม่ใส่ผักบางชนิด หรือ กระเพราไก่ไข่ดาว ไม่ใส่พริก และเมื่อผัดเสร็จให้เขี่ยกระเพราออกให้ด้วย หรืออาจจะเป็นเพราะจำนวนลูกค้าที่หลั่งไหลมาตอนเที่ยงตรง
แม้ในร้านขนาดสองคูหานั้นจะมีเพื่อนบ้าน นอกจากอาณาจักรตะหลิวของป้า เช่น ร้านขายข้าวหน้าเป็ดและข้าวหมูแดง ซึ่งนับแต่เกิดเหตุการณ์ธรณีพิบัติ หรือคลื่นยักษ์สึนามิ เราก็ไม่พบพาน เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่งคู่นั้นอีกเลย หรือ ร้านข้าวมันไก่ และข้าวขาหมู ซึ่งสามารถทำให้คนกิน สองคนสามารถตัดสินให้คะแนนความอร่อย ได้ต่างกันสุดขั้ว ได้ใจมาก เหมือนกับที่ภาพยนตร์เรื่อง “สัตว์ประหลาด” เอาชนะใจกรรมการด้วยวิธีนี้เช่นกัน
แต่ร้านของป้าดูจะมีชีวิตชีวา และลูกค้าติดมากที่สุด
ผมกับพรรคพวกฝากท้องที่ร้านป้าเป็นส่วนใหญ่ในวันทำงานในหนึ่งสัปดาห์ และในบางโอกาสที่ผมขี้เกียจคิดเมนู ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้พวกผมเปลืองเนื้อที่ใส่แกลบในสมองมากที่สุดในแต่ละวัน ผมกับพรรคพวกฝากท้องไว้กับร้านป้าฟาสต์ฟู้ด ห้าวันทำการในหนึ่งสัปดาห์
เป็นเวลาปีกว่าแล้ว ขณะนี้ผมและพรรคพวก ได้รับการยอมรับให้เป็น “ขาประจำ” ของป้าไปเรียบร้อย โดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรสมาชิกใดๆ
ความเป็นสมาชิกขาประจำทำให้เราอดเกรงใจป้าไม่ได้ ทุกครั้งเมื่อเราคิดจะกบฏ คิดกินเมนูใหม่ๆที่ร้านอื่นบ้าง และหากวันนั้นต้องเดินผ่านร้านป้า ... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ป้าจะเงยหน้าจากเตา และส่งค้อนให้ผ่านทางสายตา พร้อมกับคำถามแทงใจ “วันนี้จะไปไหนกัน” พวกผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ และรีบจ้ำอ้าวไป
แล้ววันหนึ่งเมื่อผมกับพวกตัดสินใจเป็นกบฏฟาสต์ฟู้ดอีกครั้ง ขณะเดินผ่านร้านป้ารับค้อนกันไปคนละหนึ่งหน่วย ตามพิธี เพื่อจะไปลิ้มรสส้มตำ ไก่ย่างที่วางแผนจะเปิบมาหลายวัน คุณพระช่วย ร้านมันปิด ทำไงวะเนี่ย กลับไปโดนป้าถากถางด้วยสายตาแน่ๆ ต้องหาอะไรกินเอาดาบหน้าแล้ว ก็พลันคิดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด ร้านอร่อย ตรงมุมตึก อย่างน้อยก็ไว้ลายกบฏหน่อยวะ
นรกเป็นพยาน ก๋วยเตี๋ยวเป็ดกู้หน้าของผม ก็ปิดซะอีก ขืนเดินต่อไป ไม่ได้กินแน่ๆ มองหน้ากับสมัครพรรคพวกแล้ว ก็ยอมถอดลายกบฏทิ้งไว้หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดนั่นแหล่ะ เดินกลับไปพึ่งบารมีร้านป้าเหมือนเคย
ทันทีที่เดินเข้าสูร้านป้า ป้าหันมามอง แบบสายตาของผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าเชลซีเถลิงแชมป์ลีกในรอบห้าสิบปี และยิ่งกว่าเวสต์บรอมฯ รอดตกชั้นอย่างปาฏิหารย์
แต่หลังจากนั้น รอยยิ้มและคำพูดทักทายเดิมๆ ที่คุ้นเคย ก็กระทบหู “จะกินอะไร” เราก็สั่งเมนู สาหัสคนทำให้ป้าเหมือนเคย
