ตำรวจที่ดี มีคุณภาพที่ประชาชนต้องการ
ด้วยวันนี้บุพการีทวงค่าน้ำนมโดยมีบัญชาให้ผมเขียนบทความสั้นๆขึ้นชิ้นหนึ่ง ทำนองจะให้เข้ากับบรรยากาศของ "เดือนตำรวจ" เพราะเพิ่งจะผ่านพ้นวันตำรวจไปไม่กี่วันเท่านั้น ไหนๆก็ไหนๆ อย่ากระนั้นเลย เอามาลงบล็อกด้วยดีกว่า หากินไปได้อีกงาน ขออนุญาตนำข้อเขียนดังกล่าวมาให้อ่านกันเพื่อรำลึกวันตำรวจย้อนหลังหน่อยนะครับ “ตำรวจที่ดี มีคุณภาพที่ประชาชนต้องการ” ถ้าถามว่า “ตำรวจที่ดี มีคุณภาพที่ประชาชนต้องการ” นั้น เป็นอย่างไร ก็คงต้องตอบในฐานะเป็นประชาชนหรือพลเรือนทั่วไป มิใช่ในฐานะตำรวจ เพราะการสมมติตนเองเป็นพลเรือน และใช้สายตาเช่นพลเรือนมองย้อนกลับเข้ามาน่าจะทำให้เห็นภาพของตำรวจ “ที่ดี” และ “มีคุณภาพ” ดังที่ประชาชนต้องการได้ชัดเจน และรอบด้านมากกว่าที่จะมองด้วยสายตาของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยกันเอง ถ้าข้าพเจ้าเป็นพลเรือน ข้าพเจ้าต้องการตำรวจที่มีความเป็น “มืออาชีพ” คำว่ามืออาชีพในนิยามของข้าพเจ้าคือ ต้องเป็นผู้เอาใจใส่ต่องานในหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง ต้องทุ่มเทจริงจังในการทำงาน และต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพตนเอง ปฏิบัติราชการโดยปราศจากอคติทั้งสี่ประการ อันได้แก่ ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะรัก เพราะรู้จัก ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะความกลัว เกรงเพราะเขาคือผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะความโกรธ และโมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะความไม่รู้ ขลาดเขลา รวมทั้งต้องเข้าใจบทบาท อำนาจหน้าที่ และภาระความรับผิดชอบของตนเองอย่างถ่องแท้ด้วย นั่นย่อมหมายความว่าตำรวจควรที่จะได้รับการฝึกฝน และพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ทั้งทางด้านการศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน ซึ่งหนทางนี้จะเป็นส่วนที่บรรเทาเบาบางปัญหาเรื่อง “โมหาคติ” ข้างต้น รวมทั้งการติดต่อประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่มีขอบเขตของอำนาจหน้าที่ที่ต้องทำงานสอดประสานกันด้วย ถ้าข้าพเจ้าเป็นพลเรือน ข้าพเจ้าต้องการตำรวจที่มีเข้าใจ และเข้าถึงความรู้สึกความทุกข์ร้อนของประชาชน เสมือนหนึ่งเป็นความทุกข์ร้อนของตนเอง ข้าพเจ้าต้องการให้ตำรวจเป็นตำรวจของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นคนแรกที่ประชาชนนึกถึงในเวลาที่เขาเดือดร้อนและต้องการความเชื่อเหลือ ด้วยความรู้สึกเชื่อมั่นว่าท่านจะ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่เขาได้ อย่าได้คิดว่าธุระไม่ใช่และรู้สึกน้อยอกน้อยใจคิดว่ายามทุกข์โศกเท่านั้นที่ประชาชนจะคิดถึงตำรวจ แต่นั่นเป็นเพราะท่านได้เข้าไปอยู่ในใจของประชาชนแล้วต่างหาก ประชาชนที่หนีร้อนมาพึ่งท่านหาใช่นำเอาความเดือดร้อนมาให้ท่าน หากแต่เขาเหล่านั้นมาทำให้ท่านเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่สมบูรณ์ต่างหาก เปรียบเสมือนคนไข้พยุงสังขารมาหาแพทย์นั้นก็เพื่อทำให้แพทย์เป็นแพทย์ที่สมบูรณ์นั่นเอง ถ้าข้าพเจ้าเป็นพลเรือน ข้าพเจ้าต้องการให้ตำรวจ “ใจกว้าง” นอกจากจะรับฟังความคิดความเห็นของประชาชน และหน่วยงานอื่นภายนอกแล้ว ตำรวจต้องกล้าที่จะให้มีการถ่วงดุลตรวจสอบการใช้อำนาจของตนด้วยความยินดีและเต็มใจ การตรวจสอบหาใช่การจับผิด