Monday, December 18, 2006

หนาวนี้ ที่แม่สาย

ปี 2549 ที่ผ่านมาถือว่า ดวงผมถูกโฉลกกับเมืองเหนือเป็นอย่างมาก

ปกติแล้ว ชีวิตของผมค่อนข้างจะเวียนวนกับทางภาคใต้มากกว่า เนื่องจากผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ มักจะได้รับการโยกย้ายไปประจำอยู่ตามหัวเมืองทางใต้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น สุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส ระนอง อาจจะมีไล่มาแถบตะวันออกและตะวันตก อย่าง มาบตาพุด - ระยอง หรือ สังขละบุรี - กาญจนบุรี บ้าง แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่

ว่าไปหัวเมืองทางเหนือที่สุดที่คุณพ่อของผมเคยไปประจำอยู่ก็เห็นจะเป็นแค่เพียง จังหวัดพิษณุโลก ที่อำเภอบางระกำเมื่อประมาณสักยี่สิบปีก่อนเท่านั้นเอง

ดังนั้น ครอบครัวของผมจึงไม่ค่อยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนจังหวัดทางเหนือ (รวมถึงอีสานด้วย) มากนัก ส่วนตัวผมเอง ผมเคยขึ้นเชียงใหม่แค่หนึ่งครั้งก่อนหน้านี้ และเป็นการเดินทางไปทำงานด้วย เรียกได้ว่า อยู่แต่ในโรงแรม จึงไม่ถือว่าถึงเชียงใหม่แต่อย่างใด

แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้ไปเหนือแบบถือว่า "ถึง" เหนือ สักกะที

ช่วงกลางปีที่ผ่านคุณพ่อเดินทางไปงานเลี้ยงสังสรรค์ รวมรุ่นเก๋ากึ้ก ที่เชียงใหม ผมและแม่เลยได้ทีติดสอยห้อยตามไปด้วย โดยอ้างเหตุผลว่า ผมจะช่วยพ่อขับรถนั่นเอง ครั้งนั้น ผมได้ขึ้นไปไหว้ “ครูบาศรีวิชัย” นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา พร้อมกับการบนบานศาลกล่าวท่านเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องกระทำในช่วงนั้น จากนั้นผมก็ได้ขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ สถานที่ที่ผมเคยได้ยินและเห็นภาพตามทีวีและสื่ออื่นเท่านั้น ... สวยชะมัดยาด

หลังจากนอนที่เชียงใหม่หนึ่งคืน รุ่งขึ้นเราก็ต้องขับรถกลับลงมาที่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อมาร่วมงานแต่งงานของลูกสาวเพื่อนพ่อสมัยที่รับราชการที่จังหวัดพิษณุโลก แต่ก่อนที่จะลงมาพิษณุโลก เราได้แวะสักการะพระธาตุหริภุญไชย ของดีประจำเมืองลำพูนกันก่อน แม้จะดูไม่อลังการ มะลังมะเลือง เท่าพระธาตุดอยสุเทพ แต่ก็คงความขลัง และสวยงามแบบขรึมๆดีทีเดียวครับ

แม้จะได้กราบนมัสการพระธาตุสำคัญๆของภาคเหนือ แต่ก็เหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง

อากาศหนาวๆไงครับ

ช่วงที่ผมไปนี่ไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น อันเป็นเอกลักษณ์ของทางภาคเหนือเลย แถมยังร้อนไม่ต่างจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมรอีกตะหาก

และแล้ว ชะตาก็พาลมเหนือหอบผมขึ้นไปอีกครั้ง เมื่อสามวันที่ผ่านมา

เมื่อภารกิจที่บนบานศาลกล่าวครูบาศรีวิชัย สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ผมก็ได้แต่ตั้งไว้ในใจว่าจะหาโอกาสขึ้นไปแก้บนท่าน โดยไม่ได้วางกำหนดการที่แน่นอนว่าจะเมื่อไหร่ อย่างไร

ในระหว่างที่ผมกำลังหาทางเบี้ยวบนครูบาอยู่ ก็เหมือนท่านจะหยั่งจิตรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของผม ท่านจึงดลบันดาลให้คุณพ่อผม ซึ่งก็นั่งเกาพุงอยู่ที่มาบตาพุดดีๆ มีอันต้องไปประจำการที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายซะงั้น ผมจึงรู้ตัวทันทีว่า ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องแก้บนเสียแล้ว ... คงเบี้ยวไม่ได้ล่ะ ทวงถึงที่แล้ว

กำหนดการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ของผมและครอบครัว ต้องร่นและเลื่อนมาหลายครั้ง ด้วยเหตุที่แม่แก่ของผมอาการไม่สู้ดีนัก กระทั่งมาลงตัวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้จะมีเวลาน้อยมาก (ออกเดินทางเย็นศุกร์ กลับเย็นอาทิตย์) แต่พวกเราก็ตัดสินใจไป

การเดินทางขาไปของผมและครอบครัวนั้น ใช้ยานพาหนะขับเคลื่อนสี่ล้อ (สองล้อบ้างเป็นครั้งคราว) ส่วนขากลับด้วยเวลาที่มีเท่านี้ ก็ต้องพึ่งยานพาหนะ...ล้อ (มีล้อ แหล่ะ แต่ไม่เคยนับ) และสองปีก

........................ ควับ .......................

ผมถึงเชียงใหม่แล้วครับ

เพื่อความสบายใจ ผมและครอบครัวตัดสินใจ เดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อไปแก้บนครูบาท่านโดยเฉพาะ



ของแก้บนของผมครับ ช้างเผือก (ช้างขาวนี่แหล่ะ) 1 คู่

เมื่อเสร็จภารกิจ เราก็เดินทางไปจังหวัดเชียงรายทันทีครับ แต่ก่อนจะถึงแม่สาย อันเป็นสถานที่ทำการของคุณพ่อ เราแวะชมความงดงามของศิลปแบบไทยร่วมสมัยของ "วัดร่องขุ่น" ก่อน จะเรียกว่าบังเอิญก็ได้นะครับ เพราะตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะแวะเยี่ยมวัดของอาจารย์เฉลิมชัยแห่งนี้ ดวงคงสมพงศ์กันน่ะครับ

งามแต้ๆ







สาบานได้ครับ ว่านี่คือห้องน้ำ!

เมื่อจากวันร่องขุ่นมาแล้ว ก่อนเข้าแม่สาย กิจกรรมการแวะชมก็ยังคงดำเนินต่อไป คราวนี้เราแวะชมสวนสมเด็จย่าบนดอยตุงกันครับ

ด้วยอากาศที่กำลังเย็น และดอกไม้สวยๆ ผมลืมกรุงเทพไปเลยครับ











ไม่ทราบว่างานราชพฤกษ์ 2549 ที่เชียงใหม่จะสวยเพียงไร แต่เมื่อผมอยู่บนดอยตุง ผมลืมความเสียดายที่ขับผ่านงานนั้นมาโดยไม่มีเวลาที่จะเยี่ยมเยือนมันเลยครับ

เมื่อลงจากดอยตุงแล้ว คราวนี้เราก็มุ่งหน้าจุดหมายสุดท้าย และเป็นจุดหมายหลักของการเดินทาง

อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย



อำเภอเล็กๆ แต่คึกคักเหลือเกิน เพราะมีด่านศุลาการและด่านตรวจคนเข้าเมือง อันเป็นช่องทางทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า (ผมขอเรียกว่าพม่านะครับ ขี้เกียจเขียนเมียนมาร์)









วินมอไซค์ครับพี่น้อง เหมือนบ้านเราเปี๊ยบ

ผมเองก็มีโอกาสข้ามไปยังฝั่งพม่า (นี่ถือเป็นครั้งที่สองของการเหยียบแผ่นดินพม่าของผม โดยครั้งแรกสมัยที่คุณพ่อผมรับราชการที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แต่ความเจริญทางฝั่งนั้นเทียบแม่สายไม่ได้เลยครับ)

ทราบจากคุณพ่อว่า วันๆหนึ่งมีคนไทยข้ามไปเที่ยวยังฝั่งพม่าเป็นพันๆคน ยิ่งเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ นักขัตฤกษ์ หรือวันหยุดยาว ก็ดีดไปถึงหลักหมื่น

