Saturday, March 04, 2006

ปีที่ 27



วันนี้ (4 มีนาคม 2549) เมื่อ 26 ปีที่แล้ว เป็นวันที่ผมลืมตาขึ้นมารู้จักโลกใบใหม่ เป็นวันที่ผมได้รับฐานะความเป็น “ลูก” และ “หลาน” แถมยังทำให้ใครต่อใครหลายคน (นั่งอยู่แถวนี้) ได้เป็น “พ่อ” เป็น “แม่” เป็น “ปู่ ย่า ตา ยาย” กะเค้าด้วยเหมือนกัน

วันครบรอบวันเกิด หรือวันคล้ายวันเกิดของผมในแต่ละปี นอกจากการตื่นเช้ากว่าปกติ (มากกกกกกกกก) เพื่อมาใส่บาตร ถ้าปีไหนต้องการบุญมากหน่อยก็ไปถวายสังฆทาน แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อาจจะมีมื้อเย็นนอกบ้านกับครอบครัวสักมื้อ (ด้วยเงินบุพการีเช่นเคย) ตัดเค้กบ้างแล้วแต่จะว่างซื้อ

ผมไม่เคยนั่งทบทวนว่าแต่ละปีได้ทำอะไรลงไปบ้าง ทำผิด ทำพลาด ทำดี ทำเลว เจริญก้าวหน้า หรือถดลดถอยลง ในเรื่องอะไร หรือกับใครไว้บ้างสักเท่าไหร่ แต่ปีนี้ว่าจะเริ่มคิดๆทบทวนดูบ้างก็น่าจะดี

ปีที่ผ่านมาผมมีอายุนับได้เป็นหน่วยปีคือ 25 ปี ซึ่งถือว่าได้ว่าเป็นวัย “เบญจเพส” หลายคนมีความเชื่อเกี่ยวกับวัยเบญจเพสนี้ว่า หากใครเคราะห์ร้าย ก็ร้ายเหลือใจ ดีก็ดีใจหาย
สำหรับผม ปีที่ผ่านมาจะว่าไป ไม่มีอะไรที่จัดว่าร้ายแรง เจ็บเนื้อเจ็บตัวก็มีไม่มาก อุบัติเหตุประเภทของแข็งตกจากที่สูงโดนกบาลนี่ไม่เคยเจอ เต็มที่ก็มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเท้าและฝ่าเท้าทั้งซ้ายและขวาอยู่บ้าง ไม่หนักหนา

ถ้าจะชั่งน้ำหนัก ปีที่ผ่านมาผมถือว่าดีมากกว่าร้าย…เอาเป็นว่าเป็นปีที่ดีของผมปีหนึ่งเลยทีเดียวก็แล้วกัน

เท่าที่สำรวจตัวเองมา ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาตั้งแต่เรียนจบมาเป็นเวลาประมาณเกือบๆห้าปีมานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมเหนื่อยมาก อาจจะเป็นเพราะภารหน้าที่ที่มีมากขึ้น ผสมกับความขี้เกียจที่ฝังอยู่ในตัวมานานหลายสิบปี เลยทำให้ผมค่อนข้างจะอยู่ในอาการเมาหมัดอยู่หลายช่วงเหมือนกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปีแรกของการก้าวเท้าออกมานอกมหาวิทยาลัยในฐานะบัณฑิตใหม่ ผมไม่ยอมพลาดขบวนการศึกษาต่อซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นสายพานของบรรดานักเรียนกฎหมายอย่างผมทั้งหลาย ผมสมัครเข้าเป็นนักศึกษาของสำนักศึกษาอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และหลงเชื่อคำชวนของเพื่อนรักสมัครเรียนหลักสูตรมหาบัณฑิต ของคณะนิติศาสตร์ บ้านหลังเก่าของผมด้วยพร้อมๆกัน (ซึ่งสุดท้ายเมื่อมันเรียนได้ปีเดียวมันก็ทิ้งผมไปเรียนต่อ ณ เมืองไวน์)ถือได้ว่าผมเป็นคนวางระเบิดเวลาทางการศึกษาให้กับตัวผมเองแบบประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

การฝ่ามรสุมแห่งการเรียนต่อของผมในปีแรกผ่านไปด้วยดี ผมสำเร็จเป็นเนติบัณฑิตไทยกับเขาได้ในสมัยที่ 54 ทำให้ผมสามารถปลดชนวนระเบิดเวลาลูกแรกไปได้ตามกำหนดเวลา แบบไม่เฉียดฉิวหรือเสี่ยงตายแบบในหนังบู๊แอ๊คชั่นเท่าไรนัก แต่ระเบิดลูกที่สองยังคงเดินต่อไป

ปีที่สองของผม ยังสาละวนอยู่กับการเรียนต่อ ผมชะล่าใจพอสมควรเมื่อเหลือระเบิดเพียงลูกเดียว แถมยังเหลือเวลาอีกโขที่จะปลดชนวนมัน ก็เลยเดินทอดหุ่ยไปเรื่อยตามสันดาน

