Friday, May 13, 2005

Madeliene

วันนี้ผมกลับบ้านพร้อมแผ่นหนังเกาหลีเรื่องเดิม...แต่คราวนี้แผ่นแท้ ดูได้อย่างไร้กังวลแน่ๆ

ผมตัดสินใจดูใหม่ทั้งเรื่องอีกรอบ ไม่เจาะจงดูเฉพาะฉากที่แผ่นเกิดกระตุก ชะงัก

ผมตัดสินใจถูก เพราะการดูครั้งนี้ของผม นอกจากจะได้อรรถรส แบบที่แผ่นละเมิดลิขสิทธิ์มอบให้ไม่ได้แล้ว ผมยังได้เสพรายละเอียดของหนัง อีกครั้ง ผมสังเกตเห็นว่า ผู้สร้าง สร้างหนังเรื่องนี้ด้วยความละเอียด ประโยคหลายประโยค ฉากหลายฉาก ไม่ได้ออกมาโลดแล่นเพียงผ่านแล้วจากไป แต่มันทิ้งประเด็น หรือ นัย ไว้เสมอ...ผมหลงรักในรายละเอียดของหนังเรื่องนี้จริงๆ

อย่างที่เคยบอก เขาและเธอต่างกัน จนแทบจะเข้ากันไม่ได้ แต่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ความ "ต่าง" นี่แหล่ะ คือสิ่งที่ "เติม" ให้กันและกัน เขามีจังหวะชีวิตที่เอื่อยเฉื่อย เธอเข้ามาทำให้ชีวิตเขามีจังหวะ และมีสีสันมากขึ้น เช่นกันเธอมีจังหวะชีวิตที่รวดเร็ว และไม่คงที่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เขาเข้ามาทำให้จังหวะชีวิตเธอ ช้าลง และ "เหวี่ยง" น้อยลง

การที่ผมตัดสินใจดูใหม่ซ้ำอีกรอบ มันทำให้ผมเข้าใจเธอมากขึ้น แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงเธอ "เคว้ง" จากคนรักเก่าเท่านั้น เธอ "กลัว" ที่จะเริ่มใหม่กับ เขา ด้วยต่างหาก เธอเกรงใจในความดี และความรักที่เขามีให้ เพราะเธอเริ่มที่จะรักเขาแล้วนั่นเอง

Madeliene เป็นชื่อขนม ที่เพื่อนเด็กส่งหนังสือพิมพ์ (ซึ่งเป็นจ๊อบของเขาด้วยเช่นกัน) ทำมาให้กิน ยามเมื่อส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านเสร็จสิ้น วันนั้นเธอตามไปส่งหนังสือพิมพ์กับเขาด้วย (อย่างน่ารัก) สามคนกินอาหารเช้าด้วยกันบนสะพานเดิม จุดนัดพบทุกเช้า ด้วยความที่เขาเป็นหนอนหนังสือตัวยง เขาเล่าว่า เคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ตัวเอกมีความผูกพันกับ ขนม Madeliene เมื่อได้กิน จะทำให้ตัวเองได้รำลึกถึงความทรงจำเมื่อวัยเยาว์เมื่อครั้งที่ลิ้มรสขนมแห่งความทรงจำนี้ครั้งแรก ... เขาพูดว่า อีกสิบปีข้างหน้า เมื่อเขาได้มีโอกาสกินมันอีก มันคงจะทำให้เขานึกถึงเช้าวันนี้บ้าง

และหนังเรื่องนี้ ก็ดำเนินเรื่องด้วย "ความทรงจำ"

รักแรกของเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นแหล่ะ (แน่นอนเด็กสาวคนนั้น ก็เป็นเพื่อนของเธอด้วยเช่นกัน) เขาเคยให้เพื่อนสาวน้อยคนนั้นยืมสมุดเลคเชอร์ ยามที่สาวน้อยคนนั้นขาดเรียน ความประทับใจมันเกิดตรงจุดนั้น (จีบสาวด้วยวิชาการนั่นเอง นึกแล้วก็น้อยใจ ตอนสมัยเรียนตรี ผมก็ให้เพื่อนยืมเลคเชอร์บ่อยๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นไอ้ทะโมนก็ตาม แต่ไม่ยักกะมีใครมาทำให้สยิวในใจอย่างนี้สักที) เมื่อสาวน้อยคนนั้นเอาสมุดมาคืน เขาเปิดดู ตัวหนังสือน่ะอยู่ครบ แต่ที่แปลกประหลาด เพิ่มขึ้นมาคือ "รอยจูบ" ที่หน้าสุดท้าย