นั่นยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่าจะข้ามไปดูอะไรหนักหนา เพราะเมื่อผมข้ามไปดูด้วยตาตัวเองแล้ว สภาพตลาดที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าไปชมกันนั้น ไม่ต่างจากตลาดนัดคลองถม หรือจตุจักรเท่าไหร่

แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดคือ “สินค้า” ที่วางขายกันตามร้านรวงต่างๆ

มันเต็มไปด้วย สินค้าทุกชนิดที่ “ละเมิดลิขสิทธิ์” ไม่ว่าจะเป็น วีซีดี ดีวีดี หนัง เพลง (ผมพยายามเดินหาแผ่นเพลง หรือหนังของชาวพม่าแท้ๆ แต่ไม่พบเลยครับ พบแต่หน้าตี๋ๆของแดน บีม) กระเป๋า และเสื้อผ้าหลากยี่ห้อ เรียกได้ว่า ถนนในลอนดอน มิลานและปารีส มียี่ห้ออะไร ที่นี่ก็มีเหมือนกับครับ แถมราคาถูกกว่ากันเป็นร้อยเป็นพันเท่า ... ฮา

หากท่านเป็นผู้ชาย (จะหนุ่มจะแก่ไม่สำคัญ) ท่านจะได้พบโปรโมชั่นพิเศษ บรรดาพ่อค้าชาวหม่องสวมโสร่ง ที่เดินคล้องตระกร้าพลาสติคใส่สินค้า จะเดินรี่มาหาท่าน พร้อมกับกระซิบเสนอสินค้าให้ท่านว่า “หนา โป๊ะ มะ เพ่ ..แผ่ ละ ยี่ สิ” หากใครเผลอซื้อไปเพราะคิดว่าเดินแถวคลองถมละก็ ตอนกำลังจะเดินผ่านด่านพม่ากลับไปที่บ้านเกิดของเรา ก็อาจจะเจอพี่ตำรวจพม่า ขอตัวค้นดู เมื่อพบสิ่งของอนาจารดังกล่าวข้างต้น ก็จะมีการเรียกเงินค่าปรับ (คงไม่มีใครถามพี่เค้ามั๊งครับ ว่าปรับตัวกฎหมายไหน มาตราอะไร ทำไมไม่ขึ้นศาล ฯลฯ) ประมาณ 2000 บาท

สันนิษฐานว่าคนขายกับคนปรับ น่าจะไม่รู้กันหรอกครับ....

..................... ควับ ..............................



และแล้วก็ถึงบ่ายวันอาทิตย์ อันเป็นเวลาที่ผมจะต้องบอกลา อากาศหนาวบนแดนเหนือ เหินฟ้ากลับมากรุงเทพเมืองฟ้าอมรแล้ว



มุมสวยๆจากสนามบินสุวรรณภูมิครับ

เสียดายเมื่อรู้ว่า กรมอุตุฯแจ้งว่าหลังจากนี้อากาศจะหนาวลงอีก 1 – 3 องศา และโดยเฉพาะแม่สาย ดินแดนที่ผมเพิ่งจากมา อาจมีลงถึง 5 องศา

ไม่เป็นไรครับ นับจากนี้ไปผมน่าจะมีโอกาสได้ขึ้นเหนือบ่อยขึ้น

ไว้เจอกันใหม่นะน้องหนาว ... ตกลงใจไว้แล้วว่าจะขอเหยียบดอยแม่สลองสักครั้งในคราวหน้า

3 Comments:

Blogger Unknown said...

มนต์เสน่ห์ของล้านนาไม่เคยถอยถดลดลงแม้เพียงน้อย

ยังเฝ้าคอยวันที่จะได้กลับไปแอ่วเมืองเหนืออีกสักหน



ผมเคยไปเหนือแค่ 2 หน แต่ก็ประทับใจไม่เคยลืมครับ

8:33 PM

 
Anonymous Anonymous said...

พี่ตัดสินใจถูกแล้วครับ
ที่ขับเลยงานราชพฤกษ์ เพื่อไปดอยตุง
สงสัยจะมีสัมผัสพิเศษ

10:39 PM

 
Blogger Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

นี่หละครับมนเสน่ห์เมืองเหนือ หลายคนหลงหัวปักหัวปำอย่างเช่นคุณพ่อคุณแม่ผมก็หลงจนได้ผมที่นั้นแลครับ

9:13 AM

 

Post a Comment

<< Home