Saturday, October 15, 2005

สวัสดีดากานดา




ผมไม่รู้ว่าสัตว์ชนิดอื่น เผ่าพันธุ์อื่น ในบรรณพิภพแห่งนี้ จะมีความคิดอย่างผมตอนนี้หรือไม่ และแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองผมก็ยังไม่มั่นใจ

ผมว่ามนุษย์มีมิติแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกันเองที่หลากหลายและมากมาย ซับซ้อนเกินกว่าที่ปรากฏและมีในสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ผมคงไม่ได้ด่วนสรุปด้วยฐานะที่ตัวเองสังกัดเผ่าพันธุ์นี้หรอกนะครับ (ไม่รู้สิเพราะผมก็ไม่เคยเป็นสัตว์สายพันธุ์อื่นด้วย เว้นแต่เมื่อชาติกาลเก่าก่อนที่ผมก็จนปัญญาเพราะไม่อาจระลึกชาติอะไรกับเค้าได้)

แต่ในบางครั้งความสัมพันธ์ที่มีมากมาย ซับซ้อนร้อยพัน ที่มันรายล้อมตัวเราอยู่มันอาจจะทำให้เราลืมที่จะสังเกต ลืมที่จะตั้งคำถาม กระทั่ง ลืมที่จะเรียนรู้และเข้าใจมัน

ความสัมพันธ์ ซึ่งส่วนหนึ่งแสดงออกมาในรูปของความรัก มิตรภาพ แม้แต่ความเกลียดชังจึงเป็นเรื่องที่คนพูดถึง กล่าวถึง อ้างถึง และแม้แต่สบถถึง มากมายที่สุดเรื่องหนึ่ง ในบรรดาหลายร้อยหลายพันหน่วยที่วิวาทะผ่านรอยหยักและกาลเวลา

หลายคนอาจกำลังตั้งคำถาม ว่าอาจเป็นเพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวใกล้เดือนสิบสองอย่างนี้ ฮอร์โมนในร่างกายผมทำงานผิดปกติกระมัง จึงทำให้อยู่ๆก็ลุกขึ้นมานั่งเขียนบล็อกในอารมณ์นี้

มีส่วนครับ…

ผมเป็นคนของหน้าหนาว แม้ว่าจะเกิดหน้าร้อน

แปลกแต่จริง ตั้งแต่เด็กยันโต เมื่อลมฝนกำลังจะพัดผ่านไป และลมหนาวกำลังมาเยือน ช่วงเวลานี้แหล่ะครับ ที่ผมจะรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด เป็นประจำทุกปี แบบที่ไม่ต้องมีเหตุผลหรือตรรกะใดๆมาข้องแวะ

เมื่อประกอบกับกลิ่นอายแห่งความรักและมิตรภาพที่ฟุ้งตลบอยู่ตามบล็อก และโรงภาพยนตร์ ในช่วงนี้ ใช่ครับผมกำลังพูดหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” ที่ผมไปดู เมื่อสองวันก่อน

ไม่ยากเลยครับที่สิ่งเหล่านั้นจะฉุด ดึง ลาก ผลัก ให้ผมต้องร่วมวงแลกเปลี่ยนมุมมองในเรื่องความสัมพันธ์ที่ปรากฏในรูปแบบของ “ความรัก มิตรภาพ” และบางส่วนอาจต้องก้าวก่ายไปถึง “ความเกลียดชัง” ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดากานดา ไข่ย้อย และนุ้ย เป็นตัวอย่างที่ดี ที่แสดงออกให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ทั้งที่เรียกว่า “ความรัก” และ “มิตรภาพ”

อาจจะเป็นแบบที่ “จตุรัสมิ้ม” ว่าไว้ในบล็อกของเธอว่า ความรักที่เกิดจากมิตรภาพนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความรักจากไป อาจจะยังหลงเหลือมิตรภาพให้ดื่มด่ำต่อ อีกทั้งมิตรภาพยังเป็นน้ำเลี้ยงที่ดีในการหล่อเลี้ยงอุ้มชูให้ความรักเบ่งบานอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย

แต่บางครั้งมิติที่เกิดขึ้นระหว่าง “ความรัก” และ “มิตรภาพ” มันเป็นมิติของการ “แทนที่” หาใช่ “มิติเชิงซ้อน” เหมือนในอุดมคติ นั่นหมายถึง ในบางคราเมื่อเกิดความรักขึ้นแล้ว ก็ยากเหลือเกินที่จะค้นหาร่องรอยของมิตรภาพยามเมื่อความรักสลายหายไป เพราะความรักได้มาแทนที่มิตรภาพเสียแล้ว

ผมเชื่อว่าด้วยความกลัวที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้นี่เอง ทำให้ดากานดาที่เป็นตัวแทนของเพื่อนสนิทที่ “ถูกรัก” และ “ถูกบอกรัก” กระอักกระอ่วนใจที่จะเปลี่ยนสถานะของไข่ย้อย จากเพื่อนสนิทมาเป็นคนรัก เพราะกลัวจะเกิดการแทนที่ขึ้นในความสัมพันธ์ และยากจะเรียกกลับคืนมา หากสถานะใหม่ มันเดินไปได้ไม่ไกล

และคงไม่ต่างจากไข่ย้อย ยามเมื่อถูกนุ้ย เพื่อนสนิทของตัวเอง “บอกรัก” เช่นกัน เพราะไข่ย้อยเองผ่านสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อนหน้าแล้ว ดากานดารู้สึกอย่างไร ไข่ย้อยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

ผมยังคงยืนยันเหมือนครั้งที่ได้ไปทิ้งความเห็นไว้ในบล็อกของ “จตุรัสมิ้ม” ว่าความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ของมนุษย์น่าจะมีองค์ประกอบอย่างน้อยส่วนหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “ระยะ”

ให้คิดใหม่เขียนใหม่ คงไม่ได้เหมือนเดิม ขอวิสาสะหยิบยืมและยกมาไว้ในบล็อกของผมตอนนี้เลยแล้วกันครับ (ข้ออ้างของคนขี้เกียจ)

“…สำหรับผม ความรัก และมิตรภาพ มันคือ "ความสัมพันธ์" ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ"ระยะ"

ที่วัดไม่ได้ตามหลักเมตริก หรือมาตราวัดใดๆในโลกผมเชื่อว่าทุกความสัมพันธ์ต่างมี "ระยะ" ของมันเอง

ไม่มีทางที่เราจะใกล้หรือสัมพันธ์กับใครคนอื่นโดยที่ไม่มี "ระยะ" เลย แม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้องของเราเองก็ตาม

แต่ระยะของแต่ละความสัมพันธ์ และของแต่ละคนนั้น"ไม่เท่ากัน"

บางครั้ง เราพอใจ เรารู้สึกดีกับใครสักคน เป็นเพราะเรามองและสัมผัสเค้าได้จาก "ระยะ" ที่เหมาะสมและพอดีระหว่างเรากับเค้า

แต่เมื่อเรา หรือเค้าเอง ก้าวข้ามผ่าน "ระยะ" ที่เหมาะสมอันนั้นแล้ว ผลที่จะเกิดขึ้น คงมีสองอย่าง

1. เห็นเค้าได้ชัดเจนขึ้น และมั่นใจในตัวเค้ามากขึ้นว่าเค้าเป็นอย่างที่เราเคยเห็นและสัมผัสมาก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้เรา "ต้องการ" หรือ "เรียกร้อง" อะไรบางอย่างต่อเค้ามากขึ้น

2. ยิ่งชัดยิ่งเห็นว่าไม่เป็นอย่างที่เราคิดไว้เลย ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้เรา "ผลัก" "ถอย" ออกจากการมองเค้าจากระยะนั้น และ ไม่แน่ว่าเมื่อเราห่างออกมาแล้วแม้จะอยู่ในระยะเดิมๆ เราจะรู้สึกต่อเค้าเหมือนเดิมหรือไม่ ก็เหมือนกับเมื่อเรามองผ้าขาวสะอาดทั้งผืน เราอาจไม่สังเกตเห็นถึงจุดดำๆเล็กที่ชายผ้าได้ แต่หากเรามองเห็นมันแล้ว ต่อให้มองเพียงผ่าน เราก็จะจดจำรอยดำๆรอยนั้นได้ติดตา