ทำเอาไอ้หนุ่มน้อย ม.3 นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ตับพิการ อาหารไม่ย่อย ลิ้นก็กร่อย ฟันก็ปวดและเป็นปรวดในกระเพาะ ลมหายใจเหม้น เหม็น เช้าเย็นอาเจียน นึกถึงแต่รอยจูบนั้น ต้องตื่นมากลางดึกเปิดดูอีกรอบ ให้สาแก่ลูกกะตาตัวเอง ว่าไม่ได้ฝันไป และแล้วก็อดใจไม่ไหว ต้องประทับจูบลงบนรอยจูบนั้นสักครั้ง

นั่นคือจูบแรกในชีวิตของเขา

หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วรอยจูบนั้นหาใช่รอยจูบของสาวน้อยคนนั้นไม่ แต่เป็นสาวน้อยแสนซนอีกคนต่างหาก ใช่ เป็นของเธอนั่นแหล่ะ เธอแอบเอาลิปสติกมาทาเล่น แล้วลองสีลิปฯ ด้วยการเอาสมุดของเขา มาประทับจูบ อย่างบังเอิญ ... จูบแรกของเขา จึงไม่ใช่กับสาวน้อยผู้ยืมเลคเชอร์อย่างที่เขาฝัน แต่เป็นจูบแรกของเขาและเธอ

แล้ววันหนึ่งหลังจากที่เขาและเธอตกลงเป็นแฟนกันหนึ่งเดือน เพื่อนสาวน้อยรักแรกของเขาก็กลับเข้ามาในชีวิต ด้วยความตื่นเต้น เขาบอกเพื่อนสาว (ไม่น้อยแล้ว) คนนั้นว่า เขายังไม่มีแฟน นั่นคือการละเมิดข้อตกลงข้อแรกระหว่าง เขาและเธอ ที่ทั้งคู่ต้องจริงใจต่อกันและไม่โกหก ตลอดหนึ่งเดือนนี้ การละเมิดข้อตกลงข้อนี้ของเขา เหมือนหนามที่ทิ่มย้ำไปแผลเดิมในใจของเธอ ตอกย้ำความทรงจำอันเลวร้ายที่มีต่อสันดานผู้ชาย

เมื่อเขากำลังสับสน ในการเลือกที่จะเดินย้อนกลับไปในความทรงจำ สานต่อรักใสวัยมัธยมของเขา หรือจะเลือกเดินหน้าต่อในเส้นทางรักหนึ่งเดือนกับเธอ เขาก็มีคำตอบให้กับตัวเองว่า ความ "เหมือน" หลายๆอย่างระหว่างเขากับรักแรกนั้น มันไม่ยักกะ "เติม" เหมือนเช่นความ "ต่าง" ระหว่างเขากับเธอ เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอทำให้เขากลายเป็นนักเล่นเกมส์มือสมัครเล่น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาคิดเสมอว่าการเล่นเกมส์คือการฆ่าเวลาที่ไร้สาระ และก็เป็นเขาที่ทำให้เธอทอนจังหวะชีวิตลงด้วยการหันมาเป็นหนอนสมัครเล่นอ่านหนังสือเล่มโปรดของเขาได้ร้อยหน้าในหนึ่งคืน

และแล้วก็มาถึงวันครบรอบหนึ่งเดือน วันนี้เขาและเธอต้องเลิกกันตามข้อตกลง คำพูดของเธอเป็นจริง เขาตอนนี้รักเธอเต็มหัวใจ แต่เธอแม้อยากจะเปิดใจรับแต่เธอมีอีกชีวิตที่ต้องดูแล และเลือกที่จะอยู่กับอดีต

แว่บแรกที่เธอบอกกับเพื่อนสนิทของเธอว่า จะเก็บเด็กในท้องไว้ เพื่อนผู้นั้นของเธออุทานออกมาว่า "จะบ้าเหรอ ประสาทหรือไง" แต่เธอกลับตอบไปว่า "คนที่เป็นแม่ เลือกที่จะรักษาชีวิตลูกไว้ บ้าและประสาทตรงไหน"