เมื่อวานนี้ผมกับพรรคพวก กะจะไปฝากท้องที่ร้านป้าเช่นเคย แต่พอเดินถึงหน้าร้านป้า ก็ต้องชะงัก เพราะเป็นครั้งแรกในรอบปีครึ่งที่ผ่านมาที่ผมเห็นร้านป้าหยุดกิจการ ยังไม่ทันจะจินตนาการต่อไป สายตาก็เหลือบไปเห็นพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่ มักจะช่วยงานที่ร้านป้าเป็นเด็กเสิร์ฟคนหนึ่ง จึงได้คำตอบจากพี่คนนั้นว่า
“เซเว่นข้างๆเค้าจะขยายห้อง กินที่มาอีกหนึ่งคูหา เหลือคูหาเดียวให้ป้าแกขายของ” เมื่อถามถึงกำหนดเวลาว่าเมื่อไรผมจะได้ลิ้มฝีมือตะหลิวป้าอีก แกก็บอกว่าประมาณ 2 อาทิตย์
2 อาทิตย์แห่งความเศร้า
เศร้าเพราะคงจะไม่ได้ลิ้มรสตะหลิวป้าไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งพอจะทำให้ลงแดงได้
และเศร้าให้แก่ร้านเพื่อนบ้านป้า ได้แก่พี่หน้าเป็ด ซึ่งแม้ว่าหลังๆจะไม่เห็นมาขายเลย สงสัยจะเอาเงินไปใช้ และพี่มันไก่ขาหมู ที่อาศัยชายคาเดียวกับป้า ขายของ ซึ่งหากเหลืออยู่เพียงคูหาเดียวแล้ว ไม่รู้จะแบ่งโซนสีกันอย่างไร
คิดแล้วก็เซ็ง กับการขยายขนาดเซเว่น เจ้ากรรม เพราะเท่าที่ผมสังเกต สาขานี้ไม่มีคนซื้อเท่าไหร่ สู้อีกสาขาที่อยู่ ใจกลางตลาดนัดหลังกระทรวงการคลังไม่ได้
แต่จะทำอย่างไรได้ครับ ในเมื่อเจ้าของตึก ที่ให้ป้าแกอาศัยขายของอยู่ ทนกลิ่นหอมของเงินนายทุนไม่ได้
ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไป ป้าฟาสต์ฟู้ดที่ผมภูมิใจอย่างยิ่ง ในความอร่อย และความรวดเร็ว จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
2 อาทิตย์จะได้คำตอบครับ
8 Comments:
ตามมาจากบล๊อก ตานิติรัฐมาค่ะ..
เฮ้อ..อยากกลับบ้านอะ อยากกินข้าวราดหน้าผัดกระเพรา สุกี้แห้ง ข้าวผัด อะไรแบบนั้นอะ..
อยากกินส้มตำด้วย..
กินเผิ่อด้วยนะคะ..
จะช่วยลุ้นให้ ป้า มีรีเทิร์น นะคะ แล้วไหนๆ ถ้าเค้ากลับมาแล้วละก้อ..อย่ากบฎสั่งเมนูแปลกๆ กับไปกินร้านอื่นนะ..
เห็นปะ..ผู้ชายก็งี้แหละ เวลาไม่มีแล้วก็เพิ่งจะมาเสียใจ..เฮ้อ..
1:36 PM
This comment has been removed by a blog administrator.
9:17 AM
ผมลบความเห็นก่อนหน้านั้นไปเองครับ ของผมเองด้วย ข้อหาเขียนผิดแยะ จนเสียความ
555
ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ carre de min (อ่านไม่ออกอ่ะ)
ผมไม่ได้เป็นอย่างไอ้คุณนิติรัฐหรอกครับ (โยนอุจจาระกันเห็นๆ) หรือ "อย่าเอาผู้ชายคนเดียว ตัดสินผู้ชายทั้งโลก" ผมไม่เป๊น ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
สาบานให้ฟ้าผ่าหัวหมาแถวกระทรวงการคลังอีกตัวก็ได้
ผมเกรงว่าจะเป็นตรงกันข้ามน่ะ
วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึกกกกกกกกกกก
9:20 AM
คำอ่านของชื่อ อ่านว่า กาเร่ต์ เดอ มิ้ม..ค่ะ
ออกเสียงแบบ ออริจินอล ยากหน่อย เพราะตัว อาร์ ของฝรั่งเศสออกยาก ขอเสนอว่า ให้เอาน้ำกลั้วคอตอนเช้า แล้วหัดไป..พยายามเข้า จะอ่านได้เองในไม่ช้า..