เมื่อจะก้าวข้ามผ่าน "ระยะ" นั้น ก็ต้อง ยอมรับให้ได้กับผลทั้งสองข้างต้นและถ้าจะให้ดี ต้องพร้อมที่จะถอยกลับมาอยู่ใน "ระยะ" ที่เหมาะสมในก่อนหน้านั้นให้ได้

แต่ความซับซ้อนที่จะทำให้เราเข้าใจและปรับ "ระยะ" นั้นให้ได้เหมาะสมกับความสัมพันธ์นั้นก็คือ"ระยะ" ของคนสองคน อาจไม่เท่ากัน บางครั้งฝ่ายที่ก้าวผ่าน "ระยะ" เข้ามาก่อนอาจไม่ใช่เรา แต่กลับต้องเป็นเราเองที่ต้อง "ปรับ" "ระยะ" นั้น และบางครั้ง แม้เราจะพยายามปรับระยะ เข้าหาใครสักคน เพราะรู้สึกว่าเค้าใช่ และเราอยากกระชับระยะของเราให้ใกล้กันมากขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่ สำหรับเค้า ระยะระหว่างเรากลับเท่าเดิม และไม่พร้อมที่จะปรับให้เท่ากับระยะที่เรามีต่อเค้า

…แล้วโลกนี้จะหวังอุดมคติ ที่คนสองคนจะมีระยะที่เท่ากัน และต่างพึงพอใจกับระยะระหว่างกันนั้น จึงเป็นอุดมคติที่หาได้ยากยิ่ง จริงๆ…”

แต่ทั้งนี้ ไอ้ระยะที่ผมว่าไว้ใช่ว่าจะคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม มันอาจเปลี่ยนแปลงบ่อยกว่าจำนวนครั้งที่มนุษย์หายใจในแต่ละวันด้วยซ้ำไป

ด้วยเหตุนี้เราถึงจำเป็นต้อง “ปรับระยะ” ของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบข้างเสมอ มากบ้างน้อยบ้างก็สุดแท้แต่

ปัญหาที่สำคัญคือ ระยะที่ปรับได้นั้น มันเกิดจากตัวเราเองที่จะต้องปรับ การเรียกร้องให้ผู้อื่นปรับเป็นการเรียกร้องที่เปล่าประโยชน์ เว้นเสียแต่เขาเองก็เข้าใจในระยะ และพร้อมที่จะปรับระยะในส่วนของเขาด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถอยออกไปจนตกขอบ หรือร้างไปซึ่งความสัมพันธ์เสียเลย

เหมือนที่ไข่ย้อย ได้พยายามปลีกตัวออกมาไกลถึงพงัน หลังจากที่ได้สารภาพรักกับดากานดาแล้ว…หรือจะเรียกว่าหนีก็ได้ (ซึ่งก็คงเหมือนกับประโยคที่นุ้ยพูดกับไข่ย้อยยามเมื่อทั้งคู่นั่งชิงช้าสวรรค์ในคืนหนึ่งที่พงันว่า “คนมาทะเลถ้าไม่หนีร้อน ก็หนีรักมา”)

และคงเหมือนการที่ไข่ย้อยตัดสินใจลาพงัน ก็เพราะอาจเป็นการที่ไข่ย้อยพยายามจะปรับระยะ (ในความหมายนี้คือการ “รักษา” ระยะ) เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเขาและนุ้ยไว้ เช่นกัน

นอกจากระยะแล้ว สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นองค์ประกอบในทางเนื้อหาของความสัมพันธ์อีกประการหนึ่งก็คือ “เวลา”