สวรรค์เล่นตลก แม้เธอตัดสินใจที่จะเก็บชีวิตในครรภ์เธอไว้ แต่คืนวันฝนตกคืนหนึ่ง (ผมเพิ่งสังเกตว่า หนังเรื่องนี้ก็ผูกพันกับฝนเยอะเหมือนกัน พอๆกับการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือระหว่างเขากับเธอ แม้ว่าจะนั่งอยู่ติดกันก็ตาม) หลังจากเธอทะเลาะอย่างรุนแรงกับพ่อของเด็กในท้อง และเดินซมซานตากฝนเป็นลมล้มพับอยู่ต่อหน้าเขา ขณะที่เขากำลังกุลีกุจอเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการเอาหนังสือพิมพ์ใส่รถจักรยานคันเก่ง เตรียมปั่นไปส่งตามบ้าน เช่นเคยทุกวัน

เขาแบกเธอวิ่งฝ่าสายฝนไปโรงพยาบาล มีสองชีวิตฝากอยู่บนหลังของเขา

อาจจะสมใจสาววัยรุ่นท้องก่อนเวลาทั้งหลายในประเทศนี้ เธอเสียลูกไป เพื่อนสนิทของเธอ ปลอบว่า "ฉันคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีนะ เขารู้ว่าตอนนี้แม่ของเขากำลังลำบาก เขาเลยเลือกที่จะไปอยู่ที่อื่นก่อน วันนึง เมื่อแม่ของเขาพร้อม และเจอคนที่รักแม่ของเขาอย่างจริงใจ วันนั้นเขาจะกลับมาอยู่กับแม่ของเขาใหม่อีกครั้ง"

หลังจากเสียลูกไป เธอปิดตัวเอง ตัดขาดจากเขา จมอยู่ในร้านเสริมสวย

สำหรับเขา ทุกครั้งที่มองฟ้า ก็นึกถึงเธอทุกครั้ง

วันนึงเขาปั่นจักรยานคู่ชีพกลับไปที่ร้านเสริมสวยของเธอ ขอร้องให้เธอเปลี่ยนสีผมให้กับเขาอีกครั้ง (หลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกันไม่นาน เธอนี่แหล่ะจับเขาเปลี่ยนสีผมเป็นครั้งแรกในชีวิต แถมยังปลอบเขาอีกว่า ครั้งแรกก็เจ็บงี้แหล่ะ ครั้งต่อไปก็จะดีเอง...เปลี่ยนสีผมแน่เหรอฟะ) เขาบอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว คงจะเจ็บน้อยลง แต่เธอกลับขู่ว่า ไม่แน่หรอก ครั้งที่สองอาจจะเจ็บกว่าเดิมก็ได้ (เปลี่ยนสีผม ครับ เปลี่ยนสีผม)

การเปลี่ยนสีผมกำลังดำเนินไป เขาขอเริ่มใหม่กับเธออีกครั้ง...

ไม่มีคำตอบ

มีแต่รอยยิ้ม

รอยยิ้มทั้งเขาและเธอ...และผม

สิ่งที่ทำให้ผมมีความรู้สึกร่วมกับหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงเนื้อหา และรายละเอียดของมัน แต่เป็นชีวิตผมเองด้วย

ระหว่างนั่งดูมัน ก็ย้อนคิดถึงเรื่องตัวเอง...เธอกับผมก็ต่างกันมาก เธอมีจังหวะชีวิต และอารมณ์ที่ "เหวี่ยง" ส่วนผม เป็นพวก "เฉื่อย" เธอเข้ามาเติมจังหวะชีวิตของผม สอนให้ผมทำหลายสิ่งที่ไม่เคยทำ คิดในสิ่งที่ผมเองไม่เคยคิด เห็นในสิ่งที่ผมเองไม่เคยเห็น เราสองคนเริ่มต้นด้วยความต่าง แต่ลงท้ายด้วยความเหมือน นับวันๆ ผมกับเธอจะเหมือนกันมากขึ้นทุกวัน