หากแต่เป็นการช่วยกันสอดส่องและกระตุ้นเตือน ตำรวจเองต้องยอมรับว่ามือของตนข้างหนึ่งถือกฎหมายในแง่ของการใช้อำนาจ ในขณะที่มืออีกข้างท่านถืออาวุธร้ายแรงเช่นปืน การใช้อำนาจของท่านในบางครั้งบางคราอาจเกิดความผิดพลาด ทั้งที่โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ การเปิดโอกาสให้มีการถ่วงดุลตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นภายนอกอย่างเต็มใจ เท่ากับเป็นการเพิ่มระดับความระมัดระวัง และลดโอกาสในการที่จะเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามกฎหมายด้วย ในขณะเดียวกันการเปิดโอกาสให้หน่วยงานอื่นสามารถตรวจสอบ และถ่วงดุลการใช้อำนาจของตำรวจ ย่อมก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความโปร่งใส” ขึ้นด้วย ซึ่งความโปร่งใสนี้เองที่จะนำสิ่งที่เรียกว่า “ศรัทธา” ให้เกิดขึ้นในหมู่มวลประชาชน ถ้าข้าพเจ้าเป็นพลเรือน ข้าพเจ้าต้องการเห็นตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเมตตา ทั้งต่อผู้เดือดร้อนเสียหาย และรวมไปถึงผู้ต้องหา หรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดด้วย ท่านต้องระลึกไว้เสมอว่า เขาเหล่านั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่าเขาได้กระทำความผิด เหมือนแสงจันทร์ย่อมสาดส่องไปในทุกที่ทางแม้กระทั่งบ้านของคนชั่ว ความยุติธรรมก็ควรต้องสาดส่องไปในทุกทิศทางเช่นกัน แม้กระทั่งต่อผู้กระทำผิด ถ้าข้าพเจ้าเป็นพลเรือน ข้าพเจ้าต้องการเห็นตำรวจไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย เพราะข้าพเจ้าตระหนักได้ว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจะเห็นข้างต้นทั้งหลายจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง หากตำรวจไทยยังต้องพะว้าพะวังกับการดำรงชีวิตในแต่ละวัน เพราะในด้านหนึ่งของคำว่า “วิชาชีพ” นั้นคือคำว่า “อาชีพ” ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่บุคคลใช้หาเลี้ยงชีพ จุนเจือครอบครัว และเพื่อความมั่นคงในภายหน้าของชีวิต เช่นเดียวกับเมื่อเราต้องการมองดูเงาจันทร์ที่ปรากฏอยู่บนผิวน้ำ เราจะมองเห็นเงาจันทร์นั้นได้ชัดได้อย่างไร หากผิวน้ำยังกระเพื่อมขึ้นลงไม่สิ้นสุด |
กำลังใจแด่ข้าราชการตำรวจ ผู้"บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ทุกท่านครับ
4 Comments:
ฮ่าๆ ไม่ว่าไรหรอกครับ
เพราะลำพังที่บ้านก็มีตำรวจตัวจริงอ่านอยู่สองคนอยู่แล้ว
ส่วนขนมปั้นสิบน่ะได้แน่ แต่ต้องมาถึงถิ่นนะ
สำหรับข้าวอีกหลายมื้อนั้น เอาเป็นว่าผมเลือกร้านเองแล้วกัน (ป้าฟาสต์ฟู้ดของผมแกคงยิ้มแก้มปริ)
ปล่อยให้คนที่มีอักษรย่อ ป. (ป.) แกดีใจไปกับจินตนาการของแกเถิด ฮ่าๆๆๆๆ
7:31 PM
ตำรวจเป็นอาชีพที่น่าสงสารที่สุด เพราะ
ถูกด่ามากที่สุด
ถูกปลุกให้ตื่นกลางดึงมากที่สุด
เจออาชญากรมากที่สุด
เจอคนตาย เลือดสาด น่าจะบ่อยที่สุดรองจากสัปปะเหร่อ
หาเงินได้อันตรายที่สุด เพราะต้องยืนโบกรถ
ต้องวิ่งเต้นมากที่สุด
หากเป็นคนมีคุณธรรม แล้วต้องเป็นตำรวจ ก็ลำบากใจและอึดอัดกับระบบเป็นที่สุด
เครื่องแบบก็คับที่สุด เวลาเห็นลุงจ่าพุงพลุ้ยยืนโบกรถแล้วสงสาร
ตำรวจเนี่ย เครียด!
ช่วงเรียนมัธยม แม่เคยจะให้สอบตำรวจด้วย แต่ไม่เอา โชคดีจริงๆ
8:39 PM
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้น้อง
8:38 PM
แต่คงไม่สำคัญไปกว่า "ความจริง" มั๊งเพ่
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
9:43 PM
Post a Comment
<< Home