มิติของกาลเวลาที่มีผลต่อความสัมพันธ์ อาจมีหลากหลาย ระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอ อาจทำให้ความสัมพันธ์ถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือแม้แต่จุดของเวลาบางเวลา ก็ส่งผลให้ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้น เหมือนวันแรกในฐานะนักศึกษาปีหนึ่ง ที่ดากานดาก้มตัวมาจ้องหน้าและทักทายไข่ย้อยที่กำลังก้มดูรองเท้าของตัวเอง เพราะไม่กล้าสบสายตาและขอชื่อของบรรดาเพื่อนใหม่ อันเป็นกิจกรรมที่คณะจัดขึ้น

และก็เหมือนกับแวบแรกที่พยาบาลสาวยิ้มสวยอย่างนุ้ย ได้เจอคนไข้หน้าตางุนงง อย่างไข่ย้อยที่ทะลึ่งคิดว่าตัวเองเป็นแจ็ค ณ ไททานิค ปีนไปเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือ แล้วตกลงมาขาหัก

จุดของเวลาเหล่านั้น มีผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคู่ ในมิติของการก่อกำเนิด

แต่บางครั้ง สิ่งที่เรียกว่า “จังหวะ” ที่เหมาะสมก็มีผลไม่น้อยต่อการกำหนดจุดของเวลาเพื่อก่อเกิดความสัมพันธ์เหมือนกัน

ในวันที่ไข่ย้อยบอกรักเพื่อนสนิทของตัวเองได้ต้นชงโค ดากานดาได้ทิ้งประโยคที่ทำให้คนดูอย่างผมกลับมาตีความได้เป็นวรรคเป็นเวร นั่นก็คือ “แกมาบอกอะไรป่านนี้”

มาบอกอะไรป่านนี้…

มาบอกทำไมในวันที่ฉันมีคนอื่นอยู่แล้ว…

และก็คงเหมือนกับ จดหมายของดากานดาที่เดินทางกว่า 1,500 กิโล จากเชียงใหม่ ถึงเกาะพงัน ที่ส่งมาถึงไข่ย้อย เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเพื่อน เมื่ออยู่ๆมันก็หายไปเฉยๆ และมารู้ข่าวจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่บังเอิญไปพบชายขาหักนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์พยาบาล พร้อมด้วยอุปกรณ์วาดรูปไปชายหาดทุกวันๆ

ในจดหมายฉบับนั้นลงท้ายว่า

“เออนี่ ฉันจะบอกว่า ฉันเลิกกับโก้แล้วนะ”

เมื่อไข่ย้อยอ่านจบ…ผมเข้าใจว่ามันน่าจะกระโดดตัวลอยแล้วรีบแจ้นจับรถจับเรือไปหาดากานดาถึงเชียงใหม่ ในเมื่อมันมีโอกาสสานสัมพันธ์เพื่อเปลี่ยนสถานะกับเธอได้อีกครั้งแล้ว

ผิดคาด…สีหน้ามันกลับเหมือนดากานดาเมื่อวันใต้ต้นชงโค

“แกมาบอกอะไรป่านนี้วะ”

มาบอกในวันที่หัวใจฉันก็มีใครอีกคนมาอยู่แทนที่แกแล้ว

การบอกกล่าวของดากานดาทั้งสองครั้งสองครา เป็นหลักฐานของสิ่งที่เรียกว่า “การผิดเวลา” ความสัมพันธ์บางอย่างจึงไม่อาจก่อกำเนิดเกิดขึ้นได้…ทำนองเดียวกับ คำว่า “สายเกินไป”

นักดูหนังสมัครเล่นอย่างผมได้แต่ตีความไปคนเดียวว่า แท้จริงแล้วดากานดาก็คงมีความรู้สึกที่ดีกับไข่ย้อยอยู่มากไม่ว่าจะเรียกมันว่า ความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิทหรือคนรักก็ตาม แต่มันก็น่าจะเป็นฐานที่จะทำให้ไปถึงความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “คนรัก” ได้

เส้นบางๆที่กั้นความรู้สึกของทั้งสองคนอยู่ คือ ความกลัว กลัวการแทนที่ และการสูญเสียมิตรภาพในฐานะเพื่อนสนิทไป โดยเฉพาะทางฝ่ายดากานดา

แต่ความรู้สึกกลัวนั้น อาจจะเบาบางลง จนถึงมลายหายไปก็ได้ หากไข่ย้อยบอกความในใจในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง และอีกครั้งหากจดหมายของดากานดาส่งถึงไข่ย้อยก่อนที่เขาจะเจอนุ้ย

ด้วยเหตุนี้เองกระมังครับ ที่ผมไม่เคยเห็นและรู้สึกว่าคำว่า “กาลเทศะ” มีความหมายแค่เพียงในมิติของ “มารยาท” เท่านั้น

13 Comments:

Anonymous Anonymous said...