มีที่มามาจาก ภาษาฝรั่งเศส จากคำศัพท์ที่ชอบมาก คือ คำว่า carré ซึ่งแปลตรงๆว่า สี่เหลี่ยม..แต่เป็นคำแสลงที่อธิบายถึงลักษณะของคนได้ว่า เป็นคนเข้มงวด เจ้าระเบียบ หรือ จะแปลว่า กรอบ หรือ ธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติก็ได้ค่ะ
ที่เลือกใช้คำนี้ เพราะมาจากคำถามที่ต้องตอบชาวบ้านมาตลอดว่า ทำไมถึงเลือกเรียนกฎหมาย
ซึ่งก็จะตอบไปว่า parce que c'est carré คือการเป็นกรอบร่าง ตรงไปตรงมา เป็นกรอบ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ฟุ้ง หาไม่เจอ มีหลักให้เกาะ และมีช่องให้เดินอย่างสบายๆ
นอกจากนั้น ชื่ออันนี้ ก็เป็นคำถามในตัวว่า ตัวเองนั้น เป็นคนมีกรอบหรือไม่ ถ้ามี กรอบของตัวเองคืออะไร กว้างแค่ไหน หรือ แคบแค่ไหน หรือ กว้างๆแคบๆแล้วแต่เรื่อง อะไรแบบนั้น
และมาจากรูปทรงเราขาคณิตที่ชอบด้วย ชอบสี่เหลี่ยม ชอบกินบราวนี่ๆ สี่เหลี่ยมตลอดเวลาเลย
ขอสมัครเป็นแฟนบล๊อกคนนึงละกันนะคะ เพราะติดใจภาษาที่ ratioscripta เขียนออกมา ภาษาสวยดี..อ่านแล้วสนุก..ชอบ..
ชมมากขนาดนี้แล้ว ไม่ทราบว่า จะรบกวนให้ช่วยส่ง ปลั้นขลิบ เจ้าแสนอร่อย (ที่ลืมชื่อไปแล้ว)แถวกระทรวงการคลังอะนะ มาให้หน่อยได้ไหมเอ่ย..
นะนะนะ..คนเขียนหนังสือสวย มักใจดีไม่ใช่เหรอ..อิอิ
2:21 PM
คุณราโช...
เจอของจริงแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ
สนใจติดตามผลงานเธอ เชิญที่เวบผมสิครับ...
www.chezplayers.com
2:24 PM
เอาล่ะโว๊ย
สวัสดีครับ คุณ ...มิ้ม (ฮา)ไว้จะตามแวะเวียนไปอ่านงานคุณที่เวบพี่บุญชิตฯนะครับ
ชอบแง่คิดที่ได้จากชื่อคุณจัง ผมเองก็เคยได้ยินมาอีกด้านของคำว่า กาเร่ต์ นั่นคือ ชาวบ้านมักชอบเรียกคนที่เรียนกฎหมายว่า "พวกหัวเหลี่ยม" ซึ่งหมายถึง พวกติดกรอบ ติดกับตัวบท (สี่เหลี่ยมๆ) คิดเกินกว่ากรอบไม่เป็น เหมือนที่อาจารย์นิธิ ท่านหยิกแกมหยอกว่า ในโลกของนักกฎหมาย หากไม่มีกฎหมายเขียนไว้ให้ทำได้ ดูเหมือนนักกฎหมายเองก็จะไม่ทำ ท่านสงสัยว่าหากไม่มีกระบวนการนิติบัญญัติเสียแล้ว พวกเราจะอยู่กันอย่างไร
ไว้กรึ่มๆอาจจะได้เขียนและคุยกันเรื่องนี้ต่อ
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป หากใครมาเรียกผมว่า ไอ้หัวเหลี่ยม ผมจะภูมิใจ และถือว่านั่นเป็นคำชม ตามความหมายของคุณกาเร่ต์
เพราะอย่างน้อย ผมก็เหลี่ยมแค่หัว
ไม่ใช่ "หน้า"
ส่วนเรื่องปั้นขลิบ หรือปั้นสิบ หลังกระทรวงนั้น ฟ้าผ่าหัวหมาอีกสักตัวก็ได้ อร่อยจริงๆครับ ยิ่งกินแกล้มกับกาแฟกรุ่นๆ นี่ เพลิน จนตอนนี้น้ำหนักผมขึ้นมา เกือบ 5 กิโลได้แล้วมั๊งครับ ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ (แสดงให้เห็นว่า ผมทำงานหนักมากกกกกกกก)
ไว้จะหาทางส่งไปให้นะครับ
แต่ถ้าจนปัญญา...ก็ว่าจะกินแทน
7:04 PM
อ้าว อ้าว
สนับสนุนๆ
ให้รู้จักกันไว้ ๕๕๕
กลับไปอยากเจอกัน ผมจะอาสาเป็นตัวประสานให้
อิอิ
10:46 PM
ชักสนุก
มาแอบดู
7:59 PM
Post a Comment
<< Home