Friday, June 02, 2006

นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ

ไม่ได้หาชมกันได้ง่ายๆ ในช่วงชีวิตหนึ่ง เมื่อมีโอกาสก็ขอเก็บเกี่ยวใส่ความทรงจำไว้เสียหน่อยครับ สำหรับงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

พอดีผมได้ยื่นลาพักผ่อนเอาไว้ในวันนี้ เพราะเชื่อว่าการไปในวันธรรมดา น่าจะพบกับการจราจรที่ผ่อนคลายกว่าการเดินทางไปในวันหยุด

ผมคิดผิดถนัดครับ

ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การจราจรจะกลายเป็นจลาจลอย่างที่ผมประสบวันนี้หรือเปล่า แต่ยืนยันได้ครับว่าวันนี้สาหัสจริงๆ

นี่คือภาพถ่ายจากกระจกมองข้าง แสดงให้เห็นถึงขบวนรถติดกันยาวเหยียดบนทางด่วน (?) ขั้นที่สอง ที่เริ่มหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหมอชิตใหม่แล้ว (คาดว่าท้ายแถวน่าจะประมาณยี่สิบกิโลขึ้น) ด้วยนิสัยการขับรถที่ดีมีมารยาทของผม ผมเลยเลาะไหล่ทางทางซ้ายมาตลอดทาง



ปริมาณรถจากมากมายมหาศาล การขยับเขยื้อนตัวเสมือนงูเหลือมตัวเขื่องที่ค่อยๆเลื้อยขยับตัวไปมาทีละเล็กทีละน้อย จนทำให้ผมสามารถหยิบกล้องมาถ่ายเก็บบรรยากาศข้างทางได้ และก็ได้เห็นอะไรขำๆ สนุกๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทะเลเหล็กหุ้มเนื้อที่ครางกลางแดด ฮึ่มๆ

อย่างท้ายรถพี่แท๊กซี่คันนี้ แรกก็ดูปกติ แต่หากสังเกตที่สติ๊กเกอร์ท้ายกันชน เอ๊ะ คำๆนี้คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน เร็วๆนี้นะ



นอกจากนั้น ในทะเลรถดังกล่าว ผมยังสังเกตว่ามีไม่น้อยทีเดียวที่เป็นรถโค้ชขนาด 85 ที่นั่ง ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารหัวเกรียน กระโปรงบาน ขาสั้น โอ้ เค้าเรียกกันว่าอะไรนะ ทัศนศึกษาใช่มะ คิดแล้วให้ย้อนนึกถึงตัวเองในวัยเดียวกัน แม้จะทนร้อนนั่งอุดอู้อยู่บนรถ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นตลอดเส้นทางที่ได้ผ่าน ก็ได้ออกมานอกโรงเรียนทั้งทีนี่ครับ อะไรๆมันก็ดีทั้งนั้นแหล่ะ

ว่าแล้วก็เลยหยิบกล้องแหง่ะไปทักทายไอ้เหล่าทะโมนสักหน่อย



ผมใช้เวลาเกือบๆสองชั่วโมงคลานอยู่บนทางด่วน กว่าจะได้ลงมาสู่เส้นทางล่าง ปรึกษากับผู้เป็นพ่อแล้ว ตกลงกันว่าเราจะไม่ฝ่าดงมหาชน เข้าไปในเมืองทองธานีทันที แต่เราจะขอเอารถไปจอดไว้ที่ห้างโลตัสแทนแล้วค่อยว่ากัน เพราะเพลานั้นกระเพาะประท้วงแล้ว น้ำย่อยเริ่มออกหากิน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ บ่นหิวกับปวดห้องน้ำตลอดทาง

ขอแนะนำครับ หากท่านผู้ใดสนใจจะเดินทางไปชมนิทรรศการ หากเกรงว่าจะต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกันกับผม อย่าได้เอารถเฉียดเข้าไปแถวสถานที่จัดงานเลยครับ ลองใช้วิธีเดียวกับผมน่าจะดีกว่า คือ

1. นำรถมาจอดไว้ที่โลตัส หาไรกินรองท้องกันก่อน

2. เดินย้อนศรมาสักสองร้อยเมตร แล้วคุณจะเจอวินมอโซค์ อยู่บริเวณถนนเส้นทางลัดเลียบคลอง บอกจุดหมายปลายทางแล้วขึ้นคร่อม "เกาะแน่นๆนะน้องนะ" วิธีการคิดเงินค่าโดยสารวินนี้ค่อนข้างจะพิสดารเล็กน้อย คือ "ขึ้นฟรีพี่ ... แต่ลงจ่ายตังค์"

3. ซ่อกแซ่ก ซอกซอน และซมซาน มาสักพัก แมงกะไซ จะพาท่านเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมกับปะทะกับฝูงชนจำนวนเรือนแสน สนนราคาค่าโดยสารประมาณ 30 บาท

(แต่ปัญหาที่ประสบก็คือ ขากลับครับ เพราะมันไม่มีวินแมงกะไซค์ประจำอยู่บริเวณงาน ต้องเพิ่งยานพาหนะดั้งเดิมคู่ชีพหน่อยครับ สองขาครับ เดินเลาะมาเรื่อยๆ สายตาก็คอยสอดส่องหาแมงกะไซค์ที่บินว่อนอยู่แถวนั้น ถ้าไม่โชคร้าย ไม่เกินกิโลน่าจะได้สักคันนะครับ)

จากนั้นก็หาทางเข้างานครับ

เดิน เดิน เดิน และเดิน เพราะพื้นที่จัดงานใหญ่มาก จัดเต็มทุก Hall โดยเฉพาะในส่วนของ challenger Hall ซึ่งจัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติ ที่เหลือมักเป็นพระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชดำริ

สำหรับผม แม้การไปวันนี้จะไม่ได้มีเวลาและมีสมาธิที่จะชมนิทรรศการทั้งหมดอย่างละเอียดนัก เพราะข้อจำกัดเรื่องจำนวนคนที่มหาศาลมาก ทำได้แค่เพียง "ไหล" ไปตามกระแสชนจะหนุนนำไปเท่านั้น เพื่อความมันส์ใครจะลองเดินย้อนฝ่ากระแสฝูงชนเอามันส์ก็ได้นะครับ



เออ ที่สำคัญ ใครไปมากกว่าหนึ่งคน กรุณานัดกันดีๆ มันจะหลงเอาง่ายๆนะครับ และช่วงนี้ทุกคนก็คงทราบว่า อุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุของทุกท่านใช้การได้ดีเพียงไร ถ้าจะใช้เพื่อเป็นเครื่องคิดเลข หรือเขวี้ยงหัวสุนัขน่ะพอจะได้การ แต่ใช้ติดต่อนี่ ไร้สมรรถภาพโดยสิ้นเชิงครับ นัดแนะกันดีๆครับ

ลำพังเพียงผมได้เข้าชมในนิทรรศการส่วนของพระราชประวัติ โดยเฉพาะได้ชมภาพอันหาชมได้ยากยิ่งในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ก็ถือว่างานนี้ผมคุ้มแล้วครับ

เสียดายที่ฝีมือการถ่ายรูปของผมมันเข้าขั้นห่วย หากใครมีฝีมือ ผมแนะนำให้ลองไปเก็บภาพกันนะครับ แล้วเอามาเผื่อผมด้วยอีกครั้งก็จะเป็นพระคุณครับ

ในโอกาสนี้ ขอเอามาแปะไว้ เท่าที่จะพอดูได้นะครับ

















สำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะไปดีไม่ไปดี

รัฐบาลใจดีขยายกำหนดการแสดงนิทรรศการจากกำหนดการเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 4 มิถุนายนนี้ เป็นวันที่ 11 มิถุนายนนะครับ มีเวลาตัดสินใจอีกหน่อย และสำหรับคนที่คิดจะไปซ่อมรอบสองรอบสาม ก็ยังพอมีเวลานะครับ