จังหวะชีวิตที่เหวี่ยงน้อยลงของเธอ ทำให้เธอรู้จักตัวเธอเอง และสิ่งที่อยู่รอบตัวเธอมากขึ้น มากขึ้น รวมทั้งเรื่องระหว่างเธอกับผม นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สี่ปีแล้วที่เรารู้จักกัน สี่ปีที่ผ่านมาเราเรียนรู้กันมากมาย เรียกได้ว่า สำหรับเธอ นอกจากพ่อของเธอแล้ว ผมเป็นผู้ชายที่รู้จักเธอดีที่สุด สำหรับผม นอกจากแม่ของผม เธอก็เป็นผู้หญิงที่รู้จักผมดีที่สุดเช่นกัน

และแล้วความเหมือนที่มีมากขึ้น ทำให้ผมและเธอ ต้องถอยออกมาคนละก้าว (แม้ว่าจะเป็นเธอที่ถอยออกมาก่อน) ใจผมอยากจะขยับก้าวตามไป แต่ก็คิดได้ว่า การทำอย่างนั้นจะยิ่งทำให้เธอถอยห่างออกไปมากกว่า ที่จะหยุดหรือก้าวกลับมาหาผม แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้จริงๆที่จะถอยออกมาจากเธอ วันนี้ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่กับที่ รอสักวันเธอจะพร้อมก้าวกลับมายืนตรงหน้าผมที่จุดเดิม

เหมือนตอนจบของหนังเรื่องนี้

แรกๆก็รู้สึกอิจฉาพระเอกในเรื่อง เพราะได้เจอเพื่อนหญิงเก่าๆสมัยมัธยมน่ารักๆถึงสองคน อยากเจอเพื่อนหญิงเก่าๆงี้บ้าง

แต่นึกอีกที ไม่ดีกว่า ก็ตอนมัธยมผมเรียนโรงเรียนชายล้วนนี่หว่า ... หากเจอพวกมันสวยล่ะก็ ....อึ๋ย สยอง

คงไม่เป็นการตัดหน้าคุณปิ่นฯ ในการเขียน "จดหมายรักของนักเศรษฐศาสตร์" นะครับ

รออ่านเช่นกันครับ

5 Comments:

Blogger ratioscripta said...

ผมว่าบล็อกของผมมันคงมีปัญหาเกี่ยวกับการจดจำวันเวลาแน่นอน

เพราะไอ้เรื่องยุ่งๆเกี่ยวกับความตาย ผมโพสเมื่อวาน แต่ Madeleine ผมโพสวันนี้

แล้วไฉน เรื่องวันนี้ของผมกลับมาอยู่หลังเมื่อวานฟะ ย้อนกลับไปดูวันเวลา อ้าว เมื่อวานที่ผมโพส มันกลับเป็นปี 2006 นี่ผมโพสล่วงหน้าเป็นปีเลยรึเนี่ย

เอาเถอะครับ ช่างมัน

เรื่องยุ่งๆเกี่ยวกับความตายของผม คงอยู่ยั้งยืนยง เป็นเรื่องแรกของบล็อกผมตราบจนถึง พฤษภาคม ปี 2006 โน่นน่ะครับ

8:06 AM

 
Blogger suthita said...

ตอนเรียน film ที่นิเทด จำประโยคนึงของอาจารย์ได้แม่น

" ไม่มีหนังเรื่องไหนในโลกนี้ฉายจบ "

หนังทุกเรื่อง เป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปโดยตัวของหนัง
ชีวิตของเรา เป็นสิ่งที่ดำเนินต่อไปโดยตัวของเรา

มักมี ภาค 1 2 3 แม้แต่ภาคพิสดาร!!!

หรือต่อให้ตอนเดียวจบ... แต่ก็จะมีเรื่องอื่นเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องอยู่ดี

รออ่านภาคต่อไปค่ะ
;)

8:34 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ภาคต่อไป?

ในหนัง หรือ ชีวิตผมครับ??

10:55 AM

 
Blogger pin poramet said...

แก้ได้นิ

log in ในหน้า home ของ blogger (กดมุมซ้ายบนของหน้า) แล้ว edit วันที่เอา

5:11 PM

 
Blogger ratioscripta said...

ขอบคุณครับคุณปิ่นฯ

55555

แสดงให้เห็นว่า ในการเขียนบล็อกนี่...

ผมเขียนเป็นอย่างเดียว

8:12 PM

 

Post a Comment

<< Home