เขียนดีจังค่า

น้องต้องทำให้พี่อินกับเรื่องเพื่อนสนิทไปแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดู ฮ่าๆ

7:25 AM

 
Blogger ratioscripta said...

เหมือนๆจะใช่แต่ไม่ใช่ว่ะพี่

ส่วนความคาดหวัง ผมว่าสำหรับผมมันเป็นเรื่องเดียวกันกับ "ระยะ" เมื่อระยะเราใกล้เราย่อมคาดหวังมาก เมื่อห่างก็อาจน้อยลง

จะคาดหวังแค่ไหน อยู่ที่ระยะด้วย

ผมเคยเจอเหตุการณ์ในหมู่เพื่อนใหม่ แต่ละคนมาจากต่างที่ ต่างจิต ต่างใจ ต่างความคิด

โชคดีที่พื้นฐานใกล้เคียงกัน เลยปรับตัวเข้าหากันไม่ยาก (ในจำนวนเป็นสิบเลยนะครับ...ไม่ธรรมดา) แต่ในหมู่เพื่อนใหม่มีใครบางคนที่มีปัญหาในการปรับระยะ

ด้วยความคาดหวังว่า คำว่า "เพื่อน" นั้นเป็นคำๆเดียวกันกับ บรรดาพรรคพวกเก่าก่อนของเค้าเมื่อครั้งอยู่มหาวิทยาลัย คิดว่าระยะที่มีมันเท่ากัน...เลยคาดหวังเท่ากัน

ในขณะที่คนอื่นกำลังปรับตัว ปรับระยะ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับระยะของเพื่อนใหม่

เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ก็มีอาการงอนเพื่อน แต่ไอ้หมอนี่มันงอนไม่ธรรมดา เพราะโดยพื้นฐานเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต อารมณ์ค่อนข้างจะรุนแรง บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอลล์

เกือบทำสำนักงานแตกซะแล้ว

แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้พร้อมๆกับการเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับ ระยะ และความคาดหวัง

8:27 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ทั้งระยะและความคาดหวัง โดยมีมิติของ "เวลา" มาเกี่ยวข้องด้วยน่ะพี่

ฮ่าๆ

ร้านไหน ขอให้เป็นเงินพี่ ผมไปแน่นอน

8:35 AM

 
Blogger sweetnefertari said...

อ่านแล้วทำให้นึกถึงทฤษฎีสัมพันธะภาพยังไงไม่รุ
ก็แค่นึกถึงอะนะ จำตัวทฤษฎีไม่ค่อยได้แล้วเหมือนกัน (ไม่รู้จะพูดทำไม)เฮ่อๆ จะเรียกว่า "ระยะ" หรือ "กาลเทศะ" หรือ "บริบท" ก็ตามทีเถอะ (ของหญิงเนเฟอร์ฯ เรียกว่า "จังหวะ"ค่ะ)

ที่สำคัญน่ะนะ ในสเตปที่ 1 อย่าทำให้ไก่ตื่นก่อนก็แล้วกัน (เด๋วแห้ว เหมือนหญิงฯนี่)สเตปต่อไปค่อยว่ากัน เพราะมันต้องถกกันยาว...ไปถกกันแถวเลียบทางด่วนเลยดีมั๊ยเจ๊

ปล.
ชอบทุกความเห็นค่ะ หญิงฯรักทุกคน

ปล.กว่า
เดือน 12 นี่ ตกลงทั้ง "คน" ทั้ง "หมา" เลยรึ

9:24 AM

 
Blogger Etat de droit said...

ปวดหัวแท้หนอ...

เรียนหนังสือดีกว่าเด้อ

แต่เรียนด้วยรักด้วยก็หนุกดีเหมือนกัน ตามสโลแกนของผม "ความรู้คู่ความรัก" แต่ถ้าแห้วก็ "พักรบแล้วพบรัก" อิอิ

ว่าแต่ว่าเจ้าของบล็อกมันไปเจอประสบการณ์เพื่อนสนิทเมื่อไรกะใครรึ เล่าให้ฟังบ้างดิ ถ้าไม่เล่าให้ฟังจะจับมอมเหล้าวะ 555

5:38 PM

 
Blogger Lukasti said...

ยังไม่ได้ไปดูครับ แต่เคยอ่านหนังสือแล้ว
ชอบมากครับ...ชอบมาก

โดยเฉพาะกับคนที่เคยมีความหลังกับ'เพื่อนสนิท'อย่างผม

แหะ แหะ

จริงอย่างที่คุณ ratioscripta และอีกหลายๆ คนว่าครับ เรื่องบางเรื่องต้องใช้จังหวะจริงๆ
บางที่ผมยังคิดเลยครับว่า ความรักกับดนตรีเหมือนกันตรงที่ต้องมี 'จังหวะ'ที่ดี ถึงจะดีได้

ความรักมี 'ที่อยู่'และ'เวลา'ครับ
แลความรักเป็นเจ้าของตัวมันเองได้
ไม่มีใครถือครองมันได้
และหากจะได้...ก็เป็นแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

7:01 PM

 
Blogger crazycloud said...

เฮ้ย หายไปแป๊ปเดียว ท่านมหาบาลี ต้อง กลายเป็น เช็คสเปียร์น้อยไปซะแล้ว

ขอเสริมสุภาษิตรัก แนบแนมเข้าไปอีก จะได้ขนลุกกว่าเก่า หรืออาจเหงากว่าหนาวที่แล้วๆมา

"รักแท้ ก็เหมือนรักแร้ เพราะมาจากธรรมชาติเหมือนกัน"

"รักโดย ไม่อยากได้รัก จึงได้รัก" งงไหม

"รักที่แท้ต้องเริ่มที่การรักตนเอง จนเอ่อล้นไปสู่ผู้อื่น"

มีหนังสือความรักดีๆ มากบอก

ชื่อ เมตตาภาวนา คำสอนว่าด้วยรัก ของท่าน ติช นัท ฮัน เยี่ยมยุทธ

2:25 AM

 
Blogger ratioscripta said...

ผมมีหนังสืออยู่เล่มนึงของท่านติช นัท ฮัน ได้มานานแล้วครับ

"ปลูกรัก" น่ะพี่

แต่จวบจนถึงทุกวันนี้ผมยังอ่านไม่จบเลยครับ

อาจจะถึงเวลาที่ผมจะหยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่อีกครั้ง (ให้จบสักที)

นี่เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในปกหลังของหนังสือเล่มดังกล่าว และเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อมัน

"ทุกครั้งที่อาตมาสัมผัสดอกไม้
อาตมาก็ได้สัมผัสดวงอาทิตย์
โดยมืออาตมาไม่ไหม้เกรียม"

"เมื่อสัมผัสดอกไม้
อาตมาก็ได้สัมผัสเมฆ
โดยไม่ต้องบินไปบนท้องฟ้า"

"เมื่อสัมผัสดอกไม้
อาตมาได้สัมผัสกับจิตสำนึกของอาตมาเอง
สัมผัสกับจิตสำนึกของเธอ
และได้สัมผัสโลก
ซึ่งก็คือดาวพระเคราะห์ดวงนี้ไปพร้อมๆกัน"

"นี่คืออาณาจักรแห่งอวตัมสกะ
สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นได้
เพราะการประจักษ์แจ้งถึงธรรมชาติของการอิงอาศัยกัน"

ติช นัท ฮันห์

9:28 AM

 
Blogger crazycloud said...

ท่านนัท ฮันห์ เป็นมหาบุรุษแท้

เป็นพระ และกวีที่แสนโรแมนติก ลุ่มลึก

เป็นอัจฉริยา ที่ใช้สมองแบบฝาหรั่งยกย่องไม่ได้ แต่หากใช้ใจจะพบว่า ท่านเป็นบุคคลที่กว้างกว่าฟ้า ลึกกว่ามหาสมุทร ใสกว่ากระจก สุบสมบูรณ์ยิ่ง

11:36 PM

 
Blogger crazycloud said...

เหตุอันใดไหนเลย มนุษยโลก จึงมีความรักซับซ้อนเล่า

เพียงพินิจการคลอเคล้าที่ซับซ้อน สิ่งที่ซ่อน มีที่มาจาก จิตใจ นั่นประไร

ในความรัก มีสองด้านพรรณา

หนึ่งนั่นหนา คือ อารมณ์รัก ใคร่

มีดึงเข้า หมุนวน ผลักออกไป

เป็นมายา ฝุ่นควันไฟ ไม่จีรัง


การดึงเข้า คือแรงเร้า ให้ร่วมรัก

พอได้สม ความคึกคัก กลับเลือนหาย

การหมุนวน คือแรงเฉื่อย ฉุดใจกาย

ให้ติดอยู่ จนตัวตาย ไม่อาจลืม


การผลักออก คือระลอก แห่งคลุ่มคลั่ง

ถมทุกข์ทั่ง แรงโหม อปราถนา

ทั้งสามสิ่ง คือสิ่งรน เผากายา

ให้รุ่มร้อน ร่านล่า มายารัก


อีกด้านหนึ่งของรัก คือรักแท้

อันได้แก่ เมตตา อสงไขย

คือเพ่งสุข รู้ทุกข์ ทุกคนไป

ไม่ว่าใคร หรือว่าคน ที่เราปอง


คือ เมตตา กรุณา ทิตาจิต

คือ องค์รวมของชีวิต แบ่งแยกไม่ได้

คือ การแผ่ ความรัก จากข้างใน

ให้ออกไป อุ้มชู บูชาคน


คือหนทาง Inside Out เราเคยบอก

อยู่ใน Blog เรื่องแรก แถลงไข

เพราะแผ่สุข เนื่องหนุน จากเบื้องใน

ในจิตใจ เจ้าความทุกข์ ไม่แผ่วพาน


ในขณะที่ อารมณ์ความรักใคร่

กลับเป็นไป ในทิศทาง ที่ห่างเหิน

คือ Outside in ซึ่งเทียบทุกข์ไม่เชื้อเชิญ

จนเราเดิน หลงล้ม หล่มจมดิน


ขอจบกลอน รจนา เมฆบ้าแล้ว

หวังน้องแก้ว คงสุขสม อารมณ์หมาย

แลเห็นด้วยว่า เหมันต์ อันเมามาย

คือ เยื้องกราย สังวาสฤดู ของหมู่คน


เต้ง เตง เตง เต้ง

เต้ง เตง เตง เตง เตร้ง

ฮา ฮา

3:15 AM

 
Blogger sweetnefertari said...

โฆษณาบล็อกหรือจ๊ะพี่โตจ๊า...

11:41 AM

 
Blogger crazycloud said...

ใช่แล้ว น้องเอ๋ย เดี๋ยวนี้ ต้องเอาแบบ วัฒนา เมืองทุกข์

"ใช้การตลาดนำ" ครับคุณหญิงไวท์

1:07 AM

 
Blogger เสี่ยวรำพึง said...

ไม่ได้เข้ามาอ่านซะนาน เเหม ฟินจริงๆ ครับ ผมยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้เลย เเต่ชอบ เรื่อง ระยะ ของคุณ ratio scripta มาก ฟินจริงๆ

ปล ฟิน เป็นศัพท์ประจำกลุ่มผม หมายถึง ซึ้ง ได้อารมณ์ใช้ได้กับทั้งตอน รัก หลง เจ็บ เเห้ว อกหัก เเฟนทิ้ง สำหรับที่มานี่คิดว่ามาจากเรื่อง หลับตาโต๋ มั้งครับ

10:42 AM

 

Post a Comment

<< Home