ปีที่สองนี้เองถ้าเปรียบกับรายการ “ระเบิดเถิดเทิง” ผมคงเป็นตลกแห่งยุค “เท่ง เถิดเทิง” ที่เปิดป้ายเลือกทุ่นระเบิด แล้วได้ระเบิดมาพวงนึงเหมือนมะเขือพวง เมื่อชะตาชักพาให้ผมได้เรียนวิชา “ปัญหากฎหมายอาญา” กับอาจารย์ท่านหนึ่ง (ซึ่งต่อมาท่านก็แปลงร่างเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของผมนั่นเอง) ซึ่งท่านได้หยิบยื่นระเบิดลูกที่สอง…สาม…สี่…ให้ผม อย่างที่ผมปฏิเสธไม่ได้ (แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธ) ท่านชักนำให้ผมได้เข้ามาสัมผัสวงวิชาการ ด้วยการเป็นผู้ช่วยวิจัย และนักวิจัย ในหลายโครงการที่แตกต่างกันคนละขั้ว เริ่มจาก โครงการวิจัยพัฒนาระบบชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย ต่อด้วย โครงการวิจัยปัญหากฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิสนธิเทียม และที่สำคัญการที่ท่านผลัก (ถีบ?) ให้ผมเข้าไปเป็นนักวิจัยในโครงการกฎหมายตราสามดวง ประมวลกฎหมายไทยในฐานะมรดกโลก ซึ่งเป็นทุนวิจัยเมธีวิจัยอาวุโสของ สกว. (ซึ่งระเบิดลูกนี้มาเป็นพวง ในพวงมีหลายลูกย่อยอีกตะหาก จนบัดนี้ผมยังปลดไอ้ลูกย่อยๆนี่ไม่หมดสักที)

ในขณะที่ระเบิดลูกยักษ์อีกลูกคือวิทยานิพนธ์ของผมที่เกี่ยวกับเรื่องปลูกถ่ายอวัยวะนั้น ยังนิ่งสงบรอวันปะทุ

การปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยของผมก็ดำเนินไปเรื่อยๆตามแผนงาน ทุกอย่างก็ดูจะราบรื่นไม่มีอะไร

กระทั่ง

เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับทางเดินในอนาคต ไม่รู้จะเรียกว่า “ความกล้า” หรือ “ความเห็นแก่ตัว” กันแน่ที่ผลักดันให้ผมต้องเลือกเดินทางเส้นใหม่ แต่ผมก็เลือกแล้ว

ปีที่สาม ผมย่างเท้าเดินบนเส้นทางสายใหม่ โดยเริ่มรับราชการที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ในขณะที่ยังมีลูกระเบิดอีกราวสามลูกติดตามผมมา และแต่ละลูกนั้นเป่งๆทั้งนั้น
ปีแรกของการรับราชการ ผมน่าจะได้รับรางวัลข้าราชดีเด่นด้วยสถิติการลาหยุดมากที่สุดในสำนักงาน ชนะทั้งในประเภทรวม และในการลาหยุดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการลาพักผ่อนตามสิทธิ์ ที่ผมใช้เกลี้ยงตั้งแต่สองเดือนแรก ลาป่วยแบบที่คนเป็นมะเร็งยังไม่กล้าจะลาเท่า และลากิจที่ไม่ใคร่จะมีใครกล้าลา แต่ผมกล้า (เรียกว่ากล้าดีหรือเปล่าวะ)

ผมปลดชนวนระเบิดลูกที่สองในฐานะเป็นผู้ช่วยวิจัยไปได้อีกงานด้วยความอ่อนล้า และไม่ได้รู้สึกภูมิใจมากนัก เนื่องจากไม่ได้กระทำตนเป็นผู้ช่วยวิจัยที่ดีเท่าไหร่สำหรับโครงการนี้ และยิ่งเป็นการวิจัยที่มีค่าตอบแทนให้ด้วย ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดหรือไม่ดีให้ผมแบบเท่าทวีคูณ

เวลาเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับระเบิดลูกที่สามที่ใกล้จะสุกงอมเต็มที ลูกบะเร่อเลยครับ วิทยานิพนธ์ของผมเอง ความขี้เกียจ การผลัดวันประกันพรุ่ง และนิสัยส่วนตัวกับการเข้าหาผู้ใหญ่ ปากหนักไม่ชอบถามของผม บวกกับเวลาที่มีน้อยลงเพราะต้องทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำให้การกู้ระเบิดลูกนี้ผมตกอยู่ในสภาพสาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก ผมกู้มันได้ใน “วินาทีสุดท้าย” จริงๆ ผมเริ่มรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง และภูมิใจในตัวเองน้อยลง เมื่อการทำวิทยานิพนธ์เล่มนี้ผมได้สร้างปัญหาปวดหัวให้ที่ปรึกษาที่รักของผมพอสมควรทีเดียว (ผมไม่เคยเห็นท่านว่าใคร แต่ผมว่าผมโดนนะ คนแรกเลย ภูมิใจดีมั๊ยเนี่ย?)

ปีที่สี่ (ปีที่ผ่านมา) ผมกู้ระเบิดลูกสำคัญสำเร็จแม้จะฉิวเฉียดขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมเป็นมหาบัณฑิต หลังจากที่ผมรอคอย และใช้เวลายาวนานเทียบเท่าวงจร
ของมหกรรมลูกหนังโลก กีฬาโอลิมปิค และเอเชี่ยนเกมส์ ในการได้มาซึ่งกระดาษแผ่นนั้น

ยังครับยัง แม้ระเบิดลูกสำคัญจะถูกกู้ถอดชนวนไปได้แล้ว แต่ยังเหลืออีกกระพรวนนึง ที่ผมต้องตามกู้ต่อไป อีกไม่รู้กี่เดือนหรือกี่ปี (ปีที่ผ่านมาผมก็เพิ่งกู้ไปอีกลูกในวินาทีสุดท้ายเช่นกัน)

ในระหว่างปี 48 ที่ผ่านมา นอกจากระเบิดที่ติดตามผมเป็นกรรมเก่ามาตั้งแต่ครั้งกระโน้นแล้ว ผมได้นำระเบิดเวลาอีกลูกมาผูกตัวเองด้วยความเต็มใจ เมื่อย่างเท้าเข้ามาสู่โลกแห่งบล็อกเกอร์ตามคำชวนแกมบังคับของเพื่อนรักตัวดี (คนเดียวกับที่ชวนผมเรียนโท แล้วเปิดตูดหนีไปจิบไวน์นั่นแหล่ะ)

ในโลกแห่งบล็อกเกอร์ ผมคงไม่มีคำบรรยายใดๆ ผมเชื่อได้ว่าทุกท่านที่ได้เข้ามาร่วมวงไม่ว่าในฐานะคนอ่าน คนเขียน ก็ตาม คงได้สัมผัสถึงบรรยากาศบางอย่างแห่งความมหัศจรรย์บนโลกไร้ตัวตนนี้ มิตรภาพ และปัญญาเกิดขึ้นบนหน้าจอสี่เหลี่ยมๆ ความดีความชอบทั้งหลายผมขอยกให้ผู้ใหญ่บ้านอย่างคุณปิ่น ปรเมศวร์ ที่เป็นแรงบันดาลในให้ใครต่อใครหลายคน เปิดพื้นที่ของตัวเองบนโลกอินเตอร์เน็ต และร่วมกันโยงใยเป็นเครือข่ายอันยาวเฟื้อย และดูไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆ

จากโลกของบล็อกเกอร์ คุณปิ่นยังนำผมและใครต่อใครหลายคนไปสู่ประสบการณ์ใหม่ พร้อมกับนำระเบิดอีกลูกมาผูกเอวพวกเราไว้ในฐานะคอลัมนิสต์มือใหม่ แห่งนิตยสาร (งานบุญ) โอเพ่น ในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งผมยังไม่แน่ใจในตัวเองว่าจะทำได้ดีแค่ไหน จะทำให้ชุมชนใหม่มีมาตรฐานที่ด้อยลงหรือไม่ แต่ก็ต้องขอขอบคุณในความไว้วางใจ และการเปิดโอกาสให้ผมมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในบรรณพิภพ

ในวันนี้ ถ้านับให้ตรงเป๊ะ คือ เวลา 21.58 น. ผมจะก้าวเท้าเข้าสู่หน่วยปีที่ 26 แบบเต็มสมบูรณ์ และพรุ่งนี้จะเป็นการก้าวเท้าเข้าไปสู่ปีที่ 27 เป็นวันแรก

ผมไม่ทราบว่าการเดินทางของผมจะไปสิ้นสุดเมื่ออายุผมมีจำนวนนับเป็นหน่วยปี ในปีที่เท่าไหร่ แต่ผมเชื่อว่าหากใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทน่าจะทำให้การมาถึงของวันนั้นไม่ได้สร้างความประหลาดใจอะไรให้ผมมากนัก

ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาสร้างให้ผมเป็นผม ไม่ว่าจะมิติใด

และขออภัยทุกท่านหากผมล่วงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิจีกรรม มโนกรรม กายกรรม เอ่อ… รวมถึงจิ้มคีย์บอร์ดกรรมด้วย

ปกติผมไม่เคยขอของขวัญวันเกิดจากใคร แต่ปีนี้ผมอยากจะขอ

ขอให้ทุกๆเหตุการณ์ได้เจอทางออกที่เหมาะสม พัฒนาแบบยั่งยืนเสียที

การที่ท่านผู้นำเลือกเอาวันศุกร์ที่ 3 ที่ผ่านมาขึ้นเปิดใจใหญ่กลางสนามหลวง การยกเลิกการปราศรัยของคุณมาร์คในวันที่ 4 มีนาคม 2549 และการนัดรวมพลเช็คบิลของพันธมิตรประชาชนฯ ในวันพรุ่งนี้ ( 5 มีนาคม 2549)เป็นหลักฐานชั้นดีว่าผมนี่แหล่ะเป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริง ฮาๆๆๆ

เขากลัวผมจะกินเค้กไม่อร่อยน